"ทิม พิธา" เสียงสั่นพบสัจธรรมชีวิต ฟ้องหย่า "ต่าย ชุติมา" สิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว เผยรักถึงทางตัน ยุติบทบาทสามีภรรยา 13 เดือน ไม่สุดจริงๆ ไม่พึ่งศาล ยอมรับล้มเหลวในฐานะพ่อแม่ แต่ขอทำหน้าที่พ่อปกป้องลูก ห่วงความมั่นคงทางอารมณ์ของลูก ไม่อยากให้อยู่บนความขัดแย้ง ทนไม่ไหวอีกแล้วลูกต้องย้ายไปย้ายมาทุก 5 วัน มี 2 โรงเรียน ขอไม่ตอบ ลูกไม่อยากไปอยู่กับแม่ แล้วแต่ลูกอยากอยู่กับใคร เปิดใจยังมีความหวังดีให้ตลอด อยากให้มีสติ
จากกรณีดรามา "ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ" โพสต์ประกาศตามหาลูก และเข้าแจ้งความ เหตุ "ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" สามีไม่ยอมส่ง "น้องพิพิม" ตามนัด แม้ทิมจะเผยว่าลูกนอนหลับอย่างปลอดภัย และขอให้เป็นเรื่องภายใน ตามคำสั่งศาล
ล่าสุดทิม พิธา ตั้งโต๊ะแถลงข่าวในเวลา 13.00 น. วันนี้ (29 มี.ค.) ณ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 พร้อมเปิดใจทุกเรื่องราว ถึงสาเหตุความขัดแย้ง และเหตุผลที่ต้องฟ้องหย่า เพราะคิดถึงจิตใจของลูกเป็นหลัก
"ชีวิตคนเรานี่ก็สัจธรรมจริงๆ เลยนะฮะ ผมก็ไม่เคยนึกเลยว่าจะมาถึงวันนี้ที่จะต้องมาพูดกับพี่ๆ สื่อมวลชน ด้วยรอยยิ้มที่ฝืน แล้วก็ใจที่หนักอึ้ง"
"ผมเองที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นคนสาธารณะแต่อย่างใด ครั้งสุดท้ายที่มีบรรยากาศแบบนี้ ก็เมื่อมีงานแต่งงาน ก็ยังจำหน้าพี่ๆ บางคนได้อยู่ ที่มาร่วมงานแต่งงานครั้งนั้น สาเหตุที่คิดว่าคงจะต้องมาอธิบายให้พี่ๆ สื่อมวลชนฟัง เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าความรักของผม หลังจากที่พี่ๆ ได้ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนั้นมันถึงทางตัน มาเป็นระยะเวลานาน น่าจะ 13-14 เดือนแล้ว"
"ตัวผมเองก็ยังจำได้ว่าตอนงานแต่งงาน ก็ได้ให้สัญญากับพี่สื่อมวลชนเลย ที่โรงแรมโอเรียลเต็ล วันที่ 12/12/12 ว่าจะซื่อสัตย์ สม่ำเสมอ แล้วก็เสียสละ เพื่อที่จะประคับประคองชีวิตคู่ให้ต่อไปได้ แล้วก็พยายามทำอย่างนั้นมาตลอด แต่เรื่อวของความรัก บางทีตอนมันเกิด มันก็ไม่มีเหตุมีผล ตอนมันจะไม่มี มันก็ไม่มีเหตุผลอีกเหมือนกัน (ยิ้ม) ก็คงไม่มีใครที่จะอยากให้มันออกมาเป็นลักษณะนี้"
ตลอดเวา 13 เดือนพยายามประคับประคองความรักดีที่สุดแล้ว ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมรสแต่ไม่สำเร็จ ต้องยุติบทบาทสามีภรรยา แต่ยังไม่หย่าเป็นทางการ
"แต่ว่าก็ต้องยอมรับว่าครั้งสุดท้ายตั้งแต่มีปัญหาขึ้นมา ผมก็ไม่ได้มีโอกาสคุยกับพี่สื่อมวลชน มีอยู่ครั้งสุดท้ายก็เดือนตุลาคมหรือเดือนพฤศจิกายน แล้วตอนนั้นก็ยังไม่มีคำตอบให้ แต่ว่าตอนนี้ก็คงต้องยอมรับว่า ผมก็พยายามเต็มที่แล้ว ตลอดเวลา 12-13 เดือนที่ผ่านมา ที่จะประคับประคองได้ ไม่ว่าจะด้วยการพูดคุยกันเอง พูดคุยโดยมีผู้ใหญ่ที่เคารพมาช่วยด้วยการหาผู้เชี่ยวชาญ ต้องขอโทษนะครับ ผมจะพูดช้านิดหนึ่งตรงนี้ เพราะผมคิดว่ามันละเอียดอ่อน มันเป็นเรื่องที่ต้องกระทบครอบครัวผม แล้วก็ลูกสาวผม ผมก็อยากจะเลือกใช้คำพูด"
"ก็ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสมรสมาตลอด แต่ในที่สุดแล้วก็ไม่สำเร็จ ก็ทำไม่ได้ บทบาทของการเป็นสามีภรรยาก็คงต้องยุติลง แต่ก็ยังเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายอยู่ เพราะว่ายังไม่ได้ไปจดทะเบียนหย่าที่เขตแต่อย่างใด”
"เมื่อมันไปต่อไม่ได้ มันถึงทางตัน เราก็ต้องยอมรับ แล้วก็มองไปในอนาคต ผมเองก็อยากที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ถึงยังไงก็ยังจำบรรยากาศดีๆ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันได้ แล้วก็ยังหวังว่าถึงแม้ว่าบทบาทของการเป็นสามีภรรยาอาจจะไม่ได้ไปต่อ แต่ในความเป็นพ่อเป็นแม่มันยังมีอยู่ แล้วก็ยังมีความหวังว่าอยากจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แล้วก็ช่วยกันเลี้ยงลูกต่อไปให้ได้ แน่นอนว่าในปัจจุบันคงเห็นว่ามันมีความขัดแย้งอยู่ชัดเจน ก็คงปฏิเสธตรงนี้ไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจว่าชีวิตคนเรามันมีบางเรื่อง ที่เหตุผลมันแก้ไขไม่ได้ แล้วบางเรื่องที่เหตุผลมันแก้ไขไม่ได้ สิ่งที่จะแก้ได้คือเวลา มันจะนานเท่าไหร่เราก็คงต้องอดทนแล้วก็พยายามมี่จะแก้ไขมันต่อไป”
บอกสิ่งที่พูดในวันนี้ อนาคต 10 ปีก็ยังอยู่ และลูกสาวจะได้รับรู้ ไม่อยากให้ลูกต้องมาอยู่บนความขัดแย้งของพ่อแม่
"สิ่งที่โฟกัสแล้วก็พูดมาตลอด ตั้งแต่ที่ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกครั้งเดียว นั่นก็คือว่าต้องการที่จะดูแลพิพิม ลูกสาว อย่างมีเสถียรภาพ อีกสิ่งหนึ่งที่ตอนรักกันใหม่ๆ ก็มีข่าวจากสื่อนี่แหละ ว่าเริ่มคบหาดูใจกัน พอวันนี้ถ้ากลับไปเสิร์จดูข่าวนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้วก็ยังอยู่ 10 ปีต่อไปในอนาคต ลูกสาวผมจะอายุ 13 ขวบ สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ หรือสิ่งที่ออกไปในสื่อ ก็ยังจะอยู่อีกเช่นเดียวกัน แล้วมันคือสิทธิของเด็กใช่ไหม เขาอาจจะไม่ได้อยากจะมาอยู่บนความขัดแย้งของพ่อแม่ หรืออยู่ในสื่อ นี่คือความจริยธรรมของความเป็นพ่อเป็นแม่ นี่คือจรรยาบรรณของการเป็นสื่อมวลชนใช่มั้ย"
"เพราะฉะนั้นผมก็พยายามจะเลี่ยง แล้วก็อยากให้ความขัดแย้งนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แต่ในเมื่อมันควบคุมไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตผมได้ แต่ผมควบคุมวิธีที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แล้วนี่ก็คือสิ่งที่พยายามเลือกทำมาตลอด”
เสียงสั่นบอกลูกได้รับผลกระทบ เกิดความเครียด-สับสบ จากความผิดพลาดของพ่อแม่ ทั้งที่เนื้อแท้เป็นเด็กร่าเริง
"สำหรับพิพิมแล้ว สิ่งที่เป็นสิทธิของเขา ถึงแม่ว่าผมจะเป็นพ่อเขา ผมก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะมาเผยแพร่และอธิบาย หรือสาธยายให้ทุกท่านฟังได้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูก จากความไม่เข้าใจของพ่อกับแม่ มันมากมายเพียงใด (เสียงสั่น) ผมก็เป็นห่วงลูกสาวเป็นหลัก เพราะในชีวิตผมก็ส่วนตัวแล้วไม่มีปัญหาอะไร ยินดีที่จะไปต่อด้วยตัวคนเดียว ในใจผมก็คิดว่าอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ อยู่เป็นคู่ก็มีความสุขได้ ไม่มีลูกก็มีความสุขได้ มีลูกก็มีความสุขได้ มันอยู่ที่ใจเรา ว่าเราวางใจยังไง ก็คิดว่าโอเคมันเกิดขึ้นแล้ว ตัวผมไปต่อได้"
"แต่สิ่งเดียวที่ห่วงมากที่สุดก็คือลูก ถ้าลองนึกถึงหัวใจกระดาษของเด็กอายุ 2-3 ขวบมันเกินไป (เสียงสั่น) ก็เป็นห่วงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมคงไม่ลงรายละเอียด เพราะอยู่ในชั้นศาลหมดแล้ว ต้องยอมรับว่าพิพิมก็ได้รับผลกระทบ อาจมีเรื่องความเครียดหรือความสับสน จากความผิดของพ่อและแม่เอง โดยเนื้อแท้เขาเป็นเด็กร่าเริง ตลอด 6-7 เดือนที่มีการแยกบ้านกันอยู่ ได้มีการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เราอยากรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ลูกจะได้รับผลกระทบมั้ย เพราะเราก็ไม่สามารถกำหนดทิศทางการเลี้ยงดูบุตรอย่างมีเสถียรภาพได้ ก็ได้รับคำแนะนำมาว่า คงจะปล่อยให้ลูกมารับกรรมจากความไม่เข้าใจของผู้ใหญ่ไม่ได้"
ไม่ถูกต้อง ลูกต้องย้ายบ้านทุก 5 วัน สร้างความสับสน ปกป้องลูกฟ้องหย่าภรรยาเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา
"การที่เขาต้องเก็บกระเป๋าย้ายบ้านใหม่ทุกๆ 5 วันโดยไม่มีเหตุผลอธิบาย จะสร้างความสับสนให้กับลูกขนาดไหน เพราะฉะนั้นในใบรับรองแพทย์จึงเขียนว่า ความผาสุกและความมั่นคงทางอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งสำคัญ ผมก็พยายามพูดคุยกับทางคุณแม่ว่า ช่วยกำหนดวิธีเลี้ยงลูกให้มีเสถียรภาพกันเถอะ ผมเองไม่เห็นด้วยที่ลูกจะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านนั้น 5 วัน แล้วย้ายไปบ้านนี้ 5 วัน อย่างที่บอกว่าเราจดทะเบียนกันเพราะฉะนั้นสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรก็คือ 50-50 ถ้าคุณแม่เขาไม่ยอม จะเอาลูกไปเราก็ต้องอนุญาต"
"แต่พอมีผลกระทบกับลูกก็คงต้องหยุด เพราะมันไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ลูกจะต้องมาเจอ บางคนอาจจะบอกว่าเวลาที่ลูกไปเรียนหนังสือยังร้องไห้ แต่การเรียนของลูกคือภาระหน้าที่ตามกฏหมาย เด็กมีความจำเป็นต้องปรับตัว แต่การที่พ่อแม่อยู่กันคนละบ้าน แล้วบังคับให้เขากลับไปกลับมา แทนความสะดวกของพ่อแม่ ผมว่าไม่ถูกต้อง เลยพยายามคุยกันแต่ก็ยังไม่สำเร็จ แล้วเมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่าง การพูดคุยต่อไปกับการปกป้องลูก ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าคงต้องพึ่งคนกลาง ผมเลยตัดสินใจที่จะต้องฟ้องหย่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทะเบียนสมรสก็แค่กระดาษใบหนึ่ง คนที่จดทะเบียนแต่ไม่ได้รักกัน กับคนที่อย่าไปแล้วแต่กลับมารักกันก็มี”
"สำหรับผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่จริงๆ คือเรามีความจำเป็นที่จะปกป้องลูก ด้วยการฟ้องหย่าเพื่อขอสิทธิ์ ในการเลี้ยงดูบุตรและเพื่อที่จะสามารถคุยกันได้รู้เรื่อง ถึงจะมีศึกก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะใช้สิทธิ์ในการบังคับอะไร แต่ว่ามันถึงจุดที่เราจะต้องปกป้องสิทธิ์ของพิพิม พอมีการฟ้องหย่ากันก็มีการไต่สวนไปเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งคุณต่ายไม่ได้มาตามนัดศาล เลยเป็นการไต่สวนและดูหลักฐานของผมฝ่ายเดียว"
มีสิทธิ์เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว เหตุต่ายไม่มาตามนัดศาล และจะขออุทธรณ์รื้อคดีใหม่
"ศาลได้พิพากษาให้หย่าขาด แต่ว่ายังไม่ได้ไปจดทะเบียนที่เขต และพิพากษาให้สิทธิ์ปกครองบุตรกับผมแต่เพียงผู้เดียว แต่คุณต่ายไม่มาตามนัดศาล และคุณต่ายจะขออุทธรณ์รื้อคดีใหม่อีกรอบ ซึ่งไม่เป็นไรให้เป็นไปตามกระบวนการศาล แต่ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีเอกสารตามคำพิพากษาว่าผมเป็นโจทก์ คุณต่ายเป็นจำเลย เพื่อให้ผมได้มีโอกาสที่จะมากำหนดวิธีเลี้ยงดูบุตรอย่างมีเสถียรภาพเพื่อความมั่นคงของลูก"
"ตอนรักกันทุกท่านมาเป็นพยาน ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีจุดนี้เกิดขึ้นในชีวิต และไม่เคยคิดว่าจะมีความจำเป็นต้องทำวิธีแบบนี้ 13 เดือนที่ผ่านมา พยายามจะใช้ทุกวิธีเพื่อให้มันหยุดเป็นเรื่องแบบนี้ ในที่สุดมันก็ไม่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็มีความจำเป็นที่ต้องพูดคุยกันต่อไป พยายามไม่ใช้สิทธิ์ พยายามพูดคุยกันต่อไป หาวิธีเลี้ยงดูบุตรอย่างไรให้มีเสถียรภาพให้ได้สักทีหนึ่ง พอได้แล้วที่พิพิมจะต้องเป็นผลลัพธ์ของปัญหาของผม อยากจะหยุดตรงนี้ให้ได้ ให้เขาสามารถเติบโตเป็นคนที่ดี เป็นเด็กที่มีความมั่นคงทางอารมณ์”
แจงกรณีไม่ส่งลูกตามนัด จนอีกฝ่ายแจ้งความ ลั่นหากลูกอยากไปก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีปัญหาก็ขอพอแล้ว
"ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ผมเดินทางไปเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ในใจผมคิดไว้แล้วว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเพราะมันหลายครั้งแล้วที่พอไปถึงแล้วอย่างที่คุณต่ายได้พูดไว้ใน สน. บอกว่ามีปัญหานิดหน่อยเวลาที่จะส่งมอบลูกกัน ซึ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดพิพิมอยากจะไปก็โอเค แต่ถ้าเขาบอกว่าเขา... ผมพูดคำนี้ไม่ได้เพราะว่ามันแปลไม่ดี ก็คือเพราะว่ามันมีปัญหากัน ถ้าครั้งนี้ไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดมันมีปัญหา ผมก็คิดว่าพอแล้วที่ลูกจะต้องมาเป็นผลลัพธ์จากความขัดแย้งของพ่อและแม่ ผมคิดว่าคงไม่ให้ไป”
"ถามว่าให้สิทธิ์ลูกเลือกมั้ยว่าจะไปหรือไม่ไป ตามคำแนะนำต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าลูกจะเด็กแค่ไหน คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกเป็นหลัก ถ้าลูกบอกว่าโอเคไม่มีอะไร ยิ้มแย้มแจ่มใสก็โอเค แต่ถ้าเกิดลูกร้องบอกไม่อยากไป ผมคิดว่าวันนั้นผมจะไม่ให้ไปแล้ว”
อุบตอบน้องพิพิมไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากลงรายละเอียดไปถึงลูก ยันไม่ได้กีดกันแม่เจอลูก แต่เราทั้งคู่ล้มเหลวในฐานะพ่อแม่
"ใช้คำว่ามีปัญหาอย่างที่เขาพูด รายละเอียดอย่าลงไปถึงเด็กเลย ถ้าเขามาอ่านว่าชีวิตเขาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ขอใช้คำว่า เพื่อสิทธิของพิพิม ถ้าส่งมอบครั้งนี้ไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดมีปัญหา ผมยอมไม่ได้ อยากจะขอมาหาที่บ้านแล้วกัน ขอพูดตรงนี้เลยว่าไม่ได้กีดกัน ผมต้องการให้แม่มีส่วนในการเติบโตของพิพิม แต่ต้องยอมรับว่าเราล้มเหลวในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะไม่สามารถกำหนดวิธีเลี้ยงดูบุตรอย่างมีเสถียรภาพมาตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา"
"ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมารีสตาร์ทกันใหม่ และคุยกันให้ชัดเจนว่า วิธีการที่จะเลี้ยงดูพิพิมคืออะไร ความขัดแย้งที่เขาพูดไปแล้ว เรื่องผลัดกันเลี้ยงลูกคนละ 5 วัน เขาคิดว่าโอเค แต่ผมคิดว่าไม่โอเค ผมไม่เห็นด้วย แต่ว่าเขามีสิทธิ์ไง ตอนแรกเขามีสิทธิ์อยู่ 50-50แต่หลังจากวันที่ 11 ก.พ. เป็นต้นไป ศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้โจทก์มีอำนาจปกครอง ด.ญ.พิพิม ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว"
"ตอนนี้คำพิพากษาเป็นไปตามนั้น แต่ทางคุณต่ายอยากจะอุทธรณ์ อยากรื้อกระบวนการต่อ ก็ยินดี ไม่เป็นไร ผมก็อลุ่มอะล่วย คนเรามีสิทธิ์ ไม่ได้อ้างสิทธิ์พร่ำเพรื่ออยู่แล้ว ถ้าอันไหนที่อลุ่มอะล่วยได้ แต่มันก็ต้องมีขอบเขตอีก มันถึงเวลาแล้ว มันนานมากพอแล้วที่คุยกันไม่รู้เรื่องมา 12-13 เดือน ลูกต้องมาทนทุกข์ทรมานมา 6 เดือน รายละเอียดอยู่ในชั้นศาลหมดแล้ว ซึ่งผมอธิบายไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขอให้มันจบได้แล้ว ขอให้เรามารีสตาร์ทและเลี้ยงดูกันใหม่ ถามว่าตอนนี้ลูกอยู่กับผมเป็นหลักมั้ย เอาตามความรู้สึกของลูกเป็นหลัก เขาอยากจะอยู่ที่ไหนก็ให้อยู่ที่นั่น”
ลั่นเรื่องบานปลาย เกิดจากความขัดแย้งที่ไม่เห็นด้วย วิงวอนเมียให้มาหาลูกที่บ้านแทน และมาจัดการคุยกันใหม่
"ผมคิดว่าแม้กระทั่งผู้ใหญ่คงไม่มีใครอยากย้ายบ้านไปย้ายบ้านมาทุกๆ 5 วันอย่างที่เขาบอก อันนี้คือความขัดแย้งที่ผมไม่เห็นด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ต้องยอมกันไปเพราะว่ามัน 50-50 เราจดทะเบียนสมรส แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น พยายามอยากจะวิงวอนไม่อยากใช้สิทธิ์พร่ำเพรื่อหรอก เพราะก็เป็นพ่อแม่ อยากจะวิงวอน เธอมาหาลูกได้ทุกเมื่อ มาหาที่บ้านดีกว่า แทนที่จะเป็นลูกย้ายไปย้ายมา ไม่เป็นเราคนย้ายแทนก็ว่ากันไป มันมีวิธีที่จะจัดการ มาคุยกันใหม่มั้ย"
เผยอีกความขัดแย้ง น้องพิพิม มี 2 โรงเรียน ให้ลูกเป็นแบบนี้ไม่ได้
"ความขัดแย้งที่สองคือ ตอนนี้พิพิมมี 2 โรงเรียน ตั้งแต่ต.ค. - พ.ย. ที่ผ่านมา มีความตั้งใจหาโรงเรียนที่ลูกชอบให้ได้เรียน เอาใกล้ๆ บ้าน เมื่อก่อนเรียนกรุงเทพคริสเตียน ขับรถ 1-2 ชั่วโมงปวดหัวมากกว่าจะถึงบ้าน เลยไปดูมาใหม่ 3 โรงเรียนแถวบ้านย่านสุขุมวิท ได้โรงเรียนที่ลูกชอบ ได้แจ้งคนของคุณต่าย พี่เลี้ยงของคุณต่ายก็ไปด้วย ยังอยู่บ้านเดียวกัน ตอนนั้นคุณต่ายไม่ว่างมาด้วย ที่บอกเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นศาล ก็ได้สมัครเรียนโรงเรียนนานานชาติแถวสุขุมวิท เป็นโรงเรียนนานาชาติที่มาจากญี่ปุ่นโดยตรง มี 3 ภาษา ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ลูกชอบ บรรยากาศมันดี สอนเหมือนฝรั่งแต่วินัยแบบญี่ปุ่น ผมก็ชอบ และคิดว่าคุณต่ายก็น่าจะชอบ เพราะเขาชอบอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นอยู่แล้ว เขาพูดญี่ปุ่นได้"
"ผมพอพูดได้ คิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหา สมัครไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน โอนเงินแล้ว พ่อเอาลูกไปสมัครเรียนแล้ว จ่ายเงินแล้ว ลูกกำลังจะเริ่มเรียนแล้ว แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์คุณต่ายได้ไปสมัครอีกโรงเรียนหนึ่งใกล้บ้านเขา บ้านผมบ้านเขาอยู่ไกลกัน ใครจะรับผิดชอบกับความสับสนของลูกสาวในการที่จะมีโรงเรียน 2 โรงเรียน และจะเปิดเทอมในเดือนเม.ย. นี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมานั่งพูดคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย เรื่องโรงเรียนที่ลูกจะไปเรียน ซึ่งเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ตั้งใจกันน้องพิพิมออกจากความขัดแย้งของพ่อแม่ แต่แบตหมด ไม่ได้ปิดเครื่องหนี
"กลับมาที่เหตุการณ์ ผมตั้งใจตามนั้น ถ้าไม่มีปัญหาอะไรผมก็โอเค ถึงเวลาที่จะคุยกัน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ นัดเรียกคุยกัน ผมอยู่กับทนายผม นัดมาคุยกันคืนนี้จะจัดการอย่างไร ปล่อยให้ลูกไปเรียน 2 โรงเรียนไม่ได้แล้ว มาหาวิธีคิดว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนไหน นัดคุยวันนั้นครับ วันที่เกิดเรื่อง ซึ่งนัดคุยวันนั้นคิดว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นมั้ย คุยปัญหาของพ่อกับแม่แล้วลูกนั่งอยู่ตรงกลางเซ็นทรัลเวิลด์ เลยตั้งใจยกพิพิมออกจากความขัดแย้งนั้นก่อน เพื่อจะมาถก 2 เรื่อง สถานที่จะย้ายลูกไปมาไม่เอาแล้วนะ กับเรื่องโรงเรียนลูกจะเอาอย่างไร อย่างน้อยควรมีผมกับเขาคุยกัน"
"อย่างมากก็คือผม ทนายผม และ เขา ทนายเขา ในที่ลับ ในที่ที่เป็นส่วนตัว ผมเลยตัดสินใจและบอกเขาว่าแบตผมกำลังจะหมด มีอะไรให้โทร.หาทนายได้เลย แต่ผมไม่ได้ชี้แจงกับทนายผม (หัวเราะ) เขาก็โทร.หาคนรถผม ซึ่งก็บอกว่าไปส่งแล้วตั้งแต่ 6 โมงเย็น เขาก็พูดเอง และผมก็ติดธุระอีกอย่างจนเป็นอุบัติเหตุขึ้นมา กว่าจะได้ พอชาร์ตแบตก็เป็นเรื่องไปแล้ว ก็ต้องขอโทษ ยอมรับว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจริงๆ พอกลับมาจะเคลียร์กันต่อ 2 ทุ่มยังคุยกันได้ ไปที่บ้านหรือที่โรงแรมมั้ยที่คุยกัน แต่พอเปิดมากลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว พอกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เริ่มคุยกันไม่ได้"
"แต่สิ่งที่ทำคือการปกป้องพิพิม ยกเขาออกจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น มันมีประสบการณ์หลายครั้งที่พ่อแม่จะคุยกันลูกอยู่ในนั้นไม่ได้ ต้องยกลูกออกจากความขัดแย้ง สิ่งค้างคายืดเยื้อคงต้องมานั่งคุยกันให้รู้เรื่อง เพื่อกำหนดทิศทางการเลี้ยงดูลูกอย่างมีเสถียรภาพต่อไปในอนาคต 2-3 วันที่ผ่านมาก็ยังติดต่อกันอยู่ บอกไปแล้วว่าแบตกำลังจะหมดนะไม่ใช่การปิดเครื่องหนี ขอให้มั่นใจว่าลูกปลอดภัยแน่นอน”
โต้ใช้ลูกเป็นตัวประกัน
"ด้วยความที่รักลูกทั้งคู่ ในอนาคตที่พูดคุยกับเขาอยากจะบอกเขาว่าต้องมานั่งคุยกันแล้ว ไม่เอาโทรศัพท์ และสิ่งที่เสนอเขาไปคืออยากจะให้เอากองเชียร์ออกทั้ง 2 ฝ่าย สิ่งที่เสนอเขาไปอยากจะให้เอากองเชียร์ออก สติมันไม่มีทั้ง 2 ฝ่าย มันทำให้ยุ่งยาก มันถึงเวลาที่ต้องมาพูดคุย เอาความผาสุกความมั่นคงของลูกเป็นหลัก ตอนนี้ต้องยกลูกออกจากความขัดแย้งจะให้เจอพร้อมกัน 3 คน แล้วพ่อแม่มาคุยกันเนี่ยแล้วให้ลูกนั่งอยู่ด้วย มันเป็นไปไม่ได้”
"ก็บอกว่ามานั่งคุยกันได้แล้ว ยังไงก็คงต้องคุยกันครับ อะไรที่มันใช้เหตุผลไม่ได้ ก็ต้องใช้เวลา ถ้าต้องใช้เวลา สำหรับผมไม่มีปัญหา แต่สำหรับลูกมีปัญหา ก็ต้องคุยกันใหม่ว่าทำยังไงไม่ให้กระทบลูก ให้เขาโตมาเป็นบุคคลากรที่ดีได้ ไม่มีรอยแผลทางใจ นัดวันที่จะคุยกันเป็นทางการก็ยังไม่ได้นัด"
ไม่ก้าวล่วงรายละเอียดในชั้นศาล เคยรักกัน ต้องกันกองเชียร์ออกไป ขอให้คุยกันแบบมีสติ
"รายละเอียดในชั้นศาลครับ คงไม่กล้าก้าวล่วง วิธีคิดของผมในการแก้ปัญหาคือ เราเคยรักกันมาก่อน หนึ่งกองเชียร์ออกไปให้หมด ขอเป็นเราสองคนนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ คุยแบบมีสติ สติทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก อคติทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องคุยกัน ถ้ายังไม่ได้ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการของศาลต่อไปก็ได้”
ไม่ขอลงรายละเอียดเรื่องพฤติกรรมของต่าย ไม่พาดพิงบุคคลที่ 3
"ไม่ขอลงรายละเอียดแล้วก็ไม่ขอพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 ครับ ไม่เหมาะ ส่วนต่ายอยากหย่ามั้ย ต้องถามเขาครับ ไม่เหมาะอีกเช่นเดียวกัน ส่วนถ้าถามสิทธิ์ในตัวลูก ตามเอกสารผมมีสิทธิ์ เขาอาจจะแปลเอกสารนี้อีกแบบนึง แต่ต้องแยกออกจากเรื่องทะเบียนสมรสนะครับ”
ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในบรรยากาศที่มาคุ พูดเรื่องครอบครัวแตกแยก แต่อุ้มลูกอยู่ในภาพนั้น
"พยายามอยากจะติดต่อกันอยู่ เมื่อเช้าก็พยายามติดต่อกันอยู่ แต่อย่างที่บอกว่ามาพูดคุยกัน ผมยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชน คือตอนนี้บรรยากาศมันอยู่ในความขัดแข้งผมไม่อยากให้เอาลูกไป อย่างงานเมื่อคืนเป็นต้น ที่ต้องรุมถ่ายรูป ลูกต้องอยู่ในบรรยากาศที่มาคุ ข่าวที่มาคุ แล้วอีก 10 ปี เขาต้องมาเห็นข่าวนี้ ผมเลยตัดสินใจไม่อยากให้ไป ที่อยากขอคุณคือครั้งสุดท้ายที่คุณแม่เขามีสัมภาษณ์ไม่มีรู้ว่าพี่ท่านไหนบอกว่าเอาลูกออกมาเถอะ อย่าอุ้มลูกไว้เลย คนเป็นพ่อแม่จะให้พูดเรื่องครอบครัวจะแตกแล้วอุ้มลูกอยู่ในภาพ มันไม่ใช่ ซึ่งหลักการเดียวกัน”
ไม่กีดกันเจอหน้าลูก
"ถ้ากีดกันก็คงกีดกันไปนานแล้ว นี่มันผ่านมากี่เดือนแล้ว หลังจากนี้ต้องวางแผนร่วมกับเขาครับ ส่วนรายละเอียดทั้งหมดในคำสั่งศาล เขาได้อ่านมั้ย ผมไม่แน่ใจครับ เขาก็มีทนายของเขา แล้วผมก็ไม่เคยเอาอันนี้ไปอ้างเขา อย่างที่บอกมันคือเรื่องของครอบครัว มันต้องพูดคุยกันก่อน ไม่ใช่อ้างเละเทะ สาเหตุเดียวที่ต้องอ้างคือลูกไม่ไหวเท่านั้นเอง”
ไม่มีปัญหาสถานะคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ยินดีดูแลลูกด้วยกัน
"ผมว่าคุณแม่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตพิพิม คิดกลับกันผมโตขึ้นมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวอบอุ่น มีความสุข ในขณะเดียวกันตัวอย่างมีให้เห็นแม้แต่ในวงการที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่มีส่วนร่วมกัน ยังไงคุณต่ายก็ต้องเข้ามาดูพิพิมตามทฤษฎีจิตวิทยาต้องมีผู้ปกครองหลัก ผู้ปกครองรอง การที่บอก 50-50 มันดูดีใช่มั้ย แต่ว่าถ้าคนเราตกลงกันได้ตั้งแต่แรกมันคงไม่ต้องมีการหย่าใช่มั้ยครับ ก็ต้องหาวิธีที่ทำให้มันเกิดเสถียรภาพมากขึ้น แล้วอีกคนเข้ามาช่วย ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ผมคงมีความสุขมาก ยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเขาอยู่ ยังยินดีที่จะดูแลลูกด้วยกัน แต่ถ้าในคำถามที่ว่าต้องเลี้ยงเดี่ยว ผมไม่มีปัญหาอาจจะเป็นเพราะผมโตที่นิวซีแลนด์ พ่อกับแม่มีสิทธิ์เท่ากัน แน่นอนว่ายังอยากให้เขาอยู่ในช่วงชีวิตลูกในฐานะแม่ ถ้าเกิดคุณเป็นพ่อที่รักลูกจริงๆ คุณก็ตอบอย่างที่ผมตอบ ทำอย่างที่ผมทำ”
ไม่ตอบยังรักต่ายหรือไม่ แต่มั่นใจยังมีความหวังดีให้กันเสมอ
"มันคงเป็นความหวังดีที่มีต่อกันและกัน บทบาทของสามีภรรยาก็คงต้องยุติไปอย่างนั้นจริงๆ ความรักมีหลายแบบไม่จำเป็นต้องในเชิงโรแมนติก ตอนนี้ต้องเข้าใจว่าครอบครัวผมก็ไม่ต่างจากคนอื่น เวลาที่มีปัญหาตอนแรกมันไม่สามารถพูดคุยกันได้ เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มาถึงทางตัน ไปต่อไม่ไป ต้องถอยคนละก้าวหนืออะไรก็แล้วแต่ ยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกันคอยดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันในลักษณะนั้นเสียมากกว่า"
"การออกมาวันนี้ ผมก็คิดแล้วคิดอีก อันที่หนึ่งก็คือว่าผมคิดก่อนว่าก่อนที่จะมานี่ อันนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก อันนี้เป็นเรื่องภายในหรือภายนอก อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องสาธารณะ ก่อนที่จะพูดทุกอย่าง ไม่ได้จะมาพูดเพื่อแก้ตัวหรือให้เป็นเงื่อนไข หรือชนวนในความขัดแย้งมากขึ้นอีก"
"ถ้าผมจะให้มันเป็นการแก้ตัวผมทำไปนานแล้ว นี่ก็ผ่านมา 13 เดือนแล้ว นี่เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกหนีเต็มที่เลย เพราะอย่างที่เรียนไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่พี่ๆ รีพอร์ตเกี่ยวกับผม ทุกวันนี้เสิร์จไปก็ยังหาเจอ อีก 10 ปีลูกผมอายุ 13 เสิร์จไปก็เจอ ชื่อตัวเองมันก็ขึ้นอีก เพราะยังงั้นเขามีสิทธิ์ที่จะอยู่อย่างผาสุก ไม่จำเป็นต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของเรา เรื่องของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องแก้เรื่องของผู้ใหญ่ให้ได้ ถ้ามันเรื่องเล็กมากผมก็ไม่สนใจ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด หรืออะไรที่เป็นสิ่งที่จริง ที่ถูกต้อง แต่เป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็ไม่พูด เรื่องนัดคุยกันมันก็ต้องทั้งสองฝ่าย แต่ว่าความอดทนมันต้องมีครับ"
วอนแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องการเมือง
"อยากจะขอความกรุณาให้แยกแยะนิดนึง ผมมาที่นี่ในฐานะคุณพ่ออย่างเดียว ไม่ได้มาในฐานะอื่น ผมยังมีความเชื่อว่ายังสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ และทำหน้าที่ทั้งสองหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างที่บอกว่ามันก็ผ่านมาพอสมควร พิพิมกำลังเข้าเรียนหนังสือแล้ว ถึงแม้ว่ายังอาจจะต้องมีการตกลงกันอีก แต่ในเมื่อลูกโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วสามารถช่วยตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไปโรงเรียนแล้วผมก็คงมีเวลา ปัญหามีไว้แก้ ก็ต้องหาวิธีแก้ต่อไป ผมขอความกรุณา ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง พี่ๆเป็นสื่อมวลชน แต่พี่ๆ ก็มีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน ผมคิดว่ามันก็ต้องแยกแยะเช่นเดียวกัน"
"ถามว่าต่ายพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะกลัวกระทบกับการที่เราลงเล่นการเมืองมั้ย ก็ต้องขอบคุณเขาครับ จริงๆ ผมว่าเรื่องที่เป็นเรื่องครอบครัวไม่อยากจะพูดเลยด้วยซ้ำไป อย่างเมื่อวานนี้เรื่องที่ไม่อยากให้ไปที่งานดิสนีย์เพราะว่ากลัวนักข่าวมารุมลูกสาว ก็ตรรกะเดียวกันเพราะตารางชีวิตมันเป็นอย่างนี้ บางทีผมก็ต้องผิดนัดผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน แล้วการขอโทษผู้ใหญ่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ว่าผมมีเบอร์โทร. ผมก็คงโทร.ไปขอโทษผู้ใหญ่ว่า ขอโทษนะครับวันนี้คงไปงานตามที่สัญญาไม่ได้ ไม่อยากให้เป็นเรื่องที่กลายเป็นสาธารณะ เพราะว่ามันโยง ถ้ามันเป็นเรื่องสาธารณะระหว่างคุณกับผมสองคนโอเค แต่นี่มันมีบุคคลที่สาม บุคคลที่สี่ มีอย่างที่มันโดนโยงไปถึงด้วย ผมว่าไม่น่าให้เป็นอย่างนั้น"
ยันอดีตภรรยาเข้าบ้านได้ เพราะยังเป็นสินสมรสอยู่
"เขายังเข้าออกบ้านได้ครับ เพราะเป็นสินสมรสของเขาครับ อย่างเรื่องนี้เขามี... ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเป็นการตอบโต้กัน เรื่องเล็กด้วย ถามว่าได้เจอเขามั้ย ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องเจอกันทุกๆ 5 วัน เพราะต้องไปส่งมอบ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เจอ แต่ก็ยังคุยกันอยู่ เพิ่งไม่ไปทุก 5 วันก็เมื่อ 2 วันที่แล้ว"
ไม่สุดจริงๆ จะไม่พึ่งศาล
"ถ้าตกลงกันไม่ได้ มันตามกระบวนการศาลอยู่แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกคนเคยเป็นสามีภรรยากัน ถ้ามันไม่สุดๆ จริงๆ ก็ไม่ควรพึ่งศาล ก็พยายามหาวิธีคุย อย่างที่บอกความขัดแย้งอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่แค่ภายในครอบครัว ในสังคมก็ต้องใช้วิธีการคุย แต่การคุยมันต้องอยู่ในเงื่อนไขที่เหมาะสม ไม่ใช่ต่อหน้าลูก ต่อหน้าสาธารณะชน"
"ถามว่าจะหาคนกลางมาเคลียร์มั้ย อย่างที่เรียนว่า 13 เดือนที่ผ่านมาก็มีความพยายาม ไม่ว่าจะทางผู้ใหญ่ที่เคารพทั้งสองฝ่าย เพื่อนฝูง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสมรสโดยเฉพาะ บางทีตอนนั้นเหตุผลใช้ไม่ได้ เวลาอาจจะมาใช้ได้ตอนนี้ แล้วถ้ายังใช้ไม่ได้อีก ก็อยู่ในกระบวนการของศาล”
เสียงสั่นวอนต่ายมานั่งคุยกัน ขอให้นึกถึงตอนที่เริ่มรักกัน คิดถึงความมั่นคงทางอารมณ์ลูก ลั่นต้องมีสติเยอะๆ หลังจากนี้หากทำให้เกิดปัญหากับลูกก็จะไม่ยอมอีกแล้ว
"ก็ไม่ได้ต่างจากข้อความที่ส่งไปหาเขา ก็คิดว่ามานั่งคุยกันเถอะ สองคน นึกถึงตอนที่เริ่มรักกันใหม่ๆก็ได้ (เสียงสั่น) เราก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างแต่ก็คิดว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง ก็พยายามมองในมุมนั้น ลองพยายามพูดคุยกันอีกสักรอบหนึ่ง มันเป็นเรื่องของครอบครัว มันมีแค่เราสองคน ลูกก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร แต่ก็ต้องเอาลูกมาคำนึงถึงด้วย แต่มันไม่ใช่เรื่องของใครคนอื่นอีกแล้ว อยากให้มีสติเยอะๆ แล้วเรามาพูดคุยกันว่ามันจะกำหนดได้มั้ย วิธีที่จะอยู่กันอย่างมีเสถียรภาพต่อไป"
"แล้วเป็นเพื่อนกันได้มันน่าจะทำได้อยู่นะ ก็อยากจะพูดกับเขาอย่างที่ได้สื่อสารไป แล้วเราทำได้ดีกว่านี้ ยังคิดว่าเราแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ ที่ผ่านมาก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ยังทำได้ไม่ดีเลยในฐานะพ่อแม่ของลูก ก็น่าจะพยายามทำให้ได้ดีกว่านี้ ในส่วนของจุดยืนที่ได้ชี้แจงไปชัดเจนว่า ความมั่นคงทางอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าอะไรที่มันทำให้เกิดปัญหากับลูกก็คงยอมให้ไม่ได้แล้ว"