พี่สาว "น้ำตาล เดอะสตาร์" เผยน้องยังโคม่า สมองขาดออกซิเจน หายใจเองไม่ได้ หัวใจไม่สามารถเต้นได้ตามปกติ รับอาการไม่ได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้ทรุดลง ถึงน้องหายก็ไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ เสียงสั่นบอกครอบครัวยังมีหวัง แม้ก่อนหน้านี้มีโอกาสเสียชีวิตได้ทุกนาที
จากกรณีข่าวช็อก "น้ำตาล เดอะสตาร์" หรือ "บุตรศรัณย์ ทองชิว" มีอาการเลือดออกทางปากและจมูก หมดสติครอบครัวส่งตัวรักษาที่รพ.สมุทรสาคร แพทย์ต้องปั๊มหัวใจ 2 ครั้ง เบื้องต้นรายงานว่านักร้องสาวน่าจะมีอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร พร้อมส่งตัวสาวน้ำตาลรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช
ล่าสุดวันนี้ (12 มิ.ย.) "น้ำผึ้ง พิมพ์รดา ทองชิว" อายุ 31 ปี พี่สาวน้ำตาล ก็ได้อัปเดตอาการน้องสาวที่โรงพยาบาลศิริราช ตึกสยามมินทร์ ชั้น 6 โดยยอมรับว่าตอนนี้อาการของน้องยังโคม่า ไม่รู้สึกตัว หายใจเองไม่ได้ หัวใจไม่สามารถเต้นได้ตามปกติ แต่ถึงอย่างไรครอบครัวก็ไม่สิ้นหวัง
“อาการล่าสุดตอนนี้ก็คงตัวเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ได้ออกข่าวไป น้องตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัวในที่นี่คือไม่สามารถหายใจเองได้ แล้วหัวใจก็ไม่สามารถเต้นปกติเองได้ ตอนนี้คือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจให้น้องมีชีวิตอยู่ตอนนี้ ที่รู้จากคุณหมอก็คือแค่นี้ อัปเดตจากที่ตอนแรกอยู่ที่โรงพยาบาลตัว วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพราะว่าโรงพยาบาลไม่มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แล้วเขาบอกเคสนี้ค่อนข้างใหญ่ แล้วก็ค่อนข้างเสี่ยง เขาก็เลยแนะนำว่าให้หาแพทย์เฉพาะทางดีกว่า"
"กระบวนการรักษาต้องรอคุณหมอ ต้องบอกเลยว่าโชคดีมากที่คุณหมอปรัญญา สากิยลักษณ์ จากศิริราช (แพทย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ แพทย์เจ้าของไข้) ท่านให้ความกรุณามากที่มาช่วย เพราะปกติไม่ได้รับเคสอย่างนี้ง่ายๆ ท่านไปที่โรงพยาบาลตัวจังหวัดเพื่อที่จะไปดู ไปดูอาการให้ และก็นั่งรถมากับน้องเพื่อที่มารักษาที่ศิริราช ส่วนตัวรถก็ต้องขอบคุณทางโรงพยาบาลกรุงเทพด้วยที่เขายอมให้ใช้รถทั้งที่เราไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลเขา นึกออกใช่ไหมคะ ด้วยความที่รถเขาค่อนข้างพร้อม และเป็นรถที่อุปกรณ์ครบ ก็ต้องขอบคุณด้วย"
"ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่ตรวจวิเคราะห์อยู่ ก็คือตั้งแต่มานี้ผึ้งยังไม่ได้คุยกับคุณหมอ ยังไม่ได้เข้าไป ยังไม่ได้เจอน้อง"
เผยน้ำตาลมีอาการเหมือนเลือดกำเดาไหล แต่ออกทั้งปากและจมูก ก่อนจะเดินเซๆ และหมดสติไป แม่ต้องปั๊มหัวใจ
"อาการเกิดขึ้นจริงๆ ผึ้งต้องบอกก่อนว่าผึ้งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เป็นคุณแม่ แต่ว่าจากที่ฟังคุณแม่เล่าก็คือทานข้าว ก็มีอาการปกติไม่ได้มีอาการอะไร ก่อนหน้านี้น้องก็ไม่ได้มีอาการป่วย ทานข้าวแล้วก็เหมือนกับคนที่เขาเลือดกำเดาไหล แต่เขารู้สึกว่าเลือดกำเดาจะไหล เขาก็ปิดแต่มันออกมาทางปาก ออกมาเป็นเลือดเหมือนเด็กสำรอกออกมานิดหนึ่ง"
"แล้วเขาก็เลยคุยกับคุณแม่ว่ามันเป็นเลือดลิ่มๆ เลยรู้สึกว่ามันอาจเป็นเลือดกำเดาที่ค้างอยู่ตรงนี้หรือเปล่า เพราะว่ามันเชื่อมกัน คุณแม่ก็เลยให้นั่งพัก พอสักพักหนึ่งมันกลายเป็นว่ามันออกมาอีก มันสำรอกออกมาอีกและมันก็ออกมาเรื่อยๆ ออกมาทั้งทางปากและจมูก ออกมาไม่หยุด น้องก็มีอาการเซ เหมือนคนสติไม่เต็มร้อย เดินเซ บังคับตัวเองไม่ได้"
หมอกังวลสมองขาดออกซิเจน ปอดแตก ต้องเจาะอีกข้างเพื่อระบายอาการ
"คุณแม่ก็จับให้นั่งลง แล้วน้องค่อยๆ เหมือนจะหมดสติลง คุณแม่ก็ทำการปั๊มหัวใจเบื้องต้น เอาน้องนอนลงและปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมกับเรียกรถพยาบาล พอรถพยาบาลมาก็พาขึ้นและก็ใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่อาจจะมีจังหวะหนึ่งที่เคลื่อนน้องขึ้นรถ อาจจะทำให้การปั๊มมันไม่ต่อเนื่อง อาจจะทำให้น้องขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง"
"ตอนนี้คุณหมออาจจะกังวลเรื่องนี้อยู่ด้วย เพราะว่าตอนที่ไปถึงที่โรงพยาบาลมันมีภาวะที่น้องหยุดหายใจไป 2 รอบ แล้วก็ปั๊มหัวใจขึ้นมา 2 รอบ รอบแรกขึ้นมาฟื้นแล้ว รอบที่สองก็คือปั๊มอีก แต่รอบที่สองใช้เวลาปั๊มอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง น้องถึงจะเหมือนดีขึ้นนิดหนึ่ง แล้วพอเอ็กซเรย์มา ปอดข้างหนึ่งเหมือนมันแตก คุณหมอก็เลยต้องเจาะอีกข้างหนึ่งเพื่อระบายอากาศ ประมาณนี้"
"ปอดข้างหนึ่งก็ไม่เต็มร้อย แต่ว่าผึ้งก็ยังไม่แน่ใจ อย่างที่บอกว่ายังไม่ได้รับการตรวจอย่างละเอียด เลยยังไม่อยากพูดอะไร อยากให้ฟังจากคุณหมอดีกว่า อันนี้คืออาการเบื้องต้นที่ผ่านมา ก่อนที่จะมาถึงตรงนี้ตามที่บอกได้ ส่วนการรักษาจะเป็นยังไง หรืออาการอัปเดตจะเป็นยังไงอยากให้รอคุณหมอจะดีกว่า"
เผยเป็นความโชคดีของน้ำตาล หมอผู้เชี่ยวชาญด้านปอด หัวใจมาช่วย เป็นเคสที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
"อย่างที่รู้คือคุณหมอเชี่ยวชาญด้าน ปอด หัวใจ แล้วก็บวกกับที่ว่าเหมือนกับว่าเคสนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เขาคงมีความที่อยากจะช่วย ผึ้งก็ไม่แน่ใจ แต่ถือเป็นความโชคดีที่มันเกิดขึ้นกับน้อง ส่วนวิธีที่จะรักษาจะเป็นแนวไหนอันนี้เรายังไม่แน่ใจจริงๆ เพราะว่าผึ้งยังไม่ได้คุยกับหมออย่างที่บอก”
อาการยังโคม่า ไม่ได้ดีขึ้น ไม่ได้ทรุดลง
"ก็เรียกว่าโคม่าอยู่ เขาไม่ได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทรุดลง ก็ทรงๆ ก็คือรอคุณหมอ ที่ผ่านมาน้องแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว เลยยังงงว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร"
เสียงสั่นบอกครอบครัวไม่หมดหวัง
"ตอนนี้ก็ทำได้แค่บอกครอบครัวว่าใจเย็นๆ เพราะว่าบ้านผึ้งไม่ได้เป็นคนที่แบบว่าพูดอะไรกันอยู่แล้ว จะอยู่ด้วยกันมากกว่า พอผึ้งรู้ก็ขับรถมา เพราะว่าผึ้งไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ก็ขับมาเดี๋ยวนั้นเลย ก็มาอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้ ก็อยู่ด้วยกัน ครอบครัวก็ยังมีหวัง ต้องมีอยู่แล้ว"
"ตอนนี้ยังรอคุณหมออยู่ค่ะ ยังรออยู่แล้วก็... ผึ้งก็หวัง ครอบครัวก็หวังว่ามันจะต้องดีขึ้น มันจะต้องหาย เพราะว่าทุกคนทำสุดความสามารถแล้ว เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาแล้ว สำหรับน้อง และผึ้งต้องขอบคุณอีกอย่างหนึ่ง คือพอทุกๆ คนรู้ข่าวก็ช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ สื่อ หรือว่าทางบริษัทเอ็กแซกท์เอง หรือทีมงานเดอะสตาร์ทุกคนก็ช่วยกัน ผึ้งคิดว่าถ้าเกิดน้องรู้ (เสียงสั่นเครือ) น้องคงดีใจ และผึ้งก็อยากให้น้องตื่นขึ้นมาเป็นที่รักของคนอื่นอีก"
ขอบคุณทุกกำลังใจ น้องตื่นมารับรู้ต้องดีใจ
"ตอนนี้มีคนทักเข้ามาเยอะ ซึ่งต้องขอโทษไว้ด้วย เพราะผึ้งอาจจะตอบได้ไม่ครบ แล้วจริงๆ มันก็ไม่สะดวกอย่างที่พี่ๆ เห็นว่าไม่สะดวกที่จะตอบ ก็ฝากตรงนี้ไปเลยว่าขอบคุณมาก และผึ้งรับรู้ทุกความห่วงใย และเชื่อว่าถ้าตาลตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าทุกคนรักเขา เขาก็ต้องดีใจ ขอบคุณมากๆ"
"เรามีพี่น้อง 3 คนแล้วอีกคนไปเมืองนอก ซึ่งตอนแรกไม่ได้บอกเขา แต่อีกใจหนึ่ง ยังไงเพื่อนๆ ก็ต้องรู้ เราก็เลยตัดสินใจบอกไปว่าทุกอย่างที่เราทำ ก็ดีสำหรับเขาแล้ว คือไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เพราะเราก็กำลังจัดการทุกอย่างแล้ว"
"ครอบครัวเราวิเคราะห์ไม่ออกเลย เพราะน้องเขาก็ปกติเหมือนเราทุกคน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อย่างคุณหมอที่ไปรับตัวน้องมา ท่านก็วิเคราะห์เบื้องต้นว่าน่าจะเกี่ยวกับปอดเพราะเลือดที่ออกมาจากปอด ซึ่งปอดข้างหนึ่งได้แตกไปแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่ามาจากการปั๊มหรือเลือดมันทะลักออกมา มันก็ทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์"
ไม่แน่ใจจะหายร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่
"และตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหายแล้วจะปกติ 100%หรือเปล่า เพราะออกซิเจนไม่ได้ไปเลี้ยงสมองถึง 2 ครั้ง และตาลเป็นคนใช้ชีวิตปกติมาก ไม่ได้กินเหล้า ไม่ได้สูบบุหรี่ ก็เลยงงว่าเป็นเพราะอะไร ก็เลยคุณหมอวินิจฉัยดูว่าเป็นอะไร เพราะอย่างที่บอกไปว่าเขาทรุดลงไปเลย เหมือนมีเลือดกำเดาไหล มันไม่หยุด"
เสี่ยงก็ต้องยอม บอกน้องเสียเลือดเยอะมาก และสามารถเสียชีวิตได้ทุกนาที
"ในกระบวนการนี้เขาเสียเลือดเยอะมาก ให้เกล็ดเลือดเยอะมาก หมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดยังบอกเลยว่าต้องอาการเป็นนาทีต่อนาที สามารถไปได้ทุกนาที และที่ผึ้งต้องรอจนนาทีสุดท้าย ที่ต้องเคลื่อนย้ายเพราะเขาไม่แนะนำให้เคลื่อนย้าย จนอาการน้องเริ่มทรง แม้มันจะมีความเสี่ยงก็ตาม แต่เราก็จะทำ และถ้าเสี่ยงไม่ย้ายก็เท่ากับน้องรออยู่ที่นั่น ผึ้งกับครอบครัวก็คิดแล้วว่ามันมีค่าเท่ากัน ก็เลยทำการย้าย เชื่อว่าทีมแพทย์ที่นี่พร้อมซัปพอร์ตเราทุกด้าน"
(อ่าน : แฟนคลับร่วมส่งกำลังใจ "น้ำตาล เดอะสตาร์" หลังอาการยังคงวิกฤติหัวใจหยุดเต้น 2 ครั้ง!)