ขณะที่ประเทศบรูไนกำลังออกกฎหมายเพื่อลงโทษประหารชีวิตกลุ่มคน LGBT ด้วยการขว้างหิน ก็กลับมีข่าวลือที่ว่าพระราชโอรสของ "สมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซานัล บลกียะห์" เองก็อาจจะเป็นเพศที่ 3 ด้วย
เจ้าชายอับดุล อาซิม เป็นพระราชโอรสลำดับที่หกจากทั้งหมดสิบสองพระองค์ของ สมเด็จพระราชาธิบดีฮัสซานัล บลกียะห์ ที่ประสูติแต่มาเรียม อับดุล อาซิซ อดีตพระมเหสี พระองค์มีเชื้อสายญี่ปุ่นและอังกฤษมาแต่พระชนนี
แต่นอกจากบทบาทมกฎราชกุมารลำดับที่ 3 แห่งบูรไนดารุสซาลามแล้ว เจ้าชายอาซิม ยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่ปาปารัซซีมานาน จากการร่วมอยู่ในงานเลี้ยงใหญ่ๆ ของคนดังระดับโลกอยู่เสมอ และมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสุดร้อนแรง
เจ้าชายอาซิม ยังมักจะเชิญดาราฮอลลีวูดมาร่วมงานเลี้ยงส่วนพระองค์ อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในงานฉลองวันประสูติเมื่อปี 2009 ซึ่งรับการขนานนามว่าเป็น "งานเลี้ยงแห่งปี" เพราะมีทั้ง เจเน็ต แจ็กสัน, มารายห์ แครี, โซเฟีย ลอเรน, โจแอน คอลลินส์ และเฟย์ ดิวนาเวย์ มาร่วมงาน
แต่ล่าสุดชื่อของ เจ้าชายอาซิม ต้องกลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง หลังสุลต่านบรูไนได้ไออกกฎหมายประหารชีวิตกลุ่มคน LGBT ด้วยวิธีสุดรุนแรงอย่างการขว้างหิน จากบล็อคเกอร์ชื่อดัง เปเรซ ฮิลตัน ที่อ้างว่า เจ้าชายอาซิมเป็น "เกย์ตัวพ่อ"
"พวกคุณก็คงรู้ว่าเดี๋ยวนี้ผมไม่ได้แซะใครอีกแล้ว" เปเรซ บอกในคลิปวิดีโอ "แต่คราวนี้ต้องขอคืนคำ เพราะเกิดเรื่องที่ต้องยกเว้นขึ้น ผมเดาว่าสุลต่านบรูไนเองคงไม่ทราบว่าลูกชายของพระองค์ เจ้าชายอาซิม น่ะเกย์ตัวพ่อเลย ผมรู้ดีเพราะเคยเจอกับพระองค์มาแล้ว มันจึงเป็นเรื่องสองมาตรฐานชัด ๆ ที่สุลต่านมาออกกฎหมายประหารชีวิตเกย์แบบนี้"
แม้ เปเรซ จะกล่าวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามสื่อต่าง ๆ ได้ปฏิเสธที่จะยืนยันถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ แต่ที่ชัดเจนก็คือ เจ้าชายอาซิม ไม่ได้รังเกียจกลุ่มคนรักร่วมเพศ และยังสนิทสนมกับคนดังหลาย ๆ คนที่ชอบเพศเดียวกัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ยังมีข่าวว่า เจ้าชายอาซีม ได้ร่วมปาร์ตี้กับอดีตนักกีฬาข้ามเพศ แคทลิน เจนเนอร์, นักร้องที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเรียงร้องสิทธิให้คน LGBTQ อย่าง มารายห์ แครีย์ และนักสกีเกย์ กัส เคนเวิร์ธธี ด้วย
การออกกฎหมายประหารชีวิตกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้ทำให้บรูไนถูกทั่วโลกประณาม รวมถึงพระเอกคนดัง จอร์จ คลูนีย์ ที่ออกมาเรียกร้องให้ทุกคน "แบน" ธุรกิจในต่างประเทศของบรูไน โดยเฉพาะโรงแรมหรูในอเมริกาหลายแห่ง เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการออกกฎหมายที่ล้าสมัยของสุลต่าน
แม้หลายฝ่ายเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวไม่น่าจะมีผลอะไรต่อ สุลต่านแห่งบรูไนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน 20,000 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 627,000 ล้านบาท ก็ตาม คนที่จะได้รับผลกระทบที่แท้จริงกลับน่าจะเป็นลูกจ้างของกิจการเหล่านั้นมากกว่า