xs
xsm
sm
md
lg

เข้มแข็งนะลูก! “แม่โบว์” ยอมจุก บอกความจริง “มะลิ” เรื่อง “พ่อปอ” เสียชีวิตเดือนนี้ ร้องไห้ก็ต้องยอม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“โบว์ แวนด้า” เผยถึงเวลาบอกความจริงเรื่อง “พ่อปอ” จากโลกนี้ไปแล้วกับ “มะลิ” เดือนนี้ ชี้ลูกสาวพร้อมรับฟังความจริงแล้วแต่เป็นที่ตนยังไม่พร้อมเพราะกลัวจะร้องไห้ต่อหน้าลูก เชื่อลูกได้เชื้อความแข็งแกร่งจากพ่อสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่นอน กำลังซ่อมและกำลังหาทางรักษารถมินิสมบัติสามีที่ต้องการทิ้งไว้ให้ ลูกสาวได้ใช้อีก 15 ปีข้างหน้า



ยังคงยื้อเวลาอยู่หลังจากที่ตัดสินใจจะบอกความจริงกับลูกสาว “มะลิ” เรื่องที่พ่อ “ปอ ทฤษฎี สหวงษ์” ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ทำเอาคนเป็นแม่อย่าง “โบว์ แวนด้า สหวงษ์” แม้จะเชื่อว่าลูกสาวได้เลือดความแข็งแกร่งจากพ่ออย่างเต็มเปี่ยมแต่ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ รวมไปถึงตัวเองที่ยังหวั่นไหวกับเรื่องนี้อยู่ กลัวจะร้องไห้ต่อหน้าลูก

"ก็ว่าจะบอกเร็วๆนี้ค่ะ เพราะเขาเริ่มถามแบบลงลึกแล้วว่าพ่อไปไหน เมื่อไหร่จะกลับ เวลาไปงานโรงเรียนเขาก็จะเห็นพ่อแม่ทุกคนมาครบ เราเองก็ไม่อยากจะโกหกลูกแล้ว ทุกครั้งที่พูดว่าพ่อไม่ว่าง พ่อทำงานเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราสบายใจ มันก็เจ็บทุกครั้ง เลยกะว่าบอกเขาดีกว่าคนนอกมาถามเขา ตอนนี้ก็แกล้งๆ ถามว่ามะลิถ้าพ่อไม่สบาย พ่อป่วย พ่อไม่ได้อยู่กับเราน้องจะเป็นยังไง เขาก็บอกว่าเขาก็ต้องเสียใจสิแม่ แต่ไม่เป็นหรอก"

"ก็คิดว่าขออีกแป๊บนึงคงต้องบอกแล้วแหละ โบว์เชื่อว่าด้วยความเป็นมะลิ เราเลี้ยงเขามาเองโบว์ว่าเลือดพ่อเขาเยอะในเรื่องของความแข็งแกร่ง คิดว่ามันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี"

“หลายคนถามว่ากลัวมั้ยที่จะบอกลูก โบว์ไม่ได้กลัว สิ่งที่กังวลคือหลังจากที่เขารู้มากกว่า ว่าหลังจากที่เขารู้แล้วสภาพจิตใจเขาจะเป็นไปในด้านไหนซึ่งเราเองก็เดาไม่ออก อย่างเราเองมองว่าลูกเราผ่านไปได้แน่นอน แต่พอถึงวันจริงๆ พอเราบอก เขาร้องไห้เสียใจฟูมฟาย เราก็มองว่าแล้วเราจะทำยังไง เราจะดูแลสภาพจิตใจเขายังไงหลังจากนั้นมากกว่า แต่ด้วยความรักที่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายและคนรอบข้างมีให้เขาทุกวันก็ไม่ได้ขาด”

กลัวคนรอบข้างมาบอกความจริงก่อนตนบอกลูก
“จริงๆ มันก็เป็นธรรมดา อาจจะเป็นเพื่อนเขาพูดหรือว่าอะไร มันเกิดขึ้นได้หมด คนถามก็ไม่ได้ผิด แต่เราก็ต้องจัดการคนในครอบครัวของเราด้วยว่าก็ต้องทำความเข้าใจในด้านความรู้สึกของคนในครอบครัวให้มันเรียบร้อยก่อน เมื่อคนนอกถามเขาจะได้รู้สึกว่าเขามีภูมิอยู่แล้ว และออกไปตอบคำถามนอกบ้านได้ ตอนนี้ก็ไม่มีมาเข้าหูแล้วว่ามีคนมาถามน้องเรื่องพ่อ เราก็เครียดนะ พอข่าวออกไปคนที่โรงเรียนก็เครียดกัน พ่อแม่ทุกคนก็เครียด โบว์ก็บอกว่าไม่มีใครผิด พ่อแม่ทุกคนก็สอนลูกกันหมดเลยว่าอย่าไปถามนะ กลายเป็นว่าในส่วนของมะลิอย่าทำให้ทุกคนต้องรู้สึกว่ามีความเครียดกันเลย โบว์ก็บอกว่าไม่มีปัญหาค่ะ เดี๋ยวโบว์จัดการได้ในส่วนนี้ ทางโรงเรียน ผู้ปกครองก็น่ารักมาก ทุกคนก็ไม่มีใครถามเลย”

เชื่อ “มะลิ” สามารถผ่านช่วงเวลารับรู้ความจริงไปได้และกลับมาสดใสร่าเริงอีกครั้ง ลั่นตอนนี้ลูกเพราะแล้วแต่ตนยังไม่พร้อมบอกความจริงเพราะกลัวจะร้องไห้ต่อหน้าลูก
“โบว์ว่าเขาผ่านตรงนั้นได้ โบว์กับทุกๆ คนในครอบครัวจะทำให้เขาผ่านจุดนั้นให้ได้ โบว์เชื่อว่าด้วยความเป็นมะลิ เขาสดใสร่าเริงอยู่แล้ว เขาก็จะต้องสดใสร่าเริงต่อไป เพียงแต่ว่าเหมือนเราบอกกับทุกๆ คนว่าเราจะต้องผ่านจุดตรงนี้ไปให้ได้ เหลืออีกจุดเดียวเท่านั้นเราก็จะผ่านทุกอย่างมากันหมดแล้ว แย่ หนักแค่ไหนเราก็ผ่านกันมาหมดแล้ว สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดตอนนี้ก็คือความรู้สึกของมะลิ พอได้รู้ว่าคุณพ่อเขาจากไปแล้ว พอผ่านจุดตรงนี้มาได้โบว์ว่าในครอบครัวเราทุกคนจะแฮปปี้กลับมาเต็ม 100 แต่โบว์ก็คงจะบอกกับลูกกันแค่สองคน จริงๆโบว์ว่ามะลิเขาพร้อมแล้วแหละ แต่ตัวโบว์เองที่ยังไม่พร้อม”

“เรารู้สึกว่าเราเองก็คงยังร้องไห้กับเรื่องนี้อยู่ เราบอกลูกเราว่าลูกต้องไม่ร้อง แต่เรามาร้องเองลูกเราก็จะยิ่งแย่ ทุกวันนี้เราก็ไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็น แต่ถ้าเราบอกว่าพ่อน้องจากไปแล้วแล้วอยู่ๆ น้ำตาเราเกิดไหลออกมา มันก็คงไม่ได้ เราก็คงต้องพยายามเข้มแข็งก่อนที่จะบอกลูกเรา ก็พยายามบอกตัวเองให้เข้มแข็งได้เร็วๆ อย่าช้านะ เพราะลูกโตขึ้นทุกวันแล้ว คิดว่าไม่เกินเดือนนี้โบว์จะต้องแข็งแรงให้ได้ (เขามีไปเห็นอะไรในอินเตอร์เน็ตบ้างมั้ย?) นี่แหละเราถึงพยายามจะบอกเขาในช่วงวัยนี้ ก่อนที่เขาจะพิมพ์จะอะไรเองได้ เพราะทุกวันนี้เขาก็มีเวลาให้เขาดูสื่อยูทิวบ์แต่เราจะเฝ้าเขาตลอดว่าเขาดูอะไร เราควบคุมเขาได้ แต่ถ้าเขาโตไปมากกว่านี้เราควบคุมอะไรเขาไม่ได้แล้ว ฉะนั้นก็ต้องรีบจัดการให้เสร็จสรรพ”

เผยกำลังซ้อมและกำลังหาทางรักษารถมินิสมบัติ “ปอ” ที่ต้องการทิ้งไว้ให้ “มะลิ” ได้ใช้อีก 15 ปีข้างหน้า
“รถเป็นสิ่งที่เขารักมากที่สุด ตอนหนุ่มๆ เขาก็ฝันอยากจะได้รถมินิรุ่นนี้แต่ตอนนั้นเขาไม่มีเงิน พอเขามีทุกอย่างแล้วเขาก็ไปซื้อมากับโบว์นี่แหละ เขาก็เก็บรักษามันอย่างดี พอมีน้องเขาก็บอกว่ารถคันนี้ห้ามขายเขาจะเอาไว้ขับพามะลิไปมหาวิทยาลัย เราก็บอกว่าตอนนั้นพวงมาลัยมันจะยังหมุนได้มั้ย เขาก็บอกว่าไม่ได้ ยังไงก็ต้องรักษาให้น้อง เราก็โอเค จอดเก็บไว้อย่างดีแหละ พอวันนึงไปสตาร์แล้วมันไม่ติด สนิมมันก็เริ่มขึ้นแล้วเลยเรียกช่างมาจัดการ ก็จะเต็มที่ให้ดีที่สุดนะ จะรักษาให้มากที่สุด”

“ประมาณ 15 ปีได้มั้ง แม่ก็คงแก่ก่อนที่จะหมุนพวงมาลัยได้แล้ว คิดว่ามันคงยังพอเป็นไปได้แหละ ถ้าไม่ได้ก็ให้คนอื่นช่วยขับให้ก่อนจนกว่าน้องจะได้เพราะรถมันต้องขับอยู่เรื่อยๆมันถึงจะไม่พัง ก็ต้องปลูกฝังมะลิไปด้วยว่าหนูต้องรักรถคันนี้นะ เขารักมากนะ จนเขาเขียนพินัยกรรมเอง 2 หน้าเอามาแปะที่หน้ากระจกให้เราอ่าน เขาก็บอกว่าเขายกทรัพย์สมบัตรที่มีให้เราหมด มีอะไรบ้างว่ากันไปเป็นข้อๆ แล้วเขาก็ระบุว่ารถมินิ สีเขียว รวมไปถึงหมาที่ชื่อน้าโป๊ะมีข้อแม้ 2 ข้อ คือ ข้อ 1 หากน.ส.แวนด้าขานรถมินิไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่ หรือไม่ดูแลน้าโป๊ะให้ดี ทอดทิ้ง ไม่เลี้ยงจนวินาทีหมดลมหายใจ เขาขอยึดทรัพย์สินทั้งหมดมอบขายทอดตลาดแล้วนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับมูลนิธิ และไม่ให้น.ส.แวนด้าแม้สักบาทเดียว เราก็แบบ...ไม่ใช่ว่าเราเห็นแก่เงินนะ เราก็ดูแลและรักมันด้วยเพราะมันเป็นรถที่เราไปซื้อมาด้วยกัน รวมไปถึงโป๊ะเราก็ผูกพันกับเขามาก ทุกวันนี้เขาก็เดินเซๆ แล้ว พินัยกรรมตอนนี้ก็ยังอยู่ทั้ง 2 หน้า จะเก็บไว้ให้มะลิดู เขากลัวว่าเขาทำให้ขนาดนี้ กลัวจะหาว่าเขาไม่รักอีกเหรอ ณ ตอนนั้นนะ”

(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่https://mgronline.com/entertainment)






กำลังโหลดความคิดเห็น