xs
xsm
sm
md
lg

6 ปรากฏการณ์ Marvel's Avengers แฟรนไชน์ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนวงการหนังไปตลอดกาล

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Avengers: Endgame กำลังสร้างสถิติใหม่หลาย ๆ อย่าง แต่ไม่ใช่เท่านั้นหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ของ Marvel เรื่องนี้ยังส่งแรงกระเพื่อมไปทั่ววงการภาพยนตร์โลก และกำลังจะมีบทบาทเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไปโดยสิ้นเชิง

Avengers: Endgame ไม่ได้แค่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ประจำปี หรือ ผลงานที่ทำเงินเป็นสถิติใหม่ แต่ Avengers: Endgame หนังปิดเรื่องราวในเฟสที่ 3 ของ Marvel คือหนังที่เปลี่ยนทั้งวิธีการทำหนัง, วิธีการจัดจำหน่าย และเปลี่ยนแปลงธุรกิจภาพยนตร์ในหลาย ๆ ทาง

สถิติรายได้เปิดตัวที่อาจไม่มีใครทำลายได้ไปอีกนานแสนนาน

นักวิเคราะห์ของฮอลลีวูดเชื่อว่า Avengers: Endgame กำลังจะ "ถล่ม" บ็อกซ์ออฟฟิศอย่างเป็นปรากฏการณ์ และเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหมของวงการภาพยนตร์

Titanic, Avatar, Star Wars: The Force Awakens และ Avengers: Infinity War อาจจะสร้างสถิติรายได้ระดับประวัติศาสตร์ แต่ถ้าวัดเฉพาะแค่รายได้ในวันเปิดตัว ผู้สันทัดกรณีของฮอลลีวูดต่างมองตรงกันว่ายอดรายได้ของ Avengers: Infinity War ในสัปดาห์แรก จะสูงกว่าหนังที่ผ่านมาทั้งหมดโดยสิ้นเชิง และอาจจะถึงขั้นครองสถิติรายได้เปิดตัวไปอีกหลาย ๆ ปี

นับถึงตอนนี้ Avengers: Infinity War ทำรายได้ในรอบพรีวิววันพฤหัสในสหรัฐฯ ไปแล้ว 60 ล้านเหรียญฯ ทำลายสถิติเดิม 57 ล้านฯ ของ The Force Awaken ก่อนจะกวาดเงินในสัปดาห์แรกเฉพาะในสหรัฐฯ มากถึง 350 ล้านเหรียญฯ และทะลุถึง 1,209 ล้านเหรียญฯ สำหรับตลาดโลก ขึ้นไปติดอันดับ 18 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลทั้ง ๆ ที่ฉายแค่ 5 วันเท่านั้น

แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ Avengers: Endgame จะเอาชนะ Avatar เพื่อขึ้นเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 ตลอดกาล แต่ถ้าพูดถึงเฉพาะรายได้เปิดตัว Avengers: Endgame ก็น่าจะเขียนสถิติขึ้นมาใหม่ได้อย่างง่ายดาย และอาจจะเป็นสถิติที่อยู่ไปอีกนาน นักวิเคราะห์บางคนมองว่าด้วยสภาพธุรกิจของโรงภาพยนตร์ในปัจจุบัน อาจจะไม่มีหนังเรื่องไหนที่จะเปิดตัวได้อย่างถล่มทลาย และมีคนสนใจมากมายขนาดนี้อีกต่อไปแล้ว

ทศวรรษแห่งหนังซูเปอร์ฮีโร่ ... ทศวรรษแห่ง Marvel

ต้องให้เครดิด Blade ที่ เวสลี สไนป์ รับบทเป็นนักฆ่าแวมไพร์ และเรื่องราวของกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่กลายพันธุ์ X-Men ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ อยู่บ้าง ในการปลุกให้เรื่องราวของ ซูเปอร์ฮีโร่ได้กลับมาโลดแล่นบนแผ่นๆฟิล์มอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่หนังแนวนี้มาถึงจุดสูงสุดได้ก็ในยุคที่ Marvel เป็นผู้ดูแลการสร้างเอง

ในช่วงต้น Marvel Comics ได้ขายลิขสิทธิ์ตัวละครไปให้บริษัทอื่น ๆ อย่าง Men in Black, Blade, X-Men โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Spider-Man ที่กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดแห่งปี

จนในปี 2008 Marvel จึงหันมาหยิบเอาตัวละครซูเปอร์ฮีโร่มาสร้างเป็นหนังด้วยตัวเอง และแม้ Iron Man จะไม่ได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีแฟนประจำมากที่สุด แต่การแสดงอันมีเสน่ห์ของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, การคุมโทนหนังที่ผสมทั้งความเป็นไซไฟ, แอ็กชั่น และตลก เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวของทีมเขียนบท กับ ผกก. จอน ฟาฟโร ได้ทำให้ Iron Man กลายเป็นต้นแบบของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับ Marvel เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นมาตรฐานของวงการไปโดยปริยาย

หนังภาคต่อที่ไม่มีใครเบื่อ

ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์อาจจะเคยมีแฟรนไชน์ที่เดินทางในระยะเวลาอันยาวนาน มีผลงานออกมามากมายหลายสิบเรื่อง อาทิ The Planet of the Apes ที่มีหนัง 9 เรื่องในรอบ 51 ปี, James Bond มีหนัง 26 เรื่องใน 56 ปี หรือ Godzilla ที่ประกอบไปด้วยหนัง 30 เรื่องใน 65 ปี

แต่คงจะไม่มีแฟนชน์ใดที่จะมีจำนวนหนังมากมายในระยะเวลา อันสั้นเหมือนกัน Marvel Cinematic Universe ที่มีจำนวนหนังมากถึง 22 เรื่องในระยะเวลาแค่ 11 ปีอีกแล้ว

จาก Iron Man ในปี 2018 Marvel ค่อย ๆ ส่งหนังเรื่องต่อ ๆ ไป ลงสู่ตลาดไปพร้อม ๆ กับการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ที่มีโครงสร้างแข็งแรง ก่อนจะเปิดตัวเรื่องราวรวมจักรวาลอย่างเป็นทางการใน Marvel's The Avengers ในปี 2012 จากเดิมสร้างหนังปีละเรื่อง ก็เพิ่มเป็นปีละ 2 เรื่อง และเป็นปีละ 3 เรื่องในปี 2018

ไม่ว่าจะชอบหนังของ Marvel หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้ชมส่วนใหญ่ก็คงยอมรับว่าหนังของ Marvel เป็นงานที่ให้ความบันเทิงอย่างเต็มที่ แต่หนังละเรื่องมีความเชื่อมโยงจนไม่สามารถ "พลาด" เรื่องใดไปได้ และต่อให้ดูกันปีละ 2 - 3 เรื่องก็ไม่มีเบื่อ

จักรวาลภาพยนตร์ ... คิดง่าย แต่ทำยาก

จักรวาลภาพยนตร์ไม่ใช่ของแปลกใหม่อะไร Universal Pictures เคยจับเอา ผีดูดเลือด, อสูรกายของ ดร. แฟรงเกนสไตน์, มัมมี, มนุษย์ล่องหน, มนุษย์หมาป่า และอื่น ๆ อีกมากมายมาเจอกันตั้งแต่ในยุค 50s แล้ว

หลังความสำเร็จของ Marvel ผู้สร้างกลุ่มอื่นก็ยังพยายามทำอะไรแบบเดียวกัน อาทิ Dark Universe ของ Universe ที่วางแผนระดมดาราระดับซุเปอร์สตาร์อย่าง ทอม ครูซ, จอห์นนี เดปป์, รัสเซล โครว และ แอนเจลีนา โจลี มาร่วมวงกัน แต่สุดท้ายก็จอดตั้งแต่เรื่องแรก จนเจ้าของโครงการลาออก Universe ก็ล้มเลิกทุกอย่าง และต้องวางแผนยกเรื่องจักรวาลกันใหม่โดยสิ้นเชิง

จักรวาลระดับตำนานอย่าง Star Wars ก็ยังเริ่มมีปัญหา หลังพยายามสร้างทั้งภาคหลัก และภาคย่อย แต่สุดท้ายภาคย่อยตอน Solo: A Star Wars Story เกิดล้มเหลวอย่างรุนแรง สุดท้ายทุกอย่างต้องพักโครงการเอาไว้ทั้งหมด และวางแผนกันใหม่

แม้แต่เจ้าของลิขสิทธิ์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ดังไม่แพ้ Marvel อย่าง DC Comics ก็สร้างจักรวาลภาพยนตร์ไปด้วยความทุลักทุเล หนังอาจจะไม่ได้ล้มเหลวอย่างรุนแรง แต่ก็โดนวิจารณ์ทั้งแฟนหนังขาจร และแฟนพันธุ์แท้ DC Comics ก็ยังไม่ค่อยยอมรับ จนตอนนี้ Warner Brothers ต้องหันมาเน้นสร้างหนังจาก DC Comics แบบเรื่องต่อเรื่องแทน

เควิน ไฟจี เคยบอกง่าย ๆ ถึงเคล็ดลับการสร้างจักรวาลภาพยนตร์ว่าไม่ได้มีอะไรมาก ก็แค่สร้างหนังแต่ละเรื่องออกมาให้ดีก่อน เรื่องอื่นค่อยเอาไว้คิดภายหลัง

ความตายของหนังฟอร์มกลาง

ก่อนการมาถึงของหนัง Marvel ฮอลลีวูดจะจัดหนังออกเป็น 3 ประเภท คือหนังฟอร์มเล็กทุน 10 - 20 ล้านเหรียญ หรือน้อยกว่านั้น ที่จะเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม อาจะเป็นหนังสยองขวัญ หรือหนังรางวัล, หนังฟอร์มกลางอาจจะเป็นหนังตลกโรงแมนติก, หนังทริลเลอร์ หรือ ดราม่าที่เน้นขายชื่อเสียงของดารา หนังอาจจะใช้ทุนสร้างประมาณ 20 - 50 ล้านฯ และทุนสร้างส่วนใหญ่ของหนังจะหมดไปกับค่าตัวดารา

และสุดท้ายหนังทุนใหญ่ทุนสร้างระดับเกิน 100 ล้านฯ ซึ่งเน้นขายในตลาดโลก อาจจะไม่ได้มีดาราดัง แต่เน้นความบันเทิงอย่างเต็มที่ และเทคนิคพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจ

แต่หลังที่หนัง Marvel สามารถโกยเงินอย่างถล่มทลายทุก ๆ ปี สตูดิโอในฮอลลีวูดก็เริ่มระงับการสร้างหนังฟอร์มกลาง ๆ ทุนสร้าง 20 - 50 และหันไปสร้างหนังทุนมหาศาล 200 - 300 ล้านฯ แทน แต่ละปีเน้นสร้างหนังไม่กี่เรื่อง แต่ละเรื่องจะเน้นทุนสร้างให้อย่างเต็มที่, มีจุดขายชัดเจน แน่นอนว่าถ้าล้มเหลวก็จะขาดทุนสร้างมหาศาล แต่ถ้าประสบความสำเร็จก็จะได้กำไรอย่างถล่มทลาย ดีกว่าจะเอาเงิน 200 - 300 ล้าน ไปสร้างหนังกลาง ๆ 5 - 6 เรื่อง ซึ่งอาจเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็ทำกำไรได้แค่หอมปากหอมคอเท่านั้น

ในปี 2019 Disney จะมีหนังฉายแค่ 10 เรื่อง 9 เรื่องเป็นหนังภาคต่อ หรือรีเมกมาจากงานที่คนรู้จักกันดีอยู่แล้ว และอีก 1 เรื่องที่เป็นหนังใหม่แกะกล่องก็คือ Artemis Fowl ซึ่งมีต้นฉบับมาจากนิยายชื่อดัง

ความเปลี่ยนแปลงของรสนิยมผู้ชม และการมาถึงของ Netflix ล้วนเป็นสาเหตุของการล่มสลายของหนังฟอร์มกลางทั้งนั้น และหนังซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel ที่ได้ชื่อว่าเป็น "พิมพ์เขียว" ของหนังบล็อกบาสเตอร์ในยุคนี้ก็มีส่วนมาก ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน

ยุคสมัยที่ผู้ชมนั่งอยู่ในโรงจนวินาทีสุดท้าย

Marvel เริ่มสร้าง Iron Man ในปี 2008 โดยตอนนั้น ผกก. จอห์น ฟาฟโร ได้นึกสนุกเชิญ แซมมวล แอล. แจ็คสัน มารับเชิญเป็นตัวละคร นิค พิวรี ในตอนท้ายเรื่อง โดยไม่ได้มีแผนที่จะสร้างจักรวาล หรือหนังต่อยอดมากมายอะไรขนาดนี้

บางครั้งอาจจะเป็นแค่มุกตลกฮา ๆ ให้แฟน ๆ ได้บ่นกันแบบสนุก ๆ ว่าไม่น่านั่งรอเลย แต่บางครั้งก็เป็นฉากสำคัญที่ "ห้ามพลาด" เป็นบทสรุปของเรื่องราว และเป็นเบาะแสสำหรับหนังภาคต่อ ๆ ไป ... ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่ท้ายเครดิต


กำลังโหลดความคิดเห็น