“ปุ๊กกี้” เผยป่วยไตวายสุดทรมานร้องไห้ทุกวัน ไม่ปัสสาวะเกือบ 10 ปี หมดเงินรักษา 6 ล้าน ตอนนี้เหมือนได้เกิดใหม่หลังได้รับบริจาคไต เตรียมบวชให้เจ้าของไต ตัดพ้อพอไม่ดังเพื่อนดาราก็เลิกคบ
เป็นอดีตดาราที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี สำหรับ “ปุ๊กกี้ ชุลีพร ดวงรัตนตรัย” ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวต้องเผชิญกับโรคไต ทำให้ปุ๊กกี้หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงนานถึง 8 ปี ล่าสุด ปุ๊กกี้ ได้มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บSHOW ทางช่องONE31 ที่มี หนิง ปณิตา และ ท็อป ดารณีนุช เป็นพิธีกร
ไตเสื่อมระดับไหน?
“คนเราไม่ใช่อยู่ดีๆ ไตเสื่อมได้ง่าย เราเป็นเบาหวานตั้งแต่เกิดได้รับพันธุ์กรรม เป็นเบาหวานตอนวัยรุ่น คือเป็นมาหลายๆ ปี แต่ก็ยังกินทุกสิ่งอย่าง คือประมาทกับชีวิตมากๆ โดยไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไร เพราะว่ายังสาว ยังเด็ก ยังทำงาน ยังมีแรง แล้วพอมันเป็นมันเป็นเลย ถามว่าตรวจร่างกายไหมก็ตรวจ แต่ด้วยความที่เราปล่อยปะละเลย พอเวลาผ่านไปหลายๆ ปีมันก็กลายเป็นโรคแทรกลามเข้ามา โรคแทรกก็มีความดัน แต่ยังดีที่หัวใจแข็งแรงไม่เป็นอะไร แล้วก็เป็นไต ซึ่งไตนี่ต้องฟอกเลือด เปลี่ยนชีวิตเลย อาทิตย์นึงต้องไปฟอกเลือด 3 วัน มันเป็นภาระของชีวิตมากๆ เจ็บปวดทรมาน”
คนที่เป็นโรคไต ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ปัสสาวะเลย?
“ใช่ค่ะ เพราะว่าไตวายไม่ทำงาน จะไม่มีปัสสาวะ ไปไหนไม่เคยเข้าห้องน้ำเลย ต้องไปเอาของเสียออกทางเลือด”
8 ปีทนได้ยังไงกับความรู้สึกแบบนี้?
“ไม่ใช่ว่าเราทนนะ ปีแรกร้องไห้ทุกวัน เพราะว่าคนเคยทำงาน แล้วเวลาเห็นเพื่อนๆ ในทีวีเราอยากเล่น มันคิดถึง มันอยู่ในสายเลือด แต่พอปีที่ 2 มานั่งร้องไห้อีก ปีที่ 3 เริ่มคิดว่าถ้าเราจะอยู่กับอาการและอารมณ์แบบนี้มันจะไปได้สักกี่น้ำ ก็ค่อยๆ ปรับ เอาธรรมมะเข้ามาช่วย มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้วก็อยู่กับโรคนี้ได้”
ตอนนี้ปุ๊กกี้ได้ไตใหม่เรียบร้อยแล้ว?
“ค่ะ จากผู้บริจาค คือคนที่เป็นโรคไตจะลงชื่อขอบริจาคไตจากสภากาชาดไทยเอาไว้ ก็จะถูกรันเรียกไปตามคิว ซึ่งเราลงไว้ตั้งแต่ปีแรกที่เป็น คือ 8 ปีกว่า ไม่เคยโดนเรียกเลยสักครั้ง”
เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เสร็จสิ้นจากการผ่าตัดใช้เวลาเท่าไหร่?
“ประมาณเดือนครึ่ง ตอนนี้รู้สึกมีกำลังใจ เพราะไม่มีไตมา 8 ปี เกือบ 9 ปี แล้วอยู่ดีๆ ก็มีไต ก็เหมือนคนปกติ รู้สึกว่าเหมือนเรามีชีวิตใหม่ ได้เกิดใหม่ใจมันเต็มอิ่ม”
เล่าถึงวินาทีได้ไตให้ฟังหน่อย?
“ตอนนั้นประมาณตี 5 กว่าๆ มีโทรศัพท์มาที่บ้าน ทีนี้มือเราไปถูกโทรศัพท์มันก็เลยไม่มีเสียง มันก็กลายเป็นสั่นแทน เราก็หงุดหงิดมาก คิดว่าใครโทร.ผิด เราก็ไม่รับ มันสั่นประมาณ 5 ครั้งเราก็เลยรับ เขาบอกว่าโทร.จากศูนย์เปลี่ยนถ่ายอวัยวะศิริราช ดีใจไหมคะ เท่านั้นแหละเราอึ้งเลย พอไปถึงโรงพยาบาลเขาบอกว่าต้องทำใจนะ ถ้าผู้บริจาคไตที่เสียชีวิตไปแล้วอยากให้ไตเรา คุณก็ได้ ถ้าเขาไม่อยากให้ คุณก็ไม่ได้”
ความรู้สึกที่รู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะได้ไต ตอนนั้นเป็นยังไง?
“ดีใจมากค่ะ เราฟอกเลือดมานาน คนข้างๆ เราก็เคยผ่าตัดแล้วก็ไม่สำเร็จ ผ่าตัดแล้วไตไม่ทำงาน บางคนผ่าตัดแล้วเส้นเลือดไม่ทำงานบ้าง เยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นสิ่งต่อไปที่เราภาวนาก็คือเมื่อผ่าตัดไตแล้วขอให้ไตทำงาน ปรากฏว่าเขาก็ไม่ทำงาน จนกระทั่งวันที่ 7 เขาถึงทำงาน เราต้องต่อสู้กับจิตใจว่าทำยังไงให้ใจชนะความกังวล”
เห็นบอกว่าอธิฐานจิตว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อย จะไปบวช?
“ใช่ บวชให้กับผู้บริจาคไต เราตั้งใจไว้จะบวชให้เขา 7 วัน เราอาจจะบวชชีพราหมณ์แล้วก็ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มงวด ก็เตรียมตัวไว้ว่าน่าจะเดือนพฤษภาคม”
อันนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญในชีวิตไหม?
“พยาบาลเขาก็บอกว่าคุณโชคดีนะ ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอีก เพราะว่าเหมือนมีชีวิตใหม่ พอไตทำงานเราดีใจมากๆ เพราะเราไม่ได้ปัสสาวะมาเกือบ 10 ปี”
เรื่องค่าใช้จ่ายดูแลเองหรือมีใครช่วย?
“เราดูแลตัวเอง เพราะเป็นคนเก็บเงินตั้งแต่เด็ก แล้วเรายังไม่ได้เดือดร้อน ถามว่าเก็บเยอะไหม เราก็ซื้อของนะ พวกแบรนด์เนมก็มี ซื้อรถเบนซ์เงินสด เราป่วยทั้งหมดประมาณ 12 ปีตั้งแต่เริ่มป่วย แต่ฟอกเลือดเกือบ 9 ปี ซึ่งเรานับแค่ปีที่ 8 นะ ค่ารักษาหมดไปเกือบ 6 ล้าน แต่เราเอาสบาย ไปรักษาโรงพยาบาลเอกชนบ้าง รัฐบาลบ้าง เพราะฉะนั้นมันจะหมดเยอะ พอตั้งแต่ปีที่ 9 เราเริ่มประหยัด ใช้แต่ประกันสังคม เพื่อจะประหยัดเงินเอาไว้”
อาการป่วยครั้งนี้เห็นทั้งมิตรแท้ มิตรเทียม?
“มันไม่เชิงเห็น แต่มันวิเคราะห์ได้ คือมีวันนึงคิดถึงเพื่อนมากเลย วันนั้นแข็งแรงก็เลยอยากโทรศัพท์คุย แต่เราสนิทกับหลายคน แต่เราเลือกเขา ก็เป็นเพื่อนดาราด้วยกัน เราก็โทรศัพท์ไปหาเขา ไม่ได้คุยกันมาเกือบ 10 ปี เขาก็งงๆ จำไม่ได้ เราก็บอกว่าปุ๊กกี้ไง เขาก็บอกว่าจำได้ แต่เขาก็งงๆ ทีนี้เราก็ชวนเขาคุย เขาก็คุยอีกสักพัก เขาก็พูดเรื่องเงิน เราก็พูดเรื่องอื่น แต่เขาก็กลับมาพูดเรื่องเงินประมาณ 4-5 รอบ จนเรางงๆ แล้วเราก็มานั่งงงๆ แป๊บนึง ก็คิดได้ว่าเคยมีผู้ใหญ่บอกเรา ถ้าเพื่อนหายไป 5 ปี 10 ปี ถ้ากลับมาให้นึกไว้ก่อนเลยว่าเขามายืมเงิน”
“คือเขาต้องคิดว่าเราไปยืมเงินแน่ๆ ต่อไปนี้ไม่โทร.หาใครแล้ว มันเหมือนกับเราไปยืมเงินเขา แล้วมันก็มีอีกนะ บางทีเราเคยสนิทกับดาราคนนี้ ไม่ใช่สนิทธรรมดานะ สนิทมากแล้วไม่ได้เจอกันนานแล้ว พอไปเจอกันที่งาน เขาก็บอกว่าสวัสดี แล้วก็เดินไป เราก็งง เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้ เราก็คิดว่า อ่อ..เราไม่ดังแล้ว คือคิดเอง แต่ว่ามันเจออย่างนี้หลายคนแล้ว มันก็เลยคิดว่าตอนเราดังเขาเป็นกับเราอย่างนึง เขาเดินเข้ามาหาเรา แต่พอเราไม่ดังเขาเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยคิดว่านั่นคือปมด้อยของชีวิต เพราะว่าเราพอใจกับสิ่งที่มี”