จากเด็กสาวที่เคยวิ่งตามความฝัน อยากเป็นศิลปินนักร้อง จนกระทั่งมีปัญหากับครอบครัวเพราะเส้นทางที่เธอเลือกเดิน วันนี้ ดา เอ็นโดรฟิน ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานตลอดเวลาที่ผ่านมา และวันนี้เมื่อเธอมาเป็นแขกรับเชิญ ในช่วง Soundtrack of Life ของคลื่น Goodtime 98.5 FM เธอคัดสรร 10 บทเพลงในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนกระทั่งถึงวันนี้....มารู้จักตัวตนของผู้หญิงสตรองคนนี้ไปพร้อมกัน
1. ไม่รักดี - เปเปอร์แจม
เพลงนี้สำหรับดา ต้องบอกเลยว่ามาจากความชอบของเรา เราชอบผู้หญิงเท่ มันอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เรา รู้สึกอยากตัดผมสั้น เ พราะวงนี้มีผู้หญิงร้องนำ อีกอย่างยุคนั้นมันเป็นยุคอัลเทอร์เนทีฟ บ้านเราก็เริ่มมีวงโลโซ โมเดิร์นด็อก แต่วงผู้หญิงมีไม่กี่วง ที่เป็นอัลเทอร์เนทีฟ เสียงเป็นแบบว่าร็อก ก้าวร้าวนิดนึง เปเปอร์แจมคือ พี่อุ๊ หฤทัย เป็นคนร้องนำนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนต้องร้องเพลงนี้ ตัวดาก็ใช้เพลงนี้ในการประกวด ชื่อเพลงว่า “ไม่รักดี” เพลงนี้ดาใช้ตอนฟอร์มวงประกวดดนตรีใหม่ๆ เราอยู่สตรีวัดระฆัง เป็นโรงเรียนหญิงล้วน พยายามหาเพลงที่มีคาแรคเตอร์ผู้หญิงอยู่ในนั้น แต่ต้องเป็นผู้หญิงแบบเท่ ก้าวร้าวนิด ๆ แบดนิด ๆ ด้วยเนื้อหาและความที่เสียงเราใหญ่ ตอนนั้นพี่ ๆ ห้องซ้อมบอกเลยว่าดาต้องแนวนี้ ต้องมาสายดาร์ก ปรากฏว่าทำแล้วรุ่ง เพลงไม่รักดีเลยมาเป็น Role Model ของเรา
ตอนช่วงมัธยม ดาเล่นกีต้าร์ด้วย มีสมาชิกในวง 4 คนจากทั้งโรงเรียน เราเป็นวงสตริงวงแรกของโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ปีแรกดาตั้งวงเป็นแนว Acoustic ก่อน เล่นเบาๆไปก่อน โดยในวงมีผู้หญิงหมดเลย เวลาเล่นก็ถกกระโปรงเล่นดนตรีเลย ความสนุกในสมัยนั้นคือช่วงพักกลางวัน จะเหลือเวลาอยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนถึงคาบบ่าย เราก็ตั้งวงเล่นกีตาร์อยู่ตรงสนามตัวหนอน เล่นแบบแนว Acoustic จนเริ่มมีแฟนคลับ และก็เริ่มมีโครงการดนตรีสากลเกิดขึ้น ในโรงเรียน ถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ปีแรกที่ทำ มันโดนแอนตี้หลายอย่าง ตอนนั้นคุณพ่อไม่โอเคมากๆ เพราะคุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นครู แล้วตอนนั้นเวลาตำรวจรับฟ้องคดีเนี่ยก็จะมีนักดนตรีแบดบอยเยอะมากๆ เรื่องยาเสพติดเอย เรื่องตีกัน เมาแล้วขับ ทุกสิ่งที่มันเกี่ยวกับ Night Life แต่พอเราชอบแบบนี้ เราเริ่มออกจากบ้านไปตอนกลางคืน ไปประกวดดนตรี ไปซ้อมดนตรีหลังเลิกเรียน บอกเลยว่าตอนเช้าถกกระโปรงขึ้น ตอนเย็นก่อนเข้าบ้านต้องถกกระโปรงลง จะเข้าบ้านก็ติดกิ๊บดำตัวนึง แต่เราก็รู้สึกว่าคุณพ่อ คุณแม่แสดงความไม่พอใจ เชื่อไหมว่าเป็นแบบนี้ 3 ปีที่ไม่คุยกัน คุยกันก็ไม่อบอุ่นเหมือนสมัยก่อน เพราะว่าเราเป็นวัยรุ่นด้วยอายุ 15 – 16 เริ่มเถียงเก่ง เพราะเริ่มหาตัวตนของตัวเองเจอ อย่างเวลาทะเลาะกันถ้าเกิดจะต้องเถียงกันแล้ว ถ้ามีเหตุผลที่หนักแน่นเราก็โอเค อีกอย่างเราไม่ได้เถียงแบบไม่มีเหตุผล ตอนนั้นมันอยู่ในช่วงซีเรียส จนเขาบอกว่าอยากเล่นดนตรีนักใช่ไหม งั้นก็ไปดุริยางค์ทหารเรือ ให้รับราชการด้วยและก็เล่นดนตรีด้วย คือ Compromise กันขนาดนั้นอ่ะ คือ เรารักวงโยนะ แต่เราจะไปเป่าแตรไม่ได้ เล่นทรอมโบนไม่ได้ ดาต้องร้องเพลง ตอนนั้นเขายอมเราอยู่ แต่ก็ไม่ให้ออกนอกกรอบ เพลงมันเข้ากับสถานการณ์ตอนนั้นมาก แต่ตอนนี้เราผ่านมาแล้ว และก็ได้ดีไง เพลงไม่รักดีเพลงนี้ พอเปิดฟังทุกครั้ง ทำให้เรารู้สึกคิดถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมาทันทีค่ะ
2. พรุ่งนี้...ไม่สาย - ทาทา ยัง
จริง ๆ แล้วดาเป็นคนมีสองมุม นอกจากเพลงแนวร็อกแล้ว เราก็ชอบเพลงแบบ R&B มีโซล-ป๊อป ด้วย จากวัยรุ่นพอโตขึ้น เราก็ร้องเพลงป๊อปบ้าง จากอัลเทอร์เนทีฟ ก็เริ่มเป็นแบบ Fashion Icon มากขึ้น ฝรั่งก็จะมี Britney, *NSYNC ฝั่งไทยเราก็จะมีสาวน้อยมหัศจรรย์ นั่นคือ พี่ทาทา ยัง นั่นเอง ช่วงนั้นดาก็มีแต่งตัวตามแฟชั่นบ้าง กางเกงสีเทา แบบพี่ทาทา เราก็มีนะ คือไม่จำเป็นต้องใส่หนัง ใส่ลายพรางตลอดเวลา ช่วงนั้นวงการเพลงเริ่มทำเพลงแดนซ์มากขึ้น เราก็เริ่มคิดว่า เอ..เราสายเต้นไหม? ช่วงนั้นจะอินกับแฟชั่นการแต่งตัวมาก พอมาฟังเพลงนี้แล้วให้มองย้อนกลับไป ช่วงนั้นก็คงตัดผมหน้าม้า ซอยเป็นรากไทร บ๊อบ ๆ หน่อย อยากเป็นเด็กลูกครึ่ง เพราะพี่ทาทา นี่เป็นไอดอลยุคแรก ๆ เลย ทุกอย่างเป็น ทาทา หมด กางเกงเทา เสื้อลายโซนิค ใส่หมวกแบบเบเรต์ เล่นหนังเล่นกับพี่มอส เป็นนางเอก เห็นการเติบโตของ พี่ทาทา ด้วย และที่จำได้ดีที่สุดคือ ตอนนั้นเราได้ Cover เพลงนี้ของพี่ทาทา ตอนช่วงอายุ 20 ต้น ๆ ก้าวสู่วัยรุ่นเต็มตัว เฟรชชี่ใหม่ ๆ เลย เป็นความทรงจำของดาครั้งนึงที่คิดถึงแล้วมีความสุขค่ะ
3. ลอยทะเล - Joey Boy
ตอนที่ได้การบ้านจาก Goodtime มาดาก็ลองหลับตานึก ตั้งแต่เข้าวงการ ลองไล่ยุคของดนตรีมาเรื่อยๆ จากไม่รักดี พรุ่งนี้ไม่สาย อยู่ดีๆก็คิดถึงเพลงนี้ ลอยทะเล เพราะยุคนั้น มันจะมีดนตรีที่แบบเราจะได้รับวัฒนธรรมจากฝั่งยุโรปอเมริกา ตอนนั้นเราเป็นผู้หญิง ก็ชอบแนวปาร์ตี้ เพลงแนวแดนซ์ ๆ นิดนึง ก็มาเจอเพลง “กากี่นั้ง” ก่อน พอได้ฟัง โอ้ มาย ก้อด วงอะไรอ่ะ มันดีมากเลย คือ มี คริสติน มี พี่โอ๋ ฟูตอง มือเบส พี่ MC อะไรอย่างเงี้ย มันดูมีสีสัน มันดูเป็น Black Eyed Peas คือดูแบบชั้นอยากเป็นเด็กแบบนี้ เป็นเด็กแบบไม่สนใจ รู้สึกแบบเป็นวัยรุ่นไม่แคร์ เราจะใส่กางเกงหย่อนๆบ้างได้ไหม คือตอนแรกเรายังใส่สกินนี่อยู่เลย เราเชื่อว่าเด็กวัยรุ่นทุกคนเป็น ทุกคนจะแต่งตัวและก็จะเริ่มทำอะไรไม่เข้ากับตัวเอง ทุกคนต้องเคยตัดผมที่ผิดกับตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งเพลง “ลอยทะเล” ก็เป็นเพลงหนึ่งที่เป็นสีสันของวงการดนตรีตอนนั้นมาก Hip Hop วงแรกๆ ของเมืองไทย สมัยนั้นเนี่ยดา มี ซาวน์เบาท์ อยู่เครื่องหนึ่ง แล้วก็มีเทป เทปเนี่ยเราจะอัดซ้ำไปซ้ำมาแบบยืดแล้ว คือเราเปิดเรดิโอใส่หูฟัง แล้วเตรียมพร้อม เพราะว่าเพลงนั้นจะมากี่โมงก็ไม่รู้ มาปุ๊บเรากดเรคคอร์ดปั๊บ บางทีที่เราอัดก็ไปทับกับเพลงอื่นๆ ที่เรากำลังเปิดฟัง กลายเป็นเพลงใหม่ แบบ “ตอนเล็กๆไม่เรียนหนังสือ…ยังไม่สายที่จะรักกัน” มันเป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะตอนนี้เราไม่สามารถจะมีโมเม้นท์แบบนี้ได้อีกแล้ว ตอนนั้นเนี่ยมัน manual มากเลย มันต้องแบบเกียร์มือเท่านั้น ทุกคนจะต้องมี ซาวน์เบาท์ เทป ซื้อเทปเปล่ามาสำรอง ไว้สำหรับอัดเพลงที่เราชอบ
4. มหานคร - Thaitanium feat. ดา Endorphine
ต่อไปเนี่ยจะเป็นยุค Hip Hop 2,000 เมื่อกี้นี้ พี่โจอี้ จะเป็น Hip Hop แนว Old School แบบยุครุ่นแรก แล้วมันก็กลายเป็น Inspire ว่า เราก็ชอบเพลงที่เป็น Energy แล้วก็แบบว่า Cheer up นะ และก็ได้รู้จักกับศิลปิน Hip Hop กลุ่มหนึ่งที่เราเข้าวงการแล้วก็คือ Thaitanium แก็งเนี่ยเขาก็จะแบบเป็นเจ้าพ่อเพลง Underground แบบไร้สังกัดเลยแหละ และตอนนั้นดาว่ามันเป็น Culture ที่เหมือนแบบถูกปลดล็อกจากเด็กไทยนิดนึงอ่ะ คือดาชื่นชม Hip Hop กับร็อก พอๆกัน เพราะว่า base story เขาเอามาจากเรื่องจริงกันเยอะ บ้านแตกกันมั่ง มีปัญหากับแฟน คือเค้าต้องการสื่อสารกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ชีวิตอะไรอย่างงี้ ก็เลยบอก Thaitanium เอ่อ ถ้ามีโปรเจ็กต์อะไรทำกับ Thaitanium เนี่ยก็อยาก Represent Thailand ซึ่งพอมีโอกาส เราก็จัดเลยแต่งเพลงให้คนรักกรุงเทพฯมากขึ้น
5. เพื่อนสนิท - Endorphine
สำหรับเพลง ๆ นี้ คือเพลงแรกที่เปลี่ยนชีวิต ของดาไปตลอดกาล เลย เพลงที่เปลี่ยนเด็ก ม.5 ไปเป็นนักร้องมืออาชีพ จำได้ว่าวันที่ได้ยินเพลงตัวเองในรถกระป๋อง คือเรายังนั่งรถไปเรียนอยู่ใช่ป่ะ ใส่ชุดนักเรียนไป คือสตรีวัดระฆังเนี่ย โรงเรียนจะอยู่ใกล้ท่าน้ำศิริราช แล้วมันจะต้องนั่งรถกระป๋อง สีแดง 5 บาท ไปโรงเรียน แล้ววิทยุเปิดเพลงของดาพอได้ยินเราก็แบบตื่นเต้นอ่ะ เฮ้ย...นี่เสียงของเรา คือ เขาเรียกว่านักร้องแล้วเหรอ เราเป็นนักร้องเหรอ แล้วเด็กนักเรียนในโรงเรียนก็เริ่มจำเราได้ คือรู้อยู่แล้วว่าดากำลังจะเป็นนักร้อง เพราะเราเล่น Acoustic ในโรงเรียน แล้วเด็กที่นั่งในรถกระป๋องคันเดียวกัน เขาก็จะเริ่มแบบ เฮ้ย ! พี่ดาๆ เพลงพี่ แล้วมีแฟนคลับ อย่างเด็กๆ ม.1 ม.2 ตอนนั้นเนี่ยเราก็จะคอยฟังดีเจพูดว่า เพลงนี้กำลังขึ้นอันดับ อะไรอย่างงี้ มันเป็นความภูมิใจของเด็ก ม.5 คนนึงเลยนะ
สำหรับที่มาของเพลงนี้ ดาอยากเล่ามากๆ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นโชคชะตา จริงๆดาเชื่อเรื่องโชค เชื่อเรื่องคนตั้งใจ การที่วัยรุ่นเล่นผับกลางคืนมันจะโดนสิ่งล่อตาล่อใจเยอะแยะมากมาย ซึ่งดาเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านจุดนั้นมาหมด และก็ตอนช่วงก่อนเข้ามาเป็นศิลปินเนี่ย ดาก็มีเวทีประกวด ปิดถนนเล่นฟรีคอนเสิร์ต เราไปหมด ถนนข้าวสาร ถนนสีลม เทศกาลดนตรี ประกวดหน้าน้ำพุสยาม หรืออะไรพวกเนี่ย เราไปหมด การแข่งขันแรก ๆ แพ้เยอะ หลัง ๆ ก็เริ่มได้รางวัล ที่ 2, ที่ 3,ที่ 1 สลับอันดับบ้าง และก็มีเราก็ไปซ้อมดนตรีอยู่แถวถนนเพชรเกษม แล้วได้พบกับพี่จิ๋ว พี่เค้าคือหนึ่งในโปรดิวเซอร์ในตึกแกรมมี่ ซึ่งเขาก็ไม่เคยบอกว่าเขากำลังทำค่ายอยู่ เราก็ไปซ้อมดนตรีและเราก็มีเพลงแต่ง 4 เพลง ตอนนั้นเจอกัน ดาก็คุยกับพี่เค้า แบบพี่จิ๋วขาวันนี้ดาจะอัดเพลงแต่งแบบโง่ๆเลย แบบเด็กหัดแต่งเพลงใหม่ๆ เขียนวนบ่นอยู่นั่นแหละ แต่เราก็อัดทั้งหมด ตอนนั้นพี่จิ๋วเค้ามาแบบนิ่งๆ บอกกับเราว่า พี่ขอก๊อปปี้ซีดีนี้ไปให้เพื่อนพี่ฟังหน่อยนะ แล้วก็ไม่พูดอะไรถึงแกรมมี่เลย เราก็ไม่หวังอะไร เพราะว่านักดนตรีเราจะได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อย คือฟีลแบบ เฮ้ย! เดี๋ยวพี่ช่วย เดี๋ยวทำเพลงให้ เดี๋ยวพี่ช่วยพาไปเจอคนใหญ่คนโต ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันเปลี่ยนชีวิตดาไปหมด จากที่ทะเลาะกับที่บ้านมา 3 ปี ดาไม่มีเงินเก็บ ฟีลแบบต้องไปทำงานกลางคืน ร้องเพลงในผับ เก็บเงิน 3 ปี ตั้งแต่ ม.3 ม.4 ม.5 พี่เค้าเอาเพลงเราไปอาทิตย์เดียว ก็มีโทรศัพท์จากแกรมมี่ โทรมาบอกว่า หลังจากได้ยินเสียงของดาในซีดีแผ่นนั้น เขาเขียนเพลงชื่อ เพื่อนสนิท รอ ดา อยู่ โดยค่ายเล็ก ๆ ชื่อว่า bulldog เพราะทุกคนในค่ายเลี้ยงหมาพันธุ์ Bulldog เค้าให้ดามา สกรีนเทสต์ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะที่ผ่านมา เราร้องเพลงคนอื่นมาตลอด และเราก็อยากเป็นเหมือนคนอื่น เป็นพี่อุ๊, The Cranberries เราอยากเป็นพี่ทาทา เราอยากเป็นแบบ พี่โจอี้บอย
ตอนเข้าไปร้องเพลงเพื่อนสนิท งงมาก คือแบบ มันไม่มีภาพในหัว มันเป็นฉากสีขาว มันไม่มีอะไรให้จับเลยอ่ะ แต่ด้วยความที่อ่านเนื้อเพลง และก็คิดว่ามันคือละครเรื่องนึง ภาพยนตร์เรื่องนึง เราร้องเพลงเหมือนเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ มันก็เริ่มเป็นภาพขึ้นมา และเราก็เริ่มหาโทนเสียงแบบเราสบายคอที่เราจะร้องด้วย มันก็เป็น range ที่เราแฮปปี้ แล้วก็เป็นเรื่องที่เราถ่ายทอดง่าย เพราะว่าเรากำลังอยู่มัธยม ช่วงที่เราอินไปกับเรื่องราวแบบนี้ และนี่ก็เลยเป็นเพลงแรกของเอ็นโดรฟิน ทำให้คนรู้จักเราขึ้นมา ในช่วงเวลา 3 ปีที่ งงๆกับชีวิตมา เปลี่ยนไปเพียงแค่ อาทิตย์นี้ อาทิตย์เดียว
6. ย้ำ - Bodyslam
สำหรับเพลงนี้ ที่ดาเลือกมา เป็นเพราะดาได้มีโอกาสไปทัวร์กับพี่ ๆ เขา ในคอนเสิร์ตหลายจังหวัดเลย เราอยู่กัน ทัวร์กัน 2 ปีติด เราได้เห็นพลังของแฟน Bodyslam ดาเองก็ศรัทธาในพี่ตูนด้วย เขาคือคนที่สามารถสื่อสารได้ดีมากๆ แบบคุณอาพี่ตูน คือ น้าแอ๊ด คาราบาว ไม่ว่าจะอินเนอร์กับความเป็นเพื่อชีวิต อินเนอร์ศิลปิน ความเชื่อในเรื่องชีวิต ความศรัทธา แต่วันนี้ดาจะพาไปดู Bodyslam ตอนเด็กๆกัน เราไม่อยากให้เราเห็นในมุม Bodyslam ที่ดูซีเรียสตลอดเวลา สำหรับเพลง “ย้ำ” เป็นเพลงที่เราได้ยินในผับเยอะมาก สอง คือ เราจะไม่ได้เห็นมุม Bodyslam แบบหวานแหวว ป๊อปๆ อย่างงี้ สักเท่าไหร่แล้ว แต่เพลงนี้ทำให้เราได้เห็นวงนี้ในอีกแบบนึง
อย่างที่บอกว่า เพลงนี้ทำให้คิดถึงตอนที่ไปทัวร์กับ พี่ๆเค้า จะมี Bodyslam มี ดา มี Potato เราก็จะเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในแก๊งหนุ่มๆ ได้เรียนรู้การเป็นมืออาชีพ ด้วยการทำงานที่น่ารัก คือเอาเป็นว่านอกจากเราสนุกแล้ว เรายังได้เจอแฟนเพลงทั่วประเทศ ทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละมันคือ feedback เห็นรอยยิ้ม และเพลงของเราไปอยู่ในชีวิตของเด็กๆเยอะแยะ ก็เป็นอะไรที่ปลื้มปริ่ม เพื่อนสนิทคือ เพลงแรกของเอ็นโดรฟิน ย้ำ ก็คือเพลงแรกของ Bodyslam การได้กลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้ง ทำให้เราย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลานั้นมาก ๆ
7. ข้อความ - Pause
สำหรับเพลงนี้ ดาจะนึกถึง พี่โจ้ เสมอ พี่เค้าเป็นนักร้องชายคนหนึ่ง ที่ร้อง Pop ก็เพราะ ร้อง Rock ก็ถึง มีความหยินหยางอยู่ในตัวมาก ความสูงน่าจะประมาณ 160 สูงกว่าดานิดเดียว และก็ตัวเล็กๆ บางๆ ผมก็ฟูๆ ตอนนั้น Pause เนี่ยก็จะมีเพลงที่เราฟังแล้วรู้สึกว่า ยุคนั้น มันไม่ได้ง่ายเลย ที่จะมาเป็นแฟนกัน สมันนั้นจีบกัน ยังเขียนจดหมาย หรือว่าเขียนเพลงแอบไปใส่ลิ้นชักให้กัน แบบวันวาเลนไทน์ต้องมีของไปใส่ลิ้นชักรุ่นพี่ที่เราชอบ ดาเองก็มีประสบการณ์แบบนั้น แต่ไมได้เป็นคนเขียนจดหมายนะ คือตอนนั้นมีน้องผู้หญิงมาชอบ เค้าก็มาบอกให้เรารู้ แต่ดาก็บอกว่าไม่ เราชอบผู้ชาย น้องก็เลยอกหัก เพลงนี้ทำให้ดานึกถึงน้องคนนั้นขึ้นมา อยากฝากถึงไปน้องด้วย เรายังเป็นพี่เป็นน้องกันได้อยู่นะ
8. ใจหายไปเลย - MR.TEAM
สำหรับวง MR.TEAM สมัยนั้นเท่มากเลย เขาเป็น Big Band วงแรกๆเลย ที่มีเครื่องดนตรีครบเกือบทุกชิ้นในวง แล้วก็แบบมีนักร้อง 2 คน เท่มากเลย หนึ่งในนั้นคือผู้หญิง อย่างที่บอกค่ะ ตอนนั้นเราต้องหาไอดอลผู้หญิงให้เยอะที่สุด เราจะได้มองเห็นตัวเองให้เยอะขึ้น และก็แบบไม่ซ้ำ หรือเค้าเรียกว่า blend ให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุด พี่ติ๊ก เป็นผู้หญิงคนเดียวในวงที่มีผู้ชายอีก 5 คน แล้วตอนนั้นเพลงออกมาโดนมาก เพราะว่ามันมีแบบกลิ่นอายไทยด้วย และก็แบบมันมี ความแบบฝรั่งเข้ามานิดนึงอะไรอย่างงี้ คือตอนนั้นเขาเปิดตัวด้วย “เจ้าช่อมาลี” มีแบบฉิ่ง มีแบบกีต้าร์ร็อก และก็ MV แบบอยู่ตรงโต๊ะแบบเฟี๊ยสๆ ชอบผู้หญิงอย่างงี้อีกแล้ว ทำไมชอบผู้หญิงอย่างนี้อีกแล้ว และก็เริ่มมี Fashion Icon เกิดขึ้น เริ่มเปรี้ยวอะไรอย่างงี้ สำหรับดา พอมาได้ยินเพลง “เจ้าช่อมาลี”ทำให้เริ่มอยากรู้จัก MR.TEAM ยิ่งพอได้ฟัง ฮึ้ย! ทำไมเพลงนี้มันแบบมันมีเสน่ห์มากเลย มันมีเสียงหายใจในเพลง มันมีความเป็นแบบว่า ล่องลอยอ่ะ มันเป็นแบบเหมือนลมหายใจจริงๆ มันชื่อว่า “ใจหายไปเลย” อะไรอย่างงี้ เป็นเพลงที่ทำให้ดารู้สึกประทับใจในรูปแบบของการร้องมากจริงๆ
9. น้ำลาย - Silly Fools
ฟังเพลงนี้แล้วตื่นแน่นอน ที่ดาเลือกเพลงนี้มาเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตดา ก็เพราะว่าเป็น เพลงที่เด็กทุกยุคทุกสมัยต้องเล่น ถ้าเป็นนักดนตรีนะ ต้องมีการนำเพลงของวง Silly Fools มาเล่น โดยเฉพาะเพลงนี้ “น้ำลาย” คือเพลงที่ฟังแล้ว อยากให้ทุกคนกระโดด ตอนแรกที่ดาฟัง ก็รู้สึกว่า เพลงนี้แค่ดีดกีตาร์ขึ้นทุกคนก็กระโดดแล้วอะ จะบอกว่าเพลง Silly Fools เนี่ยเป็นเพลง Lift up เป็นเพลงที่ทำให้โชว์อยู่ดีๆก็สนุกขึ้นมาทันที แค่ได้ยินก็รู้สึกแล้วว่า มันมีพลังอะ แม้ว่าวันนี้ Silly Fools จะแยกย้ายกันไปแล้ว แต่จะบอกว่า History ที่เค้าทำไว้เนี่ย เพลงทุกเพลงอยู่บนเวทีประกวดของเด็ก ตัวดาเอง ก็ยังคิดถึงเพลงนี้เสมอ
10. You'll Be Mine - Da Endorphine x SYPS
เพลงสุดท้าย ทำไมดาถึงต้องเลือกมาอยู่ 1 ใน 10 เพลงนี้ เพราะนี่เป็นการร่วมงานครั้งแรกที่ดา ของดาและ Alex Sypsomos หรือว่าชื่อศิลปิน Artist ของเขา ก็คือ SYPS (ซิปซ์) คือ ดา กับ อเล็กซ์ เราคบกันมา 4 ปีครึ่งแล้ว แต่ว่าในช่วงปีแรกๆ เนี่ย เราแต่งเพลงด้วยกันเยอะมาก และเพลงของเรามันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แบบว่าฮัมได้บางประโยค แต่ก็ไม่จบเพลง ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ตอน 3 ปีที่แล้วแต่งไม่จบ แต่ได้ท่อนฮุคมา อีกอย่างเราก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีอัลบั้ม เพลงไทยที่จะเอาเพลงภาษาอังกฤษเต็ม 100% มาใส่ไว้ในนั้นเท่าไหร่ เราอยากได้ยินเพลงนี้ในอัลบั้มของเราแบบ 100% เพราะว่ามันมีความเป็นแบบเป็น R&B , Soul ,เปียโน และก็มีความเป็นแบบร้องประสานเสียงในโบสถ์คริสเตียน มีคนมาร้องคอรัสกันเป็นแผงเยอะๆ แล้วก็แบบเป็นฟีลโรแมนติค ซึ่งถ้าพูดถึงเพลงภาษาอังกฤษในเมืองไทยเนี่ย มันก็จะมีแค่เพลงโฆษณา กับเพลงประกอบภาพยนตร์ แต่ดาอยากให้อัลบั้มของดามีเพลงแบบนี้ แล้วตอนนี้ดาได้ทำอัลบั้มเอง ดาก็ไปบอก อเล็กซ์ ว่าเราให้เธอเป็น Co-Producer สำหรับเพลงหนึ่งในอัลบั้ม DAMATIC นะ แต่งให้เสร็จแล้วเราจะให้เธอเป็น Produce ในอัลบั้มนี้เต็มที่ ตอนนั้นเนี่ยจิ้ม 2 เพลง ว่าจะเอาเพลงอะไร ทุกคนโหวต You'll Be Mine เพราะว่ามันเป็น Duet มันเป็นเพลงคู่ You'll Be Mine ก็คือมันเหมือนแบบสุดท้ายถ้าแปลเป็นเนื้อไทย จะหมายความว่าเราเป็นของกันและกัน You'll Be Mine เราคือสิ่งที่คู่กัน อะไรประมาณนี้ คือดาอยากให้เป็นฟีลแบบผู้ชายที่ร้องถึงผู้หญิง และผู้หญิงที่ร้องถึงผู้ชาย ซึ่งในเนื้อเพลงเค้าก็เขียนไว้ดีมาก คืออเล็กซ์เขียนเรื่องราวทั้งหมด แบบเค้าจำได้ว่า เราเจอกันครั้งแรกตอนไหน จำได้ว่าเราฟังเพลงอะไรกันตอนคิดถึงกัน เราฟังเพลงอะไรกันตอนไปรับกันครั้งแรกที่หน้าบ้าน แล้วเค้าใส่ Detail บรรยากาศของเพลงเหล่านั้น ไว้ในเพลง You'll Be Mine คือเค้าใส่ใจมากๆจนเพลงนี้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย มันเป็นภาพที่ดาคิดไว้ตั้งแต่ต้น มันมีเรื่องจริงของเราอยู่ในนั้น เรามีโมเม้นท์ทะเลาะกัน มีโมเม้นท์ที่ประทับใจทุกอย่างอยู่ในนั้น เป็นเพลงภาษาอังกฤษที่สองในชีวิตที่เคยทำมาในรอบสิบๆ ปี เพลงที่สองที่รู้สึกถูกใจในฐานะ Executive Producer ด้วย แล้วก็ได้ทำงานกับอเล็กซ์ครั้งแรกที่เป็นแบบ Professional จริง ๆ ค่ะ”
นี่คือตัวตนของคนดนตรี เต็มที่กับทุกสิ่งที่ตั้งใจ ติดตามฟังเรื่องราวชีวิตผ่านบทเพลง ของศิลปินคนต่อไป “กัน นภัทร” ได้ในวันพฤหัสบดี ที่ 13 มิ.ย. นี้ เวลา 21.00-23.00 น. ที่คลื่น Goodtime 98.5 FM หรือรับฟังผ่านทางออนไลน์ พร้อมรับชมภาพการบอกเล่าแบบสด ๆ ที่ www.goodtimeradio.fm , ทางแอปพลิเคชัน Goodtime 98.5 FM และ Facebook Live : Goodtime Radio ติดตามข่าวกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ Fanpage : Goodtime Radio / Instagram และ Twitter: goodtime_radio