“ผมก็อยากได้กระแสเพลงร้อยล้านวิวแบบ “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” แต่มันจะมาเมื่อไรล่ะ ดังนั้นผมถึงบอกเสมอว่า การสร้าง BNK48ให้โต จำเป็นต้องลงทุนในเรื่องคอนเทนต์ เพราะเราต้องการให้ BNK48 โตแบบยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย ส่วนกระแสก็คือกระแส มีขึ้นมีลง”
จากคำบอกเล่าของ “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท BNK48 ออฟฟิศ จำกัด ที่ระบุถึงทิศทางการเพิ่มมูลค่าให้กับวงดังอย่าง BNK 48
นั่นคือเหตุและผลของการที่ปีนี้จึงยังไม่มีการเปิดรับสมาชิกรุ่นที่ 3
เพราะต้องการที่จะทุ่มเทและปลุกปั้นสมาชิกเดิมทั้ง 2 รุ่น ทั้งแข็งแกร่ง และเติบโตอย่างเต็มที่
แน่นอนว่าหนทางสู่การที่จะแข็งแกร่งและเติบโตของ BNK 48 ย่อมไม่สามารถที่จะก้าวเดินเพียงลำพัง แต่จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องมีพันธมิตรที่จับมือก้าวเดินไปด้วยกัน
“BNK48 คือ ขุนพล การไปทำศึกที่ดี ต้องมีม้าศึกที่ดี ซึ่งม้าศึกที่ดี ก็คือ คอนเทนต์ที่ดี จึงพยายามหาพาร์ทเนอร์ เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่จะพา BNK48 ไปสู่ภาพใหม่ ๆ นอกเหนือจากเพลง”
จึงจะเห็นได้ว่า ในปีนี้จะมีทั้งภาพยนตร์ และซิรี่ส์ ที่กลุ่มสมาชิกวง BNK48 กระจายตัวกันออกไปร่วมงานด้วยเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า
ไม่ว่าจะเป็น “กระสือสยาม” ที่ร่วมทุนกับสหมงคลฟิล์ม , “One year 356 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ” ซึ่งร่วมทุนกับ Gdh ฯลฯ
หากในบรรดาภาพยนตร์ และซิรี่ส์ดังกล่าว โปรเจ็กต์ที่ต้องบอกว่าน่าสนใจ และสมควรแก่การจับตามองมากที่สุด
ก็คือ....
การจับมือกับบริษัท เซิ้ง โปรดักชั่น แอนด์ ออแกไนเซอร์ จำกัด ซึ่งรู้จักกันดีในนามของผู้ผลิตภาพยนตร์นอกกระแสอย่าง “ไทบ้าน เดอะซีรีส์” ซึ่งได้รับความนิยมติดต่อกันกันมาอย่างต่อเนื่องถึง 3 ภาค
อะไรจะเกิดขึ้น หาก BNK 48 ซึ่งถือเป็นไอดอลของบรรดาโอตะชาวกรุง กับไทบ้านฯ ที่เป็นขวัญใจชาวอิสานมาเจอกัน !!???
“ไทบ้านเดอะซีรีส์ x BNK48" คือคำตอบของคำถามดังกล่าว
แม้ว่ารายนามผู้แสดงในโปรเจ็กต์นี้ จะไม่ปรากฏชื่อของกัปตันวงอย่างเฌอปราง แต่ก็เชื่อว่าสมาชิกทั้ง 8 คนที่ถูกคัดเลือกให้ร่วมแสดง ไม่ว่าจะเป็น ไข่มุก, โมบาย, น้ำหนึ่ง, น้ำใส, เนย, ปูเป้, ตาหวาน และ แก้ว ก็น่าจะสามารถดึงดูดใจของบรรดาโอตะไม่แพ้กัน
โดยเนื้อหาของภาพยนตร์ พูดถึงเรื่องราวของตัวแทนวง BNK 48 ทั้ง 8 คน ที่ได้รับมอบหมายภารกิจลับ โดยต้องออกซิงเกิ้ลเพลงหมอลำ จึงถูกส่งตัวไปเรียนรู้วัฒนธรรม การใช้ชีวิตของคนอิสานจากแหล่งกำเนิดจริงๆ และนำมาสื่อสารเป็นเพลงหมอลำในแบบฉบับ BNK48 ได้ดีที่สุด
แค่เห็นเนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็บอกได้เลยว่างานนี้ BNK 48 ตั้งใจจะใช้เป็นโมเดลเพื่อขยายตลาดอย่างเต็มที่
เพราะตลาดที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจบันเทิงไม่ใช่ตลาดกรุงเทพฯ แต่คือตลาดต่างจังหวัด
ที่ช่อง 7 ยังคงครองแชมป์ช่องทีวีอันดับ 1 อยู่ทุกวันนี้ก็ด้วยโมเดลที่เจาะถึงคนต่างจังหวัดเป็นหลัก
และก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำไมซูเปอร์สตาร์อย่าง “พี่เบิร์ด- ธงไชย แมคอินไตย์” หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มน้ำดำยักษ์ใหญ่อย่าง “เป็ปซี่” ถึงต้องดึงราชินีหมอลำอย่าง “จินตหรา พูนลาภ” มาร่วมงานด้วย
ลึกลงไปกว่านั้น ต้องบอกว่าโมเดลการจับมือกันระหว่าง BNK 48 กับไทบ้านฯ นั้น ถือว่าเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันทั้ง 2 ฝ่าย
แน่นอนว่า BNK 48 จะได้แฟนคลับต่างจังหวัดเพิ่มเข้ามาเสริมทัพของโอตะชาวกรุง เพื่อต่อยอดความสำเร็จออกไปแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการกำเนิดวง BNK 48 ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า มีการวางกลยุทธ์แบบเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากการเจาะกลุ่มวัยรุ่นคนเมืองซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก แล้วจึงค่อยๆ ขยายกลุ่มอายุ จนมาถึงขยายพื้นที่ตลาดดังกล่าว
ขณะที่ไทบ้านฯ จากที่เคยถูกตีกรอบไว้ว่าเป็นขวัญใจชาวอิสาน ที่ไม่สามารถตีตลาดคนเมืองได้ ด้วยข้อจำกัดด้วยเนื้อเรื่อง และภาษา ก็จะได้แรงเชียร์จากโอตะของ BNK48 ที่จะมาช่วยทำให้เกิดการขยายตัวทางการตลาดมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญยังถือเป็นหลอมรวมวัฒนธรรมของทางภาคกลาง และภาคอิสานไว้ในในโปรเจ็กต์นี้
พูดง่ายๆ ว่าอิสานกับโอตะจะผสานเป็นจักรวาลเดียวกันนั่นเอง
ทั้งนี้มีการคาดหวังรายได้ไว้มากกว่า 100 ล้าน รวมถึงมีแผนการที่จะส่งออกไปฉายยังต่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม BNK 48 ไม่ได้มองความสำเร็จไว้แค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังเตรียมที่จะขยายฐานการตลาดไปสู่ระดับ AEC ผ่าน BNK 48 Story รายการทีวีที่จะถูกนำไปออกอากาศถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า ลาว กัมพูชา และจีน เป็นต้น ซึ่งจะมีด้วยกันทั้งสิ้นถึง 60 ตอน
พูดได้เลยว่า ด้วยโมเดลนี้ จะทำให้ BNK 48 มีจำนวนโอตะเพิ่มขึ้นจนต้องต่อแถว “จับมือ” กันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 485 9-15 มีนาคม 2562