ซัดกันอีกหนึ่งคดี! “ต่าย” ฟ้อง “ทิม” ทำร้ายร่างกาย แต่ศาลไม่รับฟ้อง เหตุเห็นว่ามีความกระทำความรุนแรงกันจริง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นความรุนแรงภายในครอบครัว ลั่นอยากได้สิทธิ์ดูแลลูกมากกว่าทิม ปัดเรียกร้องสินสมรส
แม้คดีที่ “ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นโจทก์ฟ้องอดีตภรรยา “ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ” ในคดีฟ้องหย่าขออำนาจปกครองบุตร จะตัดสินไปแล้ว ซึ่งฝ่ายทิมเป็นผู้ได้สิทธิเลี้ยงดูลูก “น้องพิพิม” วัย 3 ขวบ โดยมีข้อตกลงว่าพิพิมอยู่กับพ่อวันจันทร์-ศุกร์ และอยู่กับต่ายวันเสาร์-อาทิตย์
ก่อนที่ต่อมาต่ายได้ขอให้ศาลไต่สวนคดีใหม่ โดยให้เหตุผลว่าตนไม่ได้รับหมายศาล จึงไม่ทราบมาก่อนว่าถูกฟ้อง เพราะต่ายไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ตามที่ทิมส่งหมายและสำเนาฟ้อง จึงไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ซึ่งหากทางตนที่เป็นจำเลยมีโอกาสต่อสู้คดีก็จะมีโอกาสชนะคดีได้ ศาลจึงสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ แต่ทางฝ่ายทิมได้มีการถอนฟ้องไปแล้ว ทำให้ต่ายไม่สามารถดำเนินการต่อได้ แม้อยากจะได้สิทธิ์หลักในการเลี้ยงลูกก็ตาม
แต่ล่าสุดสถานการณ์กลับระอุขึ้นอีกรอบ เมื่อต่ายยื่นฟ้องทิมในคดีคุ้มครองสวัสดิภาพเรื่องความรุนแรงในครอบครัว กล่าวหาโดนทิมทำร้ายร่างกาย โดยในวันนี้ (22 พ.ค.62) ศาลศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้นัดไต่สวนทั้งสองฝ่าย เมื่อเวลา 09.00น. ซึ่งต่ายและทิมได้เดินทางมาพร้อมด้วยทนายความส่วนตัว โดยใช้เวลาในการไต่สวนนานกว่า 11 ชั่วโมง แต่หลังจากพิจารณาแล้วศาลไม่รับฟ้องคดี ด้วยเห็นว่ามีความกระทำความรุนแรงกันจริง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นความรุนแรงภายในครอบครัว
ภายหลังจากการไต่สวนเสร็จสิ้น ทิมได้เดินทางกลับโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ ด้านต่ายออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนถึงเหตุผลที่ฟ้องอดีตสามีเพราะได้รับผลกระทบด้านจิตใจ
“ต้องขอชี้แจงก่อนว่าคดีนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับคดีก่อนหน้านี้ หลายคนจะเอาไปปนกันว่าเราฟ้องเขา เขาฟ้องเรา คือคดีนี้มันเป็นคดีที่แยกออกไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเด็ก คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว หมายถึงเรื่องของการทำร้ายร่างกาย ที่ต่ายยื่นฟ้องไปทางคุณทิม เป็นการฟ้องเพื่อขอคุ้มครองสวัสดิภาพของตัวเรา"
"พอเหมือนเราได้ไปปรึกษาทางกระทรวง พม. กับมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาค ตอนแรกเราก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเจอมามันถูกต้องตามทำนองครองธรรมหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ภรรยาคนนีงต้องรับมันให้ได้ แต่พอทางผู้ใหญ่แนะนำว่าควรจะดำเนินคดีเพราะฟังดูน่าเป็นห่วงก็เลยตัดสินใจฟ้อง"
"(เรากำลังจะบอกว่าที่ผ่านมาเราโดนทำร้ายร่างกาย?)ก็...จริงๆ อยากให้เป็นเรื่องของคนสองคน แต่ล่าสุดที่ข่าวออกไปเหมือนน่าจะมีคำสั่งศาลออกไปได้ยังไงเกี่ยวกับเรื่องหมายเพราะรายละเอียดเกี่ยวกับคดีแรก และคดีนี้คือละเอียดมาก แล้วมีบ้านเลขที่ออกไป คดีที่แล้วคืออีกคดีนึง คดีที่แล้วศาลได้รับการพิจารณาคดีใหม่ คำสั่งทุกอย่างเป็นโมฆะไปแล้ว ศาลเห็นว่าเราไม่มีเจตนาจริงๆ ก็เลยยกฟ้องไป”
ลั่นศาลไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริงแต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว
“พอไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริงแต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่ว่ามันก็กระทบจิตใจของเรา คือถึงมันไม่รุนแรงแต่มันก็มีความกังวลในการอยู่ร่วมกัน แต่ยังไงก็อยากให้เป็นเรื่องของคนสองคน"
เผยตอนนี้เรื่องการดูแลลูกแบ่งกันลงตัวตามคำสั่งศาล แจงตนอยากได้สิทธิ์เป็นบ้านหลักในการเลี้ยงลูก หากแบ่งกันเลี้ยง 50: 50 เช่นนี้จะผลกระทบต่อลูก
“ณ ตอนนี้ศาลมีคำสั่งออกมา ก็ถือว่าลงตัวในระดับนึง เป็นดุลยพินิจของศาลด้วยแล้วทางทนายเราก็ได้ยื่นขอคำร้องไป ในการพิจารณาคดี ขอเป็นแบบนี้ไปก่อน"
"ของต่ายจะได้ดูแลลูก ศุกร์-จันทร์ ถามว่าเราโอเคมั้ย เราเป็นห่วงลูกมากกว่า จริงๆแล้วมองในมุมว่าต่ายได้ช่วงวีกเอนท์ น่าจะเป็นคนที่แฮปปี้ ไม่ต้องตื่นเช้า ไปรับไปส่ง พาลูกเที่ยวอย่างเดียว นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องเหรอสำหรับเด็กคนนึง สิ่งที่เขาควรจะได้รับมันเป็นยังไง มันไม่ใช่แบบนี้"
"ก็เดี๋ยวต้องปรึกษาผู้ใหญ่ว่าจะยังไงต่อ เราเองอยากให้ศาลท่านพิจารณาจริงๆ ว่าใครที่สมควรจะเป็นบ้านหลัก ใครที่มีคุณสมบัติจริงๆ”
“ถามว่าเราอยากได้สิทธิ์ในการเลี้ยงลูกเพียงคนเดียวไหม คือเหมือนคำนั้นมันเป็นคำที่ใช้ในศาล คำว่าขอดูแต่เพียงผู้เดียว แต่คุณก็ต้องมีจิตสำนึกในการเป็นผู้ปกครองหลักนะ เพราะเราดูแลสภาพจิตใจเด็ก บ้านที่เป็นบ้านหลักต้องดูแลน้อง 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์คือเป็นบ้านรอง"
"ถ้าจะมาให้ผู้ใหญ่แฟร์ๆ 50:50 ผลกระทบคืออยู่ที่ตัวลูก เด็กจะเกิดการอยู่บ้านนี้จะเป็นบุคลิกแบบนี้ อยู่บ้านนึงจะเป็นอีกบุคลิกนึง พอไปโรงเรียนก็จะสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นมา พอเราเริ่มสังเกตพฤติกรรมเราก็ค่อนข้างมีความเป็นห่วงและกังวล คือการแบ่งกันเลี้ยงตอนนี้มีผลกระทบต่อลูก"
"ที่อยากต่อสู้คดีใหม่เพราะอยากจะเป็นบ้านหลัก ต่ายมีสิทธิ์ในตัวลูก 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคุณทิม 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วเราไม่ได้มั่นใจหรืออยากจะชนะอะไร แต่เราก็ใช้ข้อเท็จจริงทุกอย่างว่าเราเลี้ยงลูกมายังไง เราเป็นคนดูแลลูกอย่างไร ใช้อะไรดู ทุกสิ่งทุกอย่าง"
"ซึ่งที่ผ่านมาเราก็พยายามไกล่เกลี่ยนอกรอบกันมาตลอด ทุกวันนี้ก็กังวล แค่ที่เรื่องเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ช่วง พ.ย. มามันก็เกิดการอยู่ 2 บ้าน เราก็เป็นห่วงเขามากที่สุด คำแนะนำของคุณหมอเด็ก จิตแพทย์เด็ก เขาก็บอกว่าเด็กอยู่แบบครึ่งๆ แบบนี้ไม่ได้ ความเป็นตัวตนของเด็กเขาจะหายไป ก็อยากให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด"
กับข่าวลือเรื่องว่าที่ผ่านมาตนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในบ้านมาตลอด 2 ปี นั้นตนยอมรับว่าเกิดขึ้นจริง
“มันเกิดขึ้นจริงแต่เราก็ยินดีที่จะทำเพื่อครอบครัว”
บอกนอกจาก 2 คดีที่ฟ้องร้องกันแล้วคาดว่าจะไม่มีคดีอื่นเพิ่ม ส่วนการแบ่งสินสมรสเชื่อว่าไม่มีปัญหาเพราะตนไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่ก็มีคิดเกี่ยวกับเรื่องของการแบ่งภาระค่าเลี้ยงดูลูกเพราะที่ผ่านมาตนเป็นคนรับผิดชอบคนเดียว
“ไม่มีแล้ว เรื่องสินสมรสอันนี้เป็นในส่วนของทางทนายให้เขาดูตามความเหมาะสม ตามความจริง ไม่ได้เรียกร้องอะไร ตั้งแต่แรกเราก็มุ่งประเด็นที่เรื่องลูกอยู่แล้ว(แต่เราไม่ได้เรียกร้องอะไรเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก?)
ก็มีคิดๆ ไว้บ้าง อย่างแบ่งกันคนละกี่เปอร์เซ็นต์ เราออกส่วนไหน เขาออกส่วนไหน ที่ผ่านมาเราก็เป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายลูกอยู่แล้ว”