นอกจากตัวของพระเอกหนุ่ม "เคียนู รีฟส์" (Keanu Reeves) แล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบุคคลสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้จักรวาลของหนัง "จอห์น วิก" (John Wick) ที่ตอนนี้เดินทางมาถึงภาคที่ 3 แล้วถูกยกย่องจากคนดูหนังว่าเป็นหนึ่งในแอ็กชันที่มันที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกก็คงจะเป็นตัวผู้กำกับอย่าง "แชด สตาเฮลสกี" (Chad Stahelski) นั่นเอง
"สตาเฮลสกี" เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน ปี 1963 เขาชื่นชอบและเริ่มศึกษาศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็กๆ ภายหลังจากที่บิดาพาเขาไปดูหนังของ "บรูซ ลี" ที่ผ่านมาสตาเฮลสกีเคยเข้ารับการฝึกสอนในโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่ออย่าง Inosanto ในแคลิฟอร์เนีย ก่อนได้ชื่อว่าเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้มีโอกาสไปยืนอยู่ในเวทีศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า Shooto รวมไปถึงการมีชื่อเป็นผู้ชนะบนเวที MMA (Mixed Martial Arts - มิกซ์ มาเชี่ยล อาร์ต-ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน) มาแล้วด้วยเช่นกัน
ในวัย 24 ปี ชื่อของ "สตาเฮลกี" เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการหนังในฐานะของนักแสดงผาดโผน มีผลงานในหนังแอ็กชันทุนไม่สูง อาทิ Mission of Justice (1992) และ Bloodsport III (1996)
จากนั้นเจ้าตัวได้รับบทบาทสตันท์แมนเต็มตัวให้กับนักแสดงหนุ่ม "แบรนดอน ลี" (Brandon Lee) ลูกชายของ "บรูซ ลี" ในภาพยนตร์เรื่อง The Crow อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 31 มีนาคม ปี 1993 นักแสดงหนุ่มในวัย 28 ปีกลับต้องมาประสบอุบัติเหตุถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในขณะที่หนังเองเกือบจะถ่ายทำเสร็จแล้ว
หลังจากการเกิดเหตุการณ์ร้าย มารดาและคู่หมั้นของ "แบรนดอน ลี" ตลอดจนผู้กำกับอย่าง Alex Proyas ได้ตัดสินใจที่จะทำให้หนังเรื่องนี้เสร็จสมบูรณ์ไห้ได้ โดยพวกเขามีเวลาเพียงแค่ 8 วันเท่านั้น ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวบทของ "แบรนดอน ลี" ที่เหลือเพียงไม่กี่ฉากได้ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ โดยคนที่จะมารับหน้าที่แสดงแทนตัว "แบรนดอน ลี" ก็คือสตันท์ของเค้าอย่าง "สตาเฮลกี" ผู้ซึ่งรู้ทุกจังหวะและท่วงท่าของนักแสดงหนุ่มผู้จากไปเป็นอย่างดีนั่นเอง
The Crow ที่ทำเอฟเฟ็กต์ใบหน้าของ "สตาเฮลกี" ให้เป็น "แบรนดอน ลี" ในบางฉากออกฉายในเดือนเมษายนของปีถัดมาและสามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับหนังทำเงินด้วยการกวาดรายได้ไปมากกว่า 50 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
ในปี 1997 "สตาเฮลกี" มีผลงานซีรีส์แอ็กชันของ PPV เรื่อง Fight Zone รวมถึง Bloodsport III. จากนั้นการรับหน้าที่ครั้งสำคัญที่สุดในฐานะสตันท์แมนและถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งในชีวิตของเขาก็เริ่มขึ้น เมื่อเขาได้มีโอกาสทำหน้าที่สตันท์ของพระเอกคนดัง "เคียนู รีฟส์" ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ในปี 1999 จนเกิดความสนิทสนม ก่อนที่เขาจะได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานฉากสตันท์ในหนังภาคต่อทั้ง 2 ภาครวมถึงแสดงแทนพระเอกหนุ่มในฉากที่รุนแรงอีกด้วย
"เมื่อคุณเห็นพวกเราคนหนึ่งถูกรถชน นั่นคือมนุษย์ที่ถูกทุบด้วยโลหะที่หนักถึง 2,000 ปอนด์ แน่นอนมันย่อมมีผลกระทบ มันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเรายังคงดูดี แต่คุณจะเจ็บในเช้าวันถัดมาอย่างแน่นอน"
หลังภาพยนตร์เรื่อง The Matrix "สตาเฮลกี" ได้ฟอร์มทีมกับเพื่อนสตันท์ก่อตั้ง บริษัท ชื่อ Smashcut เพื่อรับงานแสดงฉากผาดโผนเสี่ยงตายให้กับภาพยนตร์รวมทั้งซีรีส์ต่างๆ เป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ในที่สุดเขาก็มีความคิดที่จะทำหนังของตัวเอง แน่นอนมันต้องเป็นหนังแอ็กชันและพระเอกคนนั้นก็จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก "เคียนู รีฟส์" ที่เจ้าตัวได้มีโอกาสจับคู่แสดงแทนในฉากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาแล้วอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
กระทั่งในปี 2014 โลกก็มีโอกาสได้ต้อนรับภาพยนตร์อเมริกันแนวแอคชันทริลเลอร์แบบนีโอนัวร์เรื่อง "John Wick" (จอห์น วิค), John Wick: Chapter 1)
ต้องยอมรับว่าด้วยเนื้อเรื่องที่ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย (อดีตนักฆ่าต้องหวนมาจับปืนอีกครั้งเพราะต้องการล้างแค้นให้หมาตัวโปรด) บวกกับวัยที่มากขึ้นของพระเอกคนดัง แถมยังเป็นหนังที่ผู้กำกับมาจากสายสตันท์ ทำให้แรกๆ ก็ไม่มีใครคาดเหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้จะได้ดิบได้ดีอะไรมากมาย
แต่สุดท้ายจากต้นทุนหนังประมาณ 29.7 ล้านเหรียญ หนังกลับทำรายได้ไปถึง 88.8 ล้านเหรียญพร้อมๆ กับเสียงชื่นชมจากคนที่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ที่สรุปได้คำเดียวว่า "มันมาก"
ด้วยความที่เนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีอะไรสิ่งหนึ่งที่ต้องอุดรอยรั่วนี้ให้ได้ก็ต้องมาจากฝีมือในการออกแแบฉากแอ็กชันของตัวผู้กำกับกับนักแสดงเองที่จะเอาอยู่หรือไม่ ซึ่งด้วยความที่เคยทำงานสตันท์มาทั้งชีวิต งานนี้ตัวผู้กำกับเองก็เลยใส่เข้ามาชนิดที่ว่าไม่มีเสียดายกระสุน ไม่เสียดายสตันท์ว่าจะต้องตายกันไปสักกี่ศพ ขณะที่ตัวพระเอกหนุ่มก็ต้องไปฝึกการต่อสู้ที่หลากหลายเพื่อมาเข้าฉากแอ็ดชั่นหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ (ในหนัง "เคียนู รีฟส์" จะแสดงฉากการตู่สู้ด้วยตนเองทั้งหมด แต่จะใช้สตันท์แทนกับฉากที่จะต้องเสี่ยงเจ็บตัวหรือได้รับบาดเจ็บ เช่นถูกรถชน หรือถูกโยนใส่กระจก)
คงไม่ผิดอะไรนักหากจะบอกว่าตัวผู้กำกับอย่าง "สตาเฮลกี" กับพระเอกหนุ่ม "เคียนู รีฟส์" มันคือสูตรเฉพาะที่ลงตัวมากๆ ของความเป็นหนัง "จอห์น วิก"
อันที่จริงทั้งคู่เกือบจะไม่ได้เจอกันแล้ว เพราะเมื่อย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 "สตาเฮลสกี" เองไม่มีความคิดที่จะไปทดสอบในการเป็นสตันท์ให้กับเพระเอกหนุ่มในหนัง The Matrix แต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวรู้สึกว่าคงทำไม่ได้ แต่ก็เป็นหัวหน้าของเค้าที่คะยั้นคะยอให้ลูกน้องตัวเองลองไปทดสอบดู
สุดท้ายทั้งคู่ก็มาเจอกัน สนิทสนมกัน แสดงเป็นตัวแทนกันและกัน กระทั่งมาทำหนังด้วยกันและเกิดเป็นจักรวาล "จอห์น วิก" ในวันนี้