xs
xsm
sm
md
lg

"เมฆ วินัย" สะอื้น! ป่วยเป็นโรค "เพมฟิกอยด์" ภูมิเพี้ยนสุดทรมาน ไม่หาย พร้อมออกจากวงการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


"เมฆ วินัย" น้ำตาคลอ สุดทรมานเป็น "โรคเพมฟิกอยด์" ภูมิต้านทานเพี้ยน รับตัวเองไม่ได้ยืนมองตัวเองในสภาพนี้หน้ากระจกร่วม 2 เดือน ขอโทษที่หลอกแม่ ไม่กล้าบอกความจริง ถ้าหายจะไปกราบขอโทษแม่ เผยอยู่ได้เพราะกำลังใจ ตื้นตันจนร่ำไห้ ได้รับเงินบริจาคครึ่งล้าน พ้อตัวยาเข็มละ 5.8 หมื่น คงต้องขายที่ ขายสวนปาล์ม ด้านภรรยาร่ำไห้ ห่วงผัวจิตตก ไม่หายจะออกจากวงการ




เมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วันที่ 5 ก.ค. ทีมแพทย์จุฬาฯ นำโดย ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ หัวหน้าสาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย , นางสาวเฉลาศรี เสงี่ยม หัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ , ศ.นพ.สุเทพ กลชาญวิทย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายการแพทย์และวิจัย พร้อม "เมฆ วินัย ไกรบุตร" นักแสดงหนุ่ม ตั้งโต๊ะแถลงสาเหตุของการป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพอง หรือทางการแพทย์เรียกว่า "โรคเพมฟิกอยด์" โดยเกิดจาก "ภูมิต้านทานเพี้ยน" ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกคนและทุกช่วงอายุ แต่ส่วนมากเกิดกับผู้สูงอายุ ไม่ใช่เป็นโรคที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ โดยโรคนี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค และไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้เวลาในการรักษานานหลายเดือนหรือหลายปี สามารถหายเป็นปกติได้แต่ไม่หายขาด โดยยาหลักที่ใช้รักษาโรคตุ่มน้ำพองคือ "ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์" และ "ยากดภูมิคุ้มกัน" แต่ในรายที่ตุ่มน้ำหรือแผลถลอกมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

ด้าน "เมฆ วินัยไกรบุตร" เปิดใจเสียงสั่น น้ำตาคลอ ยืนมองสภาพตัวเองหน้ากระจกเป็นช่วงเวลา 2 เดือนสุดจะรับได้ เป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายและทรมาน

เมฆ : "เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าโรคนี้จะมาเจอกับตัวผมเอง เท่าที่ฟังบางคนเป็น 8 ปี บางคนเป็น 3 ปี บางคนเป็น 2 ปี โทร.มาบอกผม ผมไม่ได้รู้สึกดีใจนะ เพราะหลายปีมาก คือนึกสภาพดูว่าคนเคยแข็งแรง หุ่นดี ผิวดีมาก อยู่ๆ ตื่นมาตอนตีสอง ปวด 2 เดือนเต็ม มายืนแก้ผ้าที่หน้ากระจก (เสียงสั่น) และยืนดูตัวเอง มันโหดร้ายมากที่ต้องมายืนตอนตีสอง ยืนดูตัวเองเกือบ 2 เดือน"

"อยากจะฝากคนไทย หมอที่มีความรู้ ไม่อยากให้คนเป็นต้องเป็นหลายปีหรือหลายเดือน เป็น 7-10 วันน่าจะพอ มันเป็นอะไรที่ทรมานจริงๆ ไม่คิดว่าจะเป็นที่ผม"

"วันนี้ต้องบอกว่ามีเรื่องคาใจอยู่ 2 สิ่ง สิ่งแรกเลยต้องขอโทษทางบริษัท โคลิเซี่ยม ละครเรื่องตะกรุดโทน ของช่อง 7 ที่ถ่ายยังไม่เสร็จ วันที่ 11 ก.ค. นี้ถ้าไหวก็จะไป มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผมในการทำงาน ผมจะไปถ่ายให้ได้สักฉาก เพราะแกจะปิดกล้อง ต้องขอโทษนักแสดงทุกคนด้วยนะครับ"

"อีกเรื่องที่ผมต้องสารภาพ ผมหลอกแม่เกือบ 2 เดือน ถ้าหายจะไปกราบขอโทษแม่ และอีกเรื่องตั้งแต่ผมนอนโรงพยาบาล แฟนคลับรวมพลคนรักเมฆ นักวิ่ง ส่งกำลังใจมาให้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีแฟนคลับเพราะแก่แล้ว เป็นดาราแก่ คงจะไม่มีใครรักหรือเดินทางมาเยี่ยมมากมาย แต่ก็มีมามากมายจริงๆ โทร.มาทั้งวันทั้งคืนด้วยความหวังดี และบอกวิธีการรักษา ซึ่งต้องขอบคุณมาก"

"แต่ผมก็ต้องเลือกการรักษาทางใดทางหนึ่ง โดยการเลือกการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ให้ดูแล ต้องขอบคุณสภากาชาดไทย ขอบคุณทีมแพทย์ และทีมที่คอยดูแลตั้งแต่แรก ทุกคนดูแลอย่างดีครับตั้งแต่พนักงานจนถึงพยาบาล สุดท้ายต้องขอบคุณภรรยา ลูกๆ และเพื่อนๆ คนกระบี่ คนใต้ เชื่อหรือเปล่าที่ผมมาอยู่จุฬาฯ แฟนคลับส่งเงินมามากมาย มากจนแทบจะบอกว่าผมสามารถนอนโรงพยาบาลนี้ได้อีก 2 เดือน"

ตื้นตันจนน้ำตาไหล ได้รับเงินบริจาคเกือบครึ่งล้าน ครอบครัวไม่เดือดร้อนเรื่องเงินแล้ว นอนได้อีก 2 เดือน
"ตื่นเช้ามาน้ำตาไหล เห็นตัวเลขที่เขาส่งมา นึกว่าครั้งละ 5,000-10,000 บาทไม่เกิน แต่พอดูไปดูมา เกือบครึ่งล้าน ขอบคุณมาก ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ทำให้ผมได้นอนโรงพยาบาล และบอกผมเลยว่าคุณต้องนอนให้หาย ไม่ต้องออกถ้าไม่หาย มาแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยเจอ ไม่ใช่เพื่อนผม รู้จักไม่กี่ครั้ง มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมได้นอนโรงพยาบาลอย่างมีความสุข ผมสัญญา ผมจะนอนให้หาย ให้หายจริงๆ ตอนนี้ครอบครัวผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแล้ว ยังเหลือให้ผมได้นอนได้อีกถึง 2 เดือนอีกด้วย กราบขอบพระคุณทุกคนครับ"

เผยอาการเริ่มแรก คันฝ่ามือ หาหมอหลายครั้งแต่ไม่หาย ปล่อยไว้จนระเบิดขึ้นทั้งตัว ไม่ขึ้นที่เดียวคืออวัยวะเพศ
เมฆ : "อาการตอนแรกๆ รู้เลยว่าวันที่ 1 เม.ย. ประมาณกลับจากถ่ายละคร 2 วัน มีอาการคันฝ่ามือ มีตุ่มเล็กๆ ขึ้นมาเป็นวง เกาจนเจ็บ คันจนนอนไม่หลับ นั่นคือจุดเริ่มแรกเลย พอตื่นเช้ามาไปหาหมอ 4-5 วัน ผ่านไป 4-5 รอบ ไปหาคนละหมอ ฉีดยา มันก็ยุบและหาย เป็นแบบนี้ประมาณ 10 ครั้ง จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว ไปโรงพยาบาล 10 โรงพยาบาล แปลกประหลาดมากที่ฉีดยาแล้วมันหาย"

"เราเลยปล่อยมาสักระยะ ยังบอกแฟนเลยว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้แสดงว่าไม่ธรรมดา เลยปล่อยไว้ ปรากฎว่ามันระเบิดขึ้นมาทั้งตัวเลย เป็นตุ่มน้ำพองทั้งตัว พุ่งมาแบบน้ำไหลไฟดับ ขึ้นที่คอ ที่หัว ที่แขน ที่ขา มีที่เดียวคืออวัยวะเพศที่มันไม่ขึ้น เพราะมีคนบอกว่าส่วนนั้นมีอุณหภูมิของมันเองในตัว ก็โชคดีไป ไม่งั้นตาย เพราะเป็นในปาก ในหู ใต้ฝ่าเท้า มีหมด"

"ผมไปโรงพยาบาลกว่า 10 หมอ กว่าจะมาถึงจุฬาฯ ไปถ่ายละครตีสองเกือบช็อก เรียกรถฉุกเฉินไม่มีใครรู้ เรียกที่โรงพยาบาลปักธงชัย ฉีดยาแก้แพ้ ขอบคุณโรงพยาบาลปักธงชัยมากนะครับที่ดูแลเป็นอย่างดี ตอนตุ่มระเบิดช่วงเดือน พ.ค. เลยได้คุยกับอาจารย์ที่จุฬาฯ ท่านบอกมาเถอะ เรามียา"

ต้องรักษาในระยะยาว อย่างน้อย 3-6 เดือน
ศ.ดร.นพ.ประวิตร : "โดยทั่วไปเราดูคนไข้เป็นคนๆ บางทีการประเมินข้อมูลรวมๆ มันจะบอกยาก อย่างคุณวินัยเองก็ต้องดูอาการต่อเนื่องกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราทราบคือ เพมฟิกอยด์ ที่เป็นในผู้สูงอายุจะง่ายกว่าคนที่เป็นในช่วงอายุที่ไม่ได้มาก บางทีต้องดูไปตามระยะยาว ไม่ใช่ดูวันต่อวัน หรือสัปดาห์ต่อสัปดาห์ อย่างน้อยที่สุดต้องดูกันประมาณ 3 เดือนครับ ต่อไปก็เป็น 6 เดือน อะไรก็ว่ากันไป แต่โรคนี้อย่างที่เรียนว่าภูมิต้านทานคนเรามันควบคุมตัวเองได้ บางทีหลายๆ ท่านจะเข้าสู่ช่วงสงบยาวๆ เลย จนเรียกว่าหายได้ แต่โรคตระกูลนี้เขาไม่ได้เรียกว่าหายสนิท เขาเรียกว่าสงบ บางครั้งสงบไปนานๆ จนถึงคล้ายว่าหายขาด"

"คนอายุน้อยก็มีโอกาสเป็นครับ แต่จะไม่เท่าคนอายุมากๆ ครับ บางทีคนเราอายุมาก การสร้างภูมิเพี้ยนบางตัวมันมากขึ้น ในขณะที่บางโรคมันจะเป็นในคนที่อายุน้อย มันแล้วแต่โรคครับ มันมีเป็นหมื่นโรคที่เกี่ยวกับภูมิ"

มีโอกาสเสี่ยง กลับมาเป็นซ้ำอีก
“คือในคนที่เป็นแล้ว มีโอกาสเซลล์ที่ผิดๆ พวกนี้มันก็จะมาสร้างภูมิเพี้ยนๆ ใหม่ เพมฟิกอยด์มันก็หายไปนานๆ ได้ แต่วันดีคืนดีหลายๆ ปีมันอาจจะโผล่มา สิ่งที่จะบอกคนไข้ทุกคนคืออย่าไปคิดถึงจุดนั้น เพราะคนไปคิดว่าเดี๋ยวมันก็มาๆ แบบนี้มันจะทำให้ชีวิตเราจิตตก ดังนั้นไม่ต้องไปคิดถึงจุดนั้น ถ้าไปมันถึงจุดนั้น ก็รักษาใหม่ ด้วยวิทยาการที่ดีกว่าปัจจุบันก็ได้ อีก 8 ปี 10 ปี"

การออกกำลังกาย ไม่ได้มีผลทำให้เป็นโรคนี้ ทุกอย่างเกิดจากภูมิเพี้ยน
"จริงๆไม่น่ามี แล้วก็จริงๆ คุณเมฆก็โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าโดนน้ำร้อนลวกมาก่อน ผิวหนังถลอก เป็นสาเหตุไหม อันนี้ก็ไม่เกี่ยวนะครับ เนื่องจากว่ากลไกตรงๆ หรือโรคตรงๆ มันเกิดจากภูมิที่อยู่ในเลือดเรา ที่มันเพี้ยนขึ้นมา ดังนั้นสิ่งที่อยากจะบอกคือไม่ต้องโทษอะไรเลย ไม่ต้องโทษว่ากินอาหารมื้อนั้นมา มันไม่ใช่การแพ้แบบนั้น ไม่ต้องโทษว่าไปขึ้นบีทีเอสแล้วมีคนจามใส่ แล้วติดเชื้อมา มันไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อ มันเป็นโรคของตัวเราเอง ซึ่งบังเอิญสร้างภูมิผิดปกติขึ้นมา"

"ถามว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จริงๆ ในบางโรคเราเข้าใจ เช่นสมมติว่าติดไวรัสบางตัวมา ทำให้เกิดการสร้างภูมิเพี้ยนๆ ไป หรือบางคนกินยาบางตัว ทำให้เกิดการสร้างภูมิเพี้ยนๆ ขึ้นมา อย่างนี้มีส่วนในบางโรค เพมฟิกอยด์เองก็มีส่วนจากยาบางตัวเหมือนกัน ในบางท่านถ้าทานยาบางตัวมา ก็มีส่วนทำให้เกิดได้ครับ แต่ในส่วนมากเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ เกิดเองโดยที่ไม่มีสาเหตุ ร่างกายคนเราทุกอย่างเหมือนเครื่องจักร มันทำงานผิดพลาดได้ตลอดเวลา แต่ว่าในบางครั้งถ้ามันผิดรุนแรงพอสมควร มันก็เกิดเป็นโรคขึ้นมา"

เพมฟิกอยด์ไม่มีวิธีป้องกัน เพราะไม่รู้ภูมิต้านทานจะเพี้ยนเมื่อไหร่
"เพมฟิกอยด์ไม่มีวิธีป้องกันครับ คือเราไม่จำเป็นต้องไปคาดการณ์ล่วงหน้า โรคผิวหนังมาอยู่ 4 พันกว่าโรค ถ้าจะกันทุกโรคล่วงหน้าคงลำบาก โรคบางโรคถ้ามันมีการติดเชื้อ พวกนี้เรากันได้ เช่นฉีดวัคซีน โรคบางโรคเกี่ยวกับการกินอย่างเบาหวาน ก็ป้องกันได้ แต่โรคในกลุ่มนี้เราไม่รู้เลยว่ามันจะเพี้ยนไปตอนไหน เชื่อว่าในห้องนี้ก็มีบางโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิอยู่บ้าง มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ไม่ต้องไปจิตตกว่าจะเป็นโรคอะไร เมื่อเกิดขึ้นก็ไปรับรักษาให้ถูกต้อง”

เผยแนวทางรักษา ต้องให้ยากดภูมิในปริมาณที่เหมาะสม
"แนวทางการรักษาของคุณเมฆคือการกดภูมิในระยะแรก แล้วก็ใช้ปริมาณยาที่เหมาะสมพอสมควร เพื่อจะทำให้โรคมันหยุดนะครับ ในขณะเดียวกันก็จะปรับยาลงไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม โดยที่ให้ตุ่มมันขึ้นน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่กดภูมิมาจนเกินไป เดี๋ยวจะไปติดเชื้อมา แต่สิ่งที่ขอคุณเมฆตอนนี้คืออย่าเพิ่งไปการกุศลมากนัก ตอนนี้เป็นช่วงพักผ่อน อย่าเพิ่งไปลุยอะไรมากๆ"

อาการดีขึ้น ผื่นเริ่มแห้ง ตุ่มน้ำไม่มีแล้ว สีผิวจะกลืนไปเอง
"ถ้าเทียบใน 1 เดือน 1 วันที่ผ่านมา ผมถือว่าดีขึ้นมาก แต่ถ้าดูตอนนี้ ถ้าไม่รู้จักโรคจะเห็นว่าทำไมตัวมันลายจัง แต่ถ้าดูดีๆ จะเป็นลายที่แห้ง ที่หน้าก็จะมีรอยของการหาย แต่ถ้าดูเทียบกับปีที่แล้วคงหล่อน้อยลง ถ้าดูในเชิงของโรคอันนี้คือผื่นที่หาย เริ่มแห้งแล้ว ตุ่มน้ำไม่มีแล้ว ในอนาคตสีมันก็จะกลืนไปเอง”

"ถามว่าต้องระวังอะไรพิเศษเพื่อป้องกันเป็นโรคนี้ ไม่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ แต่ว่าเราคงต้องเจอกันอยู่เรื่อยๆ การรักษาด้วยยาที่สม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญ อันนี้จริงๆ เป็นธรรมชาติของคนไข้หลายๆ ท่าน ที่กลับบ้านไป แล้วพอได้ยาไปทาน บางทีงานยุ่งก็ทานบ้าง ไม่ทานบ้าง"

"ในบางกรณีถ้าเป็นยารักษาตามอาการ ก็จะไม่มีผล เป็นเมื่อไหร่ก็กิน แต่ยาในกลุ่มนี้ เราต้องการรักษาระดับยาให้มันคงที่พอสมควร เพมฟิกอยด์ส่วนใหญ่ รักษาที่บ้านคนไข้อยู่ที่บ้าน แต่คุณเมฆเราคิดว่าผื่นเยอะพอสมควร เราต้องรักษาอีกระดับ เราก็เลยเอายาที่ให้ทางเส้นเลือด เพื่อจะคุมโรคได้ดีกว่า กลับไปบ้านก็ต้องทานยาสม่ำเสมอ"

กังวลเรื่องไปถ่ายละคร หวั่นกลับมาจะรุนแรงกว่าเดิม
"ถ้าต้องออกกองถ่ายข้ามคืน ก็หวาดเสียวเหมือนกันเพราะว่ายามันจะแกว่ง ยากดภูมิทั้งหลายยิ่งเวลายาไม่สม่ำเสมอ บางทีมันแก้แค้น พอกดไปนิดหนึ่งแล้วหยุด มันจะกลับมาแรงกว่าเดิม มันถึงมีช่วงแกว่งๆ ที่บอกว่าไปฉีดยามาแล้วดีขึ้น แล้วเห่อใหม่ ฉะนั้นการวางแผนรักษาจริงๆ มันต้องยาว"

อาจอนุญาตให้กลับบ้านเป็นครั้งคราว แต่ต้องคุมให้แน่ใจซะก่อน
"ต้องดูเป็นช่วงๆ นะครับ แต่ว่าด้วยความที่ไม่มีใครอยากอยู่โรงพยาบาลนาน ในบางครั้งถ้าคุณเมฆต้องกลับไปบ้าน คิดถึงลูก ก็อาจจะได้เป็นครั้งคราว แต่ก็ต้องคุมให้แน่ใจในระดับหนึ่งก่อน"

เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
"เราดูอยู่ครับ เนื่องจากเป็นยากดภูมิ มันก็มีพวกเชื้อต่างๆ ที่ต้องระวัง แต่ถ้าอยู่ในโรงพยาบาล มันก็เป็นที่ที่สะอาดพอสมควร พอกลับไปบ้าน ก็เดินทางทั่วประเทศ เราก็ไม่รู้ว่าไปไหนเจออะไรบ้าง แม้แต่อาหารก็ต้องระวัง"

แผลผิวหนังหายสนิทแน่นอน
"แผลที่ผิวหนัง เวลาหายหายปกติเลยครับ เพราะว่าพวกนี้มันเป็นแค่ตรงหนังกำพร้าตื้นๆ ไม่ได้ลึก แต่มันจะมีช่วงด่าง ซึ่งเป็นปกติของคนเอเชียเรา เพราะฉะนั้นเวลาผิวหนังอักเสบ มันจะด่างอยู่พักหนึ่ง เดี๋ยวมันจะจางไปเอง แต่ถ้าโดนแดดเยอะ มันก็อาจจะด่างนานหน่อย แต่ไม่เป็นแผลเป็นครับ"

"ส่วนกรณีเม็ดเลือดขาวที่บอกว่ามีค่าสูงผิดปกติ ตอนที่ข่าวออกว่ามีคนโพสต์ว่าช็อกเข้าโรงพยาบาล เม็ดเลือดขาวพุ่ง คนที่ไม่เข้าใจโรคนี้อาจจะเข้าใจว่าติดเชื้อ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เจอได้ แต่ที่เจอในของคุณเมฆ คือเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง มันเป็นชนิดเลือดที่เจอโรคตุ่มน้ำพองชนิดนี้ ช่วงที่ตุ่มน้ำเยอะๆ เม็ดเลือดตัวนี้มันจะสูง ซึ่งตอนที่กลับมาเข้าโรงพยาบาลเม็ดเลือดที่ควรจะลง มันกลับขึ้นไป ตอนนั้นเราก็เลยไม่ประมาท ตามหมอทางโรคเลือดมาช่วยดูด้วย พอเราให้ยาเข้าเส้นเลือดดีๆ เม็ดเลือดมันก็ลงเลย ตุ่มน้ำก็ลดลง"

"เอ๋ อรชัญญาซ์" ภรรยาเผยว่า : "จริงๆ ให้กำลังใจทุกวันอยู่แล้ว ที่ร้องไห้เสียใจเพราะสงสารเขาเพราะรู้ว่าโรคนี้มันทรมานมาก (ร่ำไห้สะอื้น จนเมฆเข้ามากอดภรรยา) อยากจะบอกเขาว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะคอยอยู่เคียงข้างตลอด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จะอยู่เคียงข้าง อยากขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่มาทำข่าวพี่เมฆในวันนี้ อยากให้ข่าวที่ออกไปเป็นความจริงและก็อัปเดต ไม่อยากให้ข่าวปลอมออกมามากเกินไป ทำร้ายจิตใจคนที่รักพี่เมฆ อยากให้หยุดข่าวปลอม เพจปลอม อยากให้ฟังข่าวหลักๆ เป็นหลัก"

น้ำตาคลอเป็นวันเกิดสุดทรมาน หากไม่หาย อนาคตต้องขายสวนปาล์ม ขายที่เลี้ยงลูก
เมฆ : "จริงๆ มีอีกเรื่องคือเรื่องตัวยาที่ใช้ในการรักษา อยากให้รัฐบาลหรือว่าผู้ใหญ่ที่ดูแลในเรื่องพวกนี้ ให้ช่วยกันดูแล สั่งยาตัวนี้เข้ามาช่วยคนไทยอีกแรง คนไทยไม่ได้รวยทุกคน ไม่ใช่ว่าเข็มละ 58,000 บาท สองเข็มก็แสนกว่าบาท แล้วก็เวลาในการรักษาไม่ใช่อาทิตย์เดียว แต่เป็น 5 เดือน 1 ปี 3 ปี ซึ่งใครบ้างจะไม่จิตตก ใครบ้างจะไม่ตกใจ"

"อยู่ดีๆ ต้องหยุดทำงาน 3 ปี 1 ปี ผมบอกภรรยาตอนเดือนที่สองว่าถ้าผมสภาพแบบนี้ไปขายสวนปาล์มได้เลย (น้ำตาคลอ) ไปขายที่ดินเลี้ยงลูกเพราะมันมีความรู้สึกว่ามันทรมาน คิดเหมือนกันว่าจะวางแผนชีวิตยังไงดี เพราะมันเป็นโรคที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน ทั้งที่ผมไม่เคยเป็น สำหรับผมวันเกิดปีนี้ (น้ำตาคลอ) เป็นวันที่ทรมานมากที่สุด ทรมานมาก ก็บอกตัวเองว่ามันคงเป็นถึงเวลาที่ต้องชดใช้กรรม ก็ชดใช้มันไป"

ด้าน "เอ๋ อรชัญญาซ์" ภรรยาของนักแสดงหนุ่มได้ให้สัมภาษณ์หลังงานแถลงข่าวว่าสามีตนเองเคยวางแผนไว้ถ้าไม่หายจากโรคนี้ ก็เตรียมตัวจะหันหลังให้วงการบันเทิง เตรียมขายที่ดิน ทรัพย์สินต่างๆ เพื่อที่จะให้ภรรยาและลูก ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น ภรรยาเผยต่อว่าถ้าตั้งแต่เป็นโรคนี้มาก็หมดไปหลายแสนแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้ขัดสนแต่อย่างใด พร้อมอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจสามีตลอดเวลา

"เขาจิตตกค่ะ เพราะว่าเขาทรมานมาก มันเจ็บแสบและปวดมาก เพราะว่าทั้งคัน ปวดแสบปวดร้อน นอนไม่ได้ 2 เดือนที่เราสองคนสามี ภรรยา ไม่ได้นอนเต็มที่เหมือนคนอื่นเขานอนกัน นอนได้วันละ 1-2 ชั่วโมง เป็นอย่างนี้มา 2 เดือนจนวันนึงเราเหมือนเจอทางสว่าง เจออาจารย์หมอประวิทย์ พอเราเจอปุ๊บแล้วท่านบอกว่าที่นี่มียารักษาและมันสามารถหายขาดได้ มันเหมือนคนแบบว่าอยู่ในที่มืดแล้วเจอที่สว่าง เราก็ดีใจ”

"เจ็บแทนได้เราก็อยากทำ แต่ในความเป็นจริงมันทำแทนกันไม่ได้ เราเห็นเขาแล้วเราสงสารเพราะว่าเขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก การที่เขาบอกว่ามันเจ็บ มันแสบ มันปวด มันทรมานไม่ไหว อันนั้นคือที่สุดแล้ว เพราะว่าพี่เมฆเป็นคนที่ทุ่มเทในทุกเรื่อง ดังนั้นเขาจะไม่บ่นต่อหน้าเมีย ต่อหน้าลูกเลย ถ้าเขาพูดมันคือที่สุดค่ะ"

"จากคนหล่อ พอวันนี้เขาเกิดแผลพุพอง เขาจิตตกค่ะ เขาคงคิดว่าลูกเมียจะรังเกียจไหม อะไรไหม เราทำให้เขาเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก คนเราเวลาเรารักกัน ตอนที่เขาดีเรารับได้ ตอนที่เขาเป็นอย่างนี้เราก็ต้องรับให้ได้ แต่ในความรู้สึกเราคือเรารู้สึกว่ามันไม่ได้น่ารังเกียจ เรารู้สึกว่านี่คือสามีเรา ดูแลทุกอย่างเหมือนเดิม"

บอกถ้าไม่หายจะออกจากวงการ ห่วงลูก-เมียลำบาก เตรียมการไว้หมดแล้ว
"เขาจิตตกมากกว่าค่ะ แล้วเขาก็เครียด เขาคิดว่าไหนจะค่ารักษา โน่น นี่ นั่น หาทางออกไม่ได้ ก็เลยพูดแบบนี้ เขาโทร.มาบอกเราว่า เขาเตรียมแผนไว้แล้ว เขากลัวเราเครียด แต่จริงๆ เราไม่เครียดเรื่องค่าใช้จ่ายเลย เครียดเรื่องเดียวคือทำยังไงก็ได้ให้เขาหาย เราไม่อยากให้เขาคิดถึงครอบครัวว่ากินอะไรยังไง จะบอกเลยว่าคือมีน้อย ก็ใช้น้อย ไม่จำเป็น ถ้ามันที่สุดแล้วทุกคนมีหนทางของตัวเอง ไม่อยากให้เขามากังวัลเรื่องนี้เลย"

"ก่อนมาเจอคุณหมอที่นี่ เราก็คิดว่าต้องหายค่ะ เรามีความหวังอยู่เสมอ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าที่ไหนในประเทศไทยที่เขาจะรักษาตรงนี้ได้แค่นั้นเอง ลูกสาวน่ารักมากค่ะ เขาบอกว่าป๊าไม่เห็นเป็นอะไรเลย ป๊าเป็นแผลนิดเดียว เดี๋ยวก็หาย เขาก็บอกว่าป๊าอย่าดื้อแค่นั้นค่ะ"

แพทย์เตรียมผลักดันตัวยาราคาเข็มละ 58,000 บาท หวังช่วยเหลือผู้ป่วย
"ก็คุยกับคุณหมอ อย่างที่คุณหมอบอกพยายามอยากผลักดันยาตัวนี้ เพราะว่าอย่างที่บอกคนไทยไม่ได้มีเงินทุกคน ดังนั้นถ้ายาตัวนี้มันผ่านแล้วรัฐบาลช่วยเหลือคนในประเทศไทยที่เจ็บป่วยอีกหลายพันคนมันคือชีวิตที่ดีขึ้น มันคืออนาคตของเขาอย่างที่คุณหมอบอกค่ะ"

"เรื่องค่าใช้จ่ายไม่กังวลค่ะ ไม่กังวลเลย เราไม่มองเรื่องค่าใช้จ่าย มองแต่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาหายหรือเขารู้สึกดีขึ้นอย่างที่เอ๋บอกพี่เมฆเป็นคนแคร์ทุกคน ถ้าเรากังวลเขารู้ทันที ดังนั้นเอ๋จะไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น"

ห้ามแล้วไม่อยากให้ไปทำงาน แต่อีกฝ่ายดื้อเอง ก็จนใจ ปล่อยให้ออกไป สุดท้ายก็หนัก
"ห้ามค่ะ เขาอยากจะทำงาน อย่างล่าสุดที่เขาไปพิษณุโลกเราห้าม เพราะเรารู้ว่าเรากลัวติดเชื้อ แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาออกไปแป๊บเดียว ชั่วโมงเดียวเดี๋ยวเขาก็กลับเข้าห้องแล้ว เขาก็ดื้อจะไป เราก็ลองปล่อยให้เขาไป พอเขาไปแล้วกลับมามันกลับมาเป็นอีกเขาก็เริ่มจะเชื่อ อย่างตอนนี้พอเราขอร้องเขาก็จะฟัง"

ไม่หายไม่ออกจากรพ.
"ก็อยากให้อยู่โรงพยาบาลจนหาย เมื่อหายแล้วค่อยออกไป คือถ้าไม่หายแล้วออกไปอย่างที่คุณหมอบอกมันแกว่ง แล้วเราเห็นภาพมันแกว่งมาแล้ว ผื่นมันขึ้นเยอะกว่าเดิม มันเด้งขึ้นมาจากที่มันยุบไปแล้วทั้งตัว เป็นแผลแห้ง วันที่มันสวิงแล้วกลับเข้ามาคือเป็นผื่นขึ้นจากแผลเดิมที่แห้งไปแล้วขึ้นมาใหม่แล้วขึ้นเยอะกว่าเดิม เพียงแต่ความปวดแสบ ปวดร้อนมันอาจจะไม่เหมือนครั้งแรกที่เราเข้ามา"

"แล้วคุณหมอก็เลยยิ่งเขาหาหนทางที่จะรักษา เรายิ่งเครียด เพราะเราไม่รู้แล้ว จริงๆ แนวโน้มมันควรจะดีขึ้นอย่างที่คุณหมอบอก แต่พอมันสวิงขึ้นมาเราก็เครียดแล้ว เครียดจากอาการที่เขาเป็นกลัวมีโรคแทรกซ้อน แต่เราไม่แสดงให้เขารู้ว่าเราเครียด พยายามเล่นกับเขา ถามเขาว่าคิดถึงลูกไหม อยากให้ลูกมาไหม 1-10 ระดับไหนที่คิดถึง เขาก็บอกระดับ 10 เราบอกโอเคเดี๋ยวพาลูกมา ถามว่าเหนื่อยไหมเหนื่อยมาก แต่เราอยากให้เขาสบายใจที่สุด ไปรับลูกมา ให้ลูกมาเล่นกับพ่อ"

กำลังใจจากครอบครัวสำคัญที่สุด
"คนป่วยเนอะพี่ เขาคงให้กำลังใจไม่ได้ เขาแค่บอกว่าจะรีบหาย เราเลยบอกว่าถ้ารีบหายก็อย่าดื้อกับหมอ ถ้าหมอบอกก็ฟัง เอาสุขภาพก่อน งานไว้ทีหลังค่ะ ตอนนี้กำลังใจมากจากครอบครัวและลูก ลูกเขารู้ว่าพ่อป่วย เขารู้ว่าตอนนี้เขาดื้อไม่ได้ เขาก็ทำตัวดีอย่างที่เราคาดไม่ถึง เขาเข้าใจอย่างที่เราคาดไม่ถึงค่ะ"







กำลังโหลดความคิดเห็น