เรียกว่าเป็นความสั่นสะเทือนระดับ 10 ริกเตอร์กับข่าวคราวการพาเหรดคืนช่องทีวีดิจิทัลแบบยกเข่ง 7 ช่องถ้วน !!!
เหลือทิ้งไว้อีก 15 ช่อง ที่ยังต้องวิ่งเต้น ดิ้นรน และเหนื่อยกันต่อไป
ในบรรดา 7 ช่องที่ตัดสินใจไม่สู้ต่อ ดูเหมือนจะมีช่อง 3 ที่ถือเป็นช่องระดับบิ๊กเนมที่สุด มีสัมปทานอยู่ในมือถึง 3 ช่อง (ไม่นับรวมช่องอะนาล็อกเดิม) และตัดสินใจคืนทีเดียวถึง 2 ช่อง คือช่อง 28 SD และช่อง 13 Family หลังจากนั้นก็จะหันกลับมาระดมสรรพกำลัง ทุ่มเทหยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ รวมถึงฝากความหวังไว้กับช่อง 33 HD ช่องเดียว ยอมเสียหน้าดีกว่าดันทุรังเก็บไว้ทั้ง 3 ช่อง และต้องแบกรับภาวะขาดทุนจนหลังแอ่น
รองลงมาจากช่อง 3 ที่ (เคย) ถือไว้ 3 ช่อง ก็คือช่องในเครือ Gmm ที่มีอยู่ 2 ช่อง คือ Gmm25 กับช่อง One
Gmm 25 เริ่มต้นอยู่ในความดูแลของ “เจ๊ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุลฯ” ส่วนช่อง One นั้น กุมบังเหียนโดย “บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ซึ่งหลังจากดำเนินการมาได้ระยะหนึ่ง ก็พบกับความจริงที่ว่าธุรกิจทีวีดิจิทัลไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด เป็นเหตุให้ “อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” ในฐานะหัวเรือใหญ่ของ Gmm ตัดสินใจเฉือนหุ้นของช่อง Gmm 25 ให้กับเครือไทยเบฟฯ ส่วนช่อง One ก็เทขายให้กับกลุ่มปราสาททองโอสถ
ถ้าเทียบกันระหว่าง 2 ช่องในเครือ Gmm ต้องยอมรับว่าช่อง One ดูจะมีภาษีดีกว่า ไม่ว่าจะนับจากอันดับความนิยมที่อยู่ในอันดับต้นๆ หรือนับจากเรตติ้งของละคร ก็ถือว่าเป็นรองเพียงช่อง 7 กับช่อง 3 เผลอๆ บางเรื่อง อาจจะแซงหน้าไปด้วยซ้ำ จึงไม่น่าแปลกที่แม้จะเทขายหุ้นให้กับกลุ่มนายทุนไปแล้ว แต่คุณหนูบอย ก็ยังได้รับความไว้วางใจให้ดูแลบริหารช่องเหมือนเดิม รวมถึงทิศทางของช่องเอง ก็แทบจะไม่มีการเปลี่ยนไปจากเดิม
ตรงข้ามกับช่อง Gmm 25 ภายใต้การดูแลของเจ๊ฉอด ที่อันดับความนิยมไม่เคยแตะมาถึง Top 10 กระทั่งกลุ่มนายทุนตัดสินใจปลดฟ้าผ่า เป็นเหตุให้เจ๊ฉอดไม่มีอำนาจในการบริหารช่องเหมือนเก่า มีบทบาทหน้าที่เป็นเพียงผู้ผลิตคอนเทนต์ ในนามบริษัท Change 2561 แต่ก็ยังอยู่ใต้ร่วมเงาของ Gmm และไทยเบฟฯ และมอบหมายหน้าที่ในการบริหารจัดการช่อง Gmm 25 ให้กับ “สถาพร พานิชรักษาพงศ์” กรรมการผู้จัดการของ Gmm TV อีกหนึ่งธุรกิจในเครือมาดูแลแทนชั่วคราว ซึ่งก็เห็นผลว่าเรตติ้งค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมาบ้างในระดับหนึ่ง แม้จะยังไล่ตามช่องพี่น้องอย่างช่อง One ไมได้ก็ตามที
เมื่อมีการเปิดโอกาสให้ช่องดิจิทัลที่ไปไม่ไหวสามารถคืนช่องได้ ก็มีข่าวลือมาว่าช่อง Gmm 25 จะคืนด้วยเหมือนกัน แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ตัดสินใจยอมสู้ต่อ พร้อมๆ กับมีข่าวคราวการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหาร จากสถาพร มาเป็น “อภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง” ผู้บริหารจากช่อง ช่องทรูโฟร์ยู ที่จะเข้ามามีบทบาทในช่อง Gmm 25 ในต้นเดือนกรกฏาคม
แต่ยังไม่ทันที่ผู้บริหารคนใหม่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ช่อง Gmm 25 ก็เริ่มเดินเครื่องปฏิบัติการณ์ผ่าตัดครั้งใหญ่ ด้วยการปลดพนักงานข่าวลงกว่าครึ่ง จากทั้งหมด 40 คน เลิกจ้างถึง 27 คน และหันไปใช้วิธีจ้างผลิตข่าวแทน เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยข่าวเช้า สิ้นสุดการออกอากาศเมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) เป็นวันสุดท้าย ส่วนข่าวเที่ยงและเย็น จะออกอากาศถึงสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ ด้วยเหตุที่พินิจพิเคราะห์แล้วว่ารายการประเภทข่าวเป็นรายการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งสวนทางกับต้นทุนในเรื่องของค่าใช้จ่าย และก็จะหันไปให้ความสำคัญกับรายการประเภทบันเทิงวาไรตี้เป็นหลัก รวมทั้งผนวกเพิ่มรายการประเภทสาระ ความรู้ เพื่อให้เป็นไปตามกฏเกณฑ์ที่ กสทช.กำหนด
คือ 25% ของผังรายการ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเลี่ยงบาลีของผู้บริหาร ที่บอกว่าศึกษาข้อกฏหมายแล้ว พบว่าช่องไม่จำเป็นต้องมีข่าวก็ได้ (แบบนี้ก็ได้เหรอ ?)คำถามคือ !!!เมื่อช่อง Gmm 25 เดินเกมแบบนี้ แล้วมันจะไม่ทับไลน์ช่อง One ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันหรือ !!???เพราะช่อง One ก็ออกตัวว่าเป็นช่องบันเทิงจ๋ามาแต่แรกแล้ว
เท่ากับว่าอากู๋มี 2 ช่องดิจิทัลในมือ แต่เป็น 2 ช่องที่มีรูปแบบของผังรายการเหมือนกัน จับกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน มีฐานลูกค้าที่จะมาซื้อโฆษณากลุ่มเดียวกัน
พูดง่ายๆ ว่าแทนที่จะไปแข่งกับคู่ต่อสู้ข้างนอก กลับมามาแข่งกันเองภายใต้หลังคาตึกเดียวกัน !!!
อารมณ์ไม่ต่างจากกรณีของช่อง 3 ที่ถือสัมปทานไว้ 3 ช่องไม่มีผิด ซึ่งสุดท้ายก็ไปไม่รอด ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองคืนไป 2 ช่อง ดีกว่าที่จะให้พังไปทั้งแผง
ก็ต้องมาวัดใจกันต่อว่าอากู๋จะกัดฟันยอมให้ 2 ช่องในมือฟาดฟันกันเองไปได้อีกนานแค่ไหน หรือจะรอจนกว่าให้สุดมือสอย จึงจะยอมปล่อยช่องใดช่องหนึ่ง
แหละ...ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ก็เดาได้ไม่ยากว่าอากู๋จะเลือกเก็บช่องไหน และปล่อยช่องไหนไป?
Endgame
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 51 18-24 พฤษภาคม 2562