xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตบ้าบิ่นที่กว่าจะเป็น “ดา เอ็นโดรฟิน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ดาไม่คุยกับพ่อแม่ประมาณ 3 ปีเลยนะ คือแบบอยู่บ้านก็จะบอกว่า ม.4 แล้ว จะทำยังไงก็ทำสักเรื่อง...”

คำบอกเล่าถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของชีวิตจากหนึ่งในนักร้องหญิงชื่อดังของบ้านเรา ซึ่งเมื่อย้อนกลับไป ณ ช่วงเวลาดังกล่าวหากเด็กสาวตัดสินใจเป็นอย่างอื่น ณ วันนี้เราคงไม่ได้รู้จัก “ดา เอ็นโดรฟิน” แต่อย่างใด

“ตอนเด็กๆ ดามีจุดมุ่งหมายที่ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้าไม่เป็นนักร้องก็ต้องทำอะไรที่เกี่ยวกับครีเอทีฟ ตอนนั้นดาต้องเซตจุดตัวเองให้ชัดเจน ถ้าเกิดหลงทางไปมันจะทำให้ช่วงวัยรุ่นมันสติหลุดได้ง่ายๆ”


เจอทางตั้งแต่เด็ก
“เส้นทางสายดนตรีสำหรับดามันใช่ตั้งแต่เด็กเลย เพราะดาจำได้ว่าตอน ม.3-ม.4 ดาเริ่มจับกีตาร์ได้ ก็อยากทำวงดนตรีเลย แล้วดาเล่นดนตรีตอนพักเที่ยงก็มีคนมานั่งฟัง เห้ย ฉันว่าฉันหาตัวเองเจอแล้ว ฉันว่างานสายนักร้องมันใช่เรามากที่สุดแล้ว เพราะถ้าเกิดว่าดาทำงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเพลง ก็น่าจะทำงานด้านครีเอทีฟอย่างที่บอกไว้”

แม้เส้นทางนักดนตรีจะเป็นเส้นทางที่ใช่สำหรับตนเอง ทว่าเส้นทางที่ว่านี้สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงกับสายตาของครอบครัวที่มองว่าเป็นเส้นทางนี้เป็นเส้นทางอโคจร และวาดหวังให้เธอรับราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบิดาที่ไม่โอเคเอาเสียเลยในฐานะของอาชีพตำรวจที่ต้องเจอะเจอกับชีวิตคนเที่ยวกลางคืน นักดนตรีตีกัน ฯลฯ

“คือด้วยวงการนักร้องมันเหมือนเหล้า ยา รอยสัก มันดูภาพแบดบอยมากเลย แล้วแนวเพลงร็อก ผู้ชายภาพมันไม่ดี ซึ่งพ่อดาเป็นตำรวจ มีคนไปร้องเรียนคดีของนักร้องตีต่อยกันเป็นประจำ มันเลยเป็นภาพฝังใจของพวกเขา ตอนนั้นภาพของนักร้องมันดูไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่

แต่ตอนนั้นการที่ดามีปัญหากันในครอบครัว มันทำให้เราแข็งแรง มันทำให้เรายิ่งหนียิ่งเจอสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราอยู่ด้วยแล้วเป็นตัวเองมากที่สุด ก็มีไปร้องเพลงเปิดหมวกแถวๆ ถนนข้าวสาร คือตอนนั้นเราโดนตัดค่าขนม เราทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีเงิน ไปก็เลยไปร้องเพลงเปิดหมวกเพื่อนำเงินไปเช่าห้องซ้อมดนตรี”

ตระเวนสายประกวดกระทั่งไปเข้าตาค่ายเพลงใหญ่...“วันที่พ่อมาเซ็นสัญญาในตึกแกรมมี่ เพราะตอนนั้นเราอายุไม่ถึง 20 ต้องมีผู้ปกครอง แล้วตอนที่เดินเข้าตึกมากับพ่อ จากที่พ่อเป็นคนแข็งๆ แบบตำรวจ เขาพูดว่าถ้ามีบริษัทดูแลอย่างนี้มันก็จบ ไม่ใช่ร้องเพลงไปวันๆ ซึ่งดาก็ทำให้เขายอมรับแล้วสถานการณ์ครอบครัวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นมา”


“เพื่อนสนิท” ทำชีวิตเปลี่ยน
หลังออกผลงานเพลงชุดที่ 2 “สักวา 49” ในนามของวง “เอ็นโดรฟิน” โดยมีเพลงที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง “เพื่อนสนิท” ชื่อของนักร้องหญิงก็โด่งดังขึ้นมาทันทีพร้อมกับชีวิตที่มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง

“ช่วงนั้นเพลงเพื่อนสนิทดังใหม่ๆ ตอนนั้นเราเองกำลังเรียนอยู่ ม.5 วันนั้นเรานั่งรถกระป๋องไปโรงเรียน เพราะตัวดาเรียนอยู่โรงเรียนสตรีวัดระฆัง แล้วทีนี้ดาได้ยินเพลงดังมาจากรถเมล์ เราก็คิดในใจว่าตัวเราเองดังแล้วหรอเนี่ย อารมณ์เด็ก ม.ปลาย ซึ่งดาคิดว่ามันเป็นความสุขของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเด็กมัธยมกลายมาเป็นศิลปิน ก็มีคนเริ่มจำได้ และเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย

ถามว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เปลี่ยนถึงขั้นดาต้องลาออกจากโรงเรียน คือ ม.5 ดาไม่มีคะแนนสอบเอนทรานซ์ เพราะทัวร์คอนเสิร์ตเยอะ ดาต้องไปเรียนพาณิชย์ 2 ปี เพื่อเอาวุฒิ ปวช.ไปต่ออนุปริญญา ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด แล้วดาก็กลายมาเป็นชีวิตวัยทำงานไปเลย ดาไม่เคยเป็นเฟรชชี่ ดาไม่เคยรับน้อง ไม่มีชีวิตวัยรุ่น เพราะเพลงเพื่อนสนิทเพลงเดียวทำชีวิตฉันเปลี่ยนมาก (หัวเราะ)”


เดินออกหาความฝัน
โด่งดังในฐานะนักร้องมีทั้งชื่อเสียงและเงินทองนานกว่า 10 ปี จู่ๆ “ดา เอ็นโดรฟิน” ก็ทำเอาหลายคนแปลกใจอีกครั้งเมื่อเธอไม่ตัดสินใจต่อสัญญากับต้นสังกัด ซึ่งเธอได้บอกถึงเหตุผลของการตัดสินใจครั้งสำคัญในครั้งนั้นว่า...

“ที่ไม่ต่อสัญญา ตอนนั้นคิดเหตุผลแค่เราอยากออกไปชอปปิ้งข้างนอกดู อยากไปค้นหาว่าเราอยากทำงานกับใครได้บ้าง คืออย่างเวลาที่เราอยู่ค่ายเพลงแล้วเรามีสัญญา มันต้องผ่านขั้นตอนในการทำงานต่างๆ ตามลำดับ แต่ความสนุกของดาตอนไม่มีสังกัดคือเรากลับไปเป็นอินดี้นิดๆ อีกครั้ง

เหมือนเราได้ไปคุยกับพี่ๆ น้องๆ ศิลปินในมุมที่เราอยากร่วมงานกันมั้ย ในมุมที่เราไม่มีสัญญาค่ายแล้ว เราใช้ความอยากทำในสิ่งที่เรารักมากกว่า สำหรับดามันทำให้เรามีมุมมมองที่หลากหลายมากขึ้น ดาคิดว่ามันไม่ได้เป็นแค่เรื่องสัญญา มันเป็นเรื่องที่ทำให้เราได้เห็นมุมต่างๆ ที่แบบเหมือนย้ายโรงเรียนมากกว่า”

ไม่ได้มีปัญหาแค่อยากจะเดินเร็วขึ้น?
“ดาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แค่ดาอยากจะเดินเร็วมากขึ้นเท่านั้นเอง เราอาจจะไม่ต้องรอในการดีไซน์แล้ว แต่เราอยากเป็นคนไปหามาเอง เหมือนเราไปชอปปิ้งข้างนอกมาแล้วเราดึงคนข้างนอกมาช่วยกันทำงานกับโปรเจกต์ใหม่ก็สนุกขึ้น อย่างที่ดาบอกพอเราร้องเพลงมา 10 กว่าปี เรารู้สึกว่าเราไม่อยากเดินแล้ว เราอยากวิ่งแล้ว”


ถ้าไม่เป็นนักร้องคงเป็นผู้ใหญ่ใจแตก?
ออกไปตามหาตัวตนมานานกว่า 2 ปี วันนี้ นักร้องหญิงกลับมาคืนบ้างหลังเดิมอีกครั้งพร้อมพกพาประสบการณ์ 14 ปีในวงการเพลงถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานอัลบั้มใหม่ที่ชื่อ “DAMATIC” กับ 5 Single, 5 แนวดนตรี, 5 Mood, 5 Character ครั้งนี้เธอยังรับหน้าที่เป็น Executive Producer อย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกอีกด้วย

“ตอนเด็กๆ เราคาดหวังว่าเวลาเราทำเพลง มันจะต้องกลายเป็นเพลงที่ฮิต แล้วจะต้องมียอดวิวเยอะๆ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่าการทำเพลงมันคือมุมแบบว่าเราพูดอะไรออกไป เราพรีเซ็นต์อะไรออกไปให้คนได้ฟังกันมากกว่า เราเรียบเรียงเพลงยังไงให้คนรู้สึกว่าเป็นงานแบบใหม่ เราเหมือนมองในมุมครีเอทีฟมากขึ้น

แต่เพลงที่เราปล่อยออกไป ดาคิดว่ากระแสมาแน่ๆ แล้วก็เป็นจริง อย่างเพลง “คำอำลา” กระแสก็ดี แต่ในมุมมองของพี่ๆ ศิลปินเขาจะมองว่าแกมันบ้า แต่สำหรับดามองว่าเป็นเรื่องความสนุกมากกว่า การที่เราทำได้เพลงออกมาในอัลบั้ม 5 รสชาติ มันทำให้เรามีโอกาสให้คนอื่นเห็นในมุมมองที่ไม่ได้เป็นเพลงช้า อย่างหลายคนเห็นเพลง ดา เอ็นโดรฟิน ปล่อยมาทุกคนก็อยากที่จะต้องรอฟังเพลงช้า แต่อันนี้ก็มี โต้ง ทูพี มาแรปด้วย แถมยังมีเพลงภาษาอังกฤษอีก

มันทำให้คนรู้สึกว่าในมุมทำงานเราดูแลตัวเองถึงขั้นควบคุมการผลิต และยังเป็นโปรดิวเซอร์ได้แล้ว จริงๆ อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในการนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ของดาครั้งแรก 100 เปอร์เซ็นต์เลย”

บรรยากาศยังเหมือนเดิมมั้ย?
“ทุกอย่างยังเหมือนเดิน ยังเป็นบ้านหลังเดียวและหลังแรกของดา เวลาดาเจอพี่ๆ ที่เป็นผู้ใหญ่ รวมถึงทีมงาน ดาก็จะบอกพี่เขาว่าดายังรักเหมือนเดิมและยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันเสมอ เพราะแกรมมี่เป็นเหมือนโรงเรียนที่สอนดาเยอะมาก สอนให้เราทำงานตั้งแต่เด็กจนโต เป็นโรงเรียนหลังเดียวที่ทำให้ดารู้สึกได้ประสบการณ์มากมาย แล้วโมเมนต์ดีๆ ที่เกิดขึ้นกับ เอ็นโดรฟิน มันเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคเทป ซีดี MP3 แล้วก็เป็นดิจิทัลอัลบั้ม

ลองย้อนกลับไปในวันวาน ถ้าไม่ตัดสินใจเป็นนักร้องแต่ยอมเดินตามความฝันพ่อด้วยการรับข้าราชการ นึกภาพออกมั้ยว่า วันนี้ผู้หญิงที่ชื่อ “ธนิดา ธรรมวิมล” คนนี้จะเป็นยังไง?

“ตอนนี้ดาคิดว่าคงเป็นผู้ใหญ่ใจแตกไปแล้ว (หัวเราะ) คือดาเข้าใจมันเป็นธรรมชาติของคนอยู่แล้ว ถ้าเกิดทำอะไรที่ตัวเองไม่ใช่มากๆ วันหนึ่งมันจะระเบิด ซึ่งอันนี้มันใช้ได้กับงานทุกงานด้วย ถ้าเด็กๆ น้องๆ ที่ดูอยู่ บางทีถ้าไม่ใช่ตัวเองมากๆ แล้ววันหนึ่งมันเกิดจุดเปลี่ยนขึ้นมา มันเกิดระเบิดตัวเองขึ้น วันนั้นมันจะทำให้เราใช้สติในการควบคุมชีวิตยาก ก็ดีแล้วที่ทำให้เราฮึดสู้ตั้งแต่เด็ก จนมันเจ็บเองเหนื่อยเอง (ยิ้ม)”


นิยามความรักในแบบฉบับ “ดา เอ็นโดรฟิน”
“ถ้าจะให้คำนิยามของความรัก ดาคิดว่าความรักคือความที่เราใส่ใจ และไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ คือพลังงานดีๆ ที่ทำให้คนเรามีชีวิตอยู่ไปได้ แต่งเพลงก็ได้ หรือมีเหตุผลที่จะใช้ชีวิต นั้นแหละคือนิยามความรักอายุ 32 ในตอนนี้ (หัวเราะ)

ดาว่าตอนนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องอยู่ ขอ หมั้น แต่ง ย้ายบ้านใหม่ คือสมัยนี้ดาเห็นชีวิตผู้ชายผู้หญิงเปลี่ยนไปเยอะมาก บางคนอยู่กันมาเป็น 10 ปีก็ยังไม่แต่ง บางคนเลือกที่จะไม่มีลูก ส่วนดาอยากจะมีลูกก่อน แล้วให้ลูกมาถือแหวนให้ในงานแต่ง คือใครจะไปรู้ตอนนั้น ถ้าเราอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสูตรสําเร็จ

แต่ดาก็ไม่ได้หมายถึงต้องไปแอนตี้ประเพณี เราแค่คิดว่าสูตรสําเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดาอยากให้ลูกดาไปถือแหวนให้ไง ก็วางแผนอยากมีครอบครัวก่อน มีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ดามองว่ามันน่ารักดีสำหรับเรา”

หนุ่มที่คบอยู่คือคนที่ใช่?
“ดาว่าคนนี้ใช่ที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีความรักมา หนึ่งเราอาจจะเป็นผู้หญิงที่ดูแลตัวเองมาโดยตลอด แล้วประเพณีของฝรั่งเขาจะแฮปปี้ เขาไม่ต้องคอยดูแลผู้หญิงตลอดเวลา การที่เราเปิดโอกาสให้กันทำให้การคบกันมันไม่มีงอนกันหรืองอแง คือมันไม่ใช่เป็นฟีลนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นมันทำให้เราค่อนข้างชัดเจนทั้งคู่”

“เราทั้งคู่เดินไปด้วยกัน ไม่มีผู้หญิงเท้าหลัง ผู้ชายเท้าหน้า มันไม่มีแล้ว มันคือความเท่าเทียม ความมีตัวตนของกันและกันพอ...”


กำลังโหลดความคิดเห็น