"จางจื่ออี๋" กล่าวชื่นชม "หว่องกาไว" และยกย่องว่าผู้กำกับ "แว่นดำ" แห่งวงการหนังฮ่องกง คือคนสำคัญในชีวิตการเป็นนักแสดงของเธออย่างแท้จริง
ระหว่างร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ นักแสดงชื่อดังชาวจีนแผ่นดินใหญ่ จางจื่ออี๋ ได้มีโอกาสบอกเล่าประสบการณ์ในการเป็นนักแสดงของเธอ โดยเฉพาะการร่วมงานกับผู้กำกับดัง ๆ มากมาย รวมถึง "หว่องกาไว" คนทำหนังที่เธอบอกว่าคือ คนสำคัญที่สุดในชีวิตการเป็นนักแสดงของเธอ
ในวัย 40 ปี จาง จื่ออี๋ คือนักแสดงชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในระดับนานาชาติในระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จากหนังกำลังภายใน Crouching Tiger, Hidden Dragon จนไปถึงหนังฮอลลีวูด Memoirs of a Geisha และล่าสุดกับ Godzilla: King of the Monsters
แต่ผู้กำกับที่ จางจื่ออี๋ ยกย่องมากที่สุด กลับเป็น หว่องกาไว แต่ตอนเริ่มต้นทำงานด้วยกันครั้งแรก เธอกลับรู้สึกประหม่า และกลัวที่จะทำร่วมงานกับเขา เพราะ หว่องกาไว จะสวมแว่นตาดำอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก ๆ
"หว่องกาไว คือคนสำคัญต่อทั้งอาชีพ และชีวิตของฉันค่ะ ฉันเจอเขาครั้งแรกตอนทำงานด้วยกันในหนังเรื่อง 2046 ตอนนั้นฉันไม่เคยเห็นดวงตาของเขาเลย คุณลองจิตนาการดูนะคะ สำหรับนักแสดงที่อายุเพิ่งจะ 20 ปี มันจะน่าตกใจแค่ไหน ตัวละครของฉันต้องใช้เวลาแต่งหน้าก่อนเข้าฉากถึง 3 ชั่วโมงทุกวัน ต้องอบผมด้วยไอน้ำทุกวัน อย่างที่หว่องกาไวต้องการ เขาจะทรมานเราด้วยอะไรทำนองนั้น"
จางจื่ออี๋ ยอมรับว่าการถ่ายทำหนัง 2046 เป็นเรื่องยากสำคัญเธอมาก
"เพราะฉันรู้สึกกลัวเขา กลัวตรงที่ฉันไม่สามารถสบตาเขาได้เลย ฉันรู้สึกประหม่ากับการทำงานในกองถ่ายที่พูดแต่ภาษากวางตุ้งกัน ซึ่งฉันไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้แต่คำเดียว ฉันไม่เข้าใจในตัวละครที่จะต้องแสดง ไม่มีความรู้สึกมั่นใจใด ๆ อยู่เลย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเมล็ดพันธุ์ที่กำลังเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเลย ตอนนั้นคิดไม่ออกเลยว่าจะผ่านแต่ละวันไปอย่างไร
จนกระทั่งเขาถอดแว่นออกเท่านั้นเอง จางจื่ออี๋ ถึงได้เห็นว่าเขาก็ดูธรรมดา ๆ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย "ตอนนั้นฉันตาสว่างเลย ว่าจริง ๆ แล้ว เขานั่นแหละคือผู้กำกับที่เข้าใจฉันมากที่สุด"
ต่อมาทั้ง 2 จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในหนังชีวประวัติของปรมาจารย์กังฟู ยิปมัน The Grandmasters ตอนนั้น จางจื่ออี๋ มีปัญหาส่วนตัวมากพอสมควร
"ตอนถ่ายทำ The Grandmasters ฉันกำลังอยู่ช่วงที่ไม่ค่อยดี มีความรู้สึกตื่นตระหนก แล้วก็หวาดวิตกตลอดเวลา วันหนึ่งฉันก็เลยขอพบเขาที่ห้องพักของตัวเอง แล้วก็รวบรวมความกล้าขอร้องว่า 'ฉันขอลาพักได้ไหมค่ะ?' ซึ่งการลาพักเพียง 1 วัน จะทำให้เสียค่าใจจ่ายค่อนข้างมาก เขาก็ยังตกลง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเขาเองก็ทราบดีว่าสภาพของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาบอกกับฉันว่า 'ถ้าอยากกลับมาทำงานเมื่อไหร่ ก็กลับมาได้เลย ผมรอได้'"