xs
xsm
sm
md
lg

เปลือยชีวิต "แอนนี่" อดีตมือตบ "สตรีเหล็ก" : เมื่อ "ซินเดอเรลลา" ต้องป่วยเป็นมะเร็ง!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากชีวิตเปรียบดั่งละครเหมือนกับที่ใครๆ ว่าไว้ เรื่องราวของ "สุรศักดิ์ หีบทิม" หรือ นัง "แอนนี่" ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากละครยาวดรามาเข้มข้นเรื่องหนึ่งที่แค่เปิดเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
...
ภาค 1 "ตุ๊ดเด็ก" กับชีวิตต้องสู้
"พ่อแม่อยากให้เป็นตุ๊ดไหม เขาคงไม่อยาก แต่เขาเห็นฉันเป็นฉันตั้งแต่เด็กๆ ถามว่ามีวันไหนที่ต้องสารภาพว่าพ่อขาแม่ขาหนูเป็นตุ๊ด ไม่เคยค่ะ ไม่ต้อง เพราะเขารู้จักเราอยู่แล้ว"


เสียงคำบอกเล่าจากคนต้นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของตนเอง โดย "แอนนี่" บอกว่าเธอเป็นคน จ. สุราษฎร์ธานี เกิดในครอบครัวที่มีฐานะไม่ใช่แค่ยากจนแต่ยากจนมาก พ่อทำงานรับเหมาก่อสร้าง แม่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และด้วยภาพการทำงานหนักของพ่อแม่ที่คุ้นตามาตั้งแต่เกิดนั่นเองที่ทำให้เธอมีความรู้สึกที่อยากจะแบ่งเบาภาระทั้งสองท่านเท่าที่จะทำได้ ก่อนตัดสินใจสมัครเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน


แน่นอนว่าด้วยสถานะของความเป็นตุ๊ดคนเดียวในทีมวอลเลย์บอลชายมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่คนอื่นๆ จะให้การยอมรับ สิ่งที่ต้องทำคือตั้งใจหมั่นฝึกฝนพัฒนาตัวเองโดยมีเป้าหมายเป็นตัวจริงของทีมและเธอก็ทำได้ในฐานะมือตบหัวเสา ขณะที่ทีมเองก็มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ..."ได้เป็นตัวแทนของเขตและของจังหวัด เวลาเล่นมีความสุขมาก เล่นไปสนุกเฮฮา กรี๊ดได้ เป็นตัวตนของตัวเองที่สุด สุดเหวี่ยงมากๆ"

ทักษะทางด้านกีฬาทำให้ "ตุ๊ดเด็ก" คนนี้ได้ทุนมาเรียนที่สวนกุหลาบนนทบุรี ก่อนรับโควต้าช้างเผือกเข้าศึกษาต่อที่ราชภัฎจันทรเกษม ที่ๆ ก่อเกิดทีมวอลเลย์บอล "สตรีเหล็ก" ขึ้นมา
"ตอนนั้นตามรุ่นพี่ ตามเพื่อนแก๊งตุ๊ดวอลเลย์บอลของเราไปด้วย จะได้เล่นกีฬาที่เรารักด้วยกันค่ะ ช่วงนั้นพวกเราซ้อมกินเรียนอยู่ด้วยกันเกือบจะร้อยชีวิต กะเทย เก้ง กวาง ทุกคนผมยาวหมดแล้วเวลาซ้อมเราจะกรี๊ดกร๊าด พูดภาษาเพื่อนสาว เข้าใจกันและกัน มีความสุขมากๆ ค่ะ"

"คำว่าทีม ’สตรีเหล็ก’ ก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะเมื่อเวลามีการแข่งขัน เราจะแต่งหน้าทาปากอินเนอร์ทุกคนเหมือนผู้หญิง เวลาแข่งก็กรี๊ดกร๊าด แบบหลงระเริงว่าตัวเองสวย พวกเราแข่งทั่วประเทศไทย ถูกเชิญไปจังหวัดต่างๆ แข่งขันทัวร์นาเมนต์ทั้งปีเลยค่ะ พวกเราท็อปฟอร์มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคาร์แรคเตอร์และฝีมือ"

ชื่อเสียงของทีมวอลเลย์บอลสตรีเหล็กโด่งดังถึงขนาดที่สื่อต่างประเทศ ก่อนที่เรื่องราวของพวกเธอจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ แต่น้อยคนจะรู้ว่าฟากหนึ่งนั้นหนึ่งในคนต้นเรื่องคนนี้ต้องประสบกับอุบัติเหตุจนเกือบจะเสียชีวิตเลยทีเดียว
"อายุ 24 มีคิวที่จะไปโชว์ตัวที่สงขลา ซึ่งทีมงานไปกันหมดแล้ว เหลือเรากับเพื่อนอีก 2 คนที่ติดสอบ เลยนั่งรถทัวร์ตามไป ก็มีเพื่อนคนหนึ่งอายุ 25 พอดีเลยคุยกันขำๆ เรื่องเบญจเพศ เราก็ด่าปากเสียจะเดินทางมาพูดเรื่องนี้ทำไม ตอนนั้นนั่งแถวหลังสุดตรงกลางทางเดินพอดี 2 ทุ่มออกจากกรุงเทพ พอ 3 ทุ่มจะ 4 ทุ่มรถทัวเร์เหมือนขับเหวี่ยงๆ จน 5 ทุ่มครึ่งคราวนี้ขึ้นเกาะกลางเลย คนขับก็หักพวงมาลัยลง แล้วก็หักขึ้นเกาะกลาง เป็นอยู่ 2-3 ครั้ง จนคุมพวงมาลัยไม่ได้"

"เราเห็นเลยว่ารถกำลังจะคว่ำ มันเกิดขึ้นจริง ยกมือพนม บอกถ้าบุญบารมีพ่อแม่มีจริงปกป้องลูกด้วย จังหวะรถทัวร์เด้งพลิกเรารู้สึกล่องลอยกลางอากาศ ขาเหยียดไปทางเดิน แล้วรถก็หงายพลิกกระแทกพื้น เราก็ลงมานั่งกับเพดานรถโดยไม่ได้กะระทบอะไรเลย"

อุบัติเหตุในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากรวมถึงเพื่อนทั้งสอง แต่เรื่องเหลือเชื่อก็คือเจ้าตัวไม่เป็นอะไรเลย โดยหลังจากดูแลเพื่อนๆ ไปที่โรงพยาบาลแล้วเจ้าตัวก็ได้ขึ้นรถทัวร์อีกคันเพื่อไปยังจุดหมาย แต่ความหลอนจากเหตุการณ์ทำให้ตัดสินใจลงที่ชุมพรเพื่อจะไปนอนบ้านเพื่อนก่อนจะเจอกับเรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้เจอมาก่อนในชีวิต

"เคยได้ยินคนแก่ๆ ย่ายายพูดว่าเวลาจะตายจะมีคนมารับ คราวนี้เจอเลย ตอนนั้นทั้งเหนื่อย ทั้งกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมา เหมือนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ก็เห็นมีคนใส่โจงกระเบน 3 คนมายืนตรงที่แอนนอน แล้วเค้าก็บอกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องไป แอนก็ตกใจ ก็บอกว่าแอนยังไปไหนไม่ได้ ยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้ทำอะไรให้พ่อแม่เลย คือเถียงอย่างเดียว"

"จนคนที่เค้าร่างใหญ่สุดก็บอกว่าไหนลองเช็ค ก็มีคนเช็คจริงๆ แล้วเค้าก็บอกว่าเค้ายังไม่ได้ทำในสิ่งที่เค้าพูดมาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตอนนั้นถ้าแอนยอมไปกับเค้าจะเป็นอย่างไร คือแอนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เลยนะ"

แล้วถึงตอนนี้เราได้ทำอย่างที่บอกไปหรือยัง?
"บวชแล้ว เอาจริงๆ แอนทำหน้าที่ความเป็นลูกผู้ชายคนนึงที่เกิดมาพึงกระทำได้ไปหมดแล้ว แอนทำทุกอย่างให้ครอบครัวภูมิใจมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ คือแอนเห็นพ่อแม่ร้องให้ก็เพราะท่านได้เห็นประกาศนียบัตรที่ระบุว่าแอนเป็นนักกีฬายอดเยี่ยม แอนได้รับรางวัลโน่นนี่นั่นนี่แหละ"


ภาค 2 เมื่อ "นังซิน" ป่วยเป็นมะเร็ง!
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยบรรดาสมาชิกทีม "สตรีเหล็ก" ต่างก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน ขณะที่ตัวของเธอได้ไปฝึกงานที่โรงแรมย่านสาทร และที่นั่นเองชีวิตที่ไม่ต่างอะไรจากตัวการ์ตูน "ซินเดอเรลลา" ก็เริ่มขึ้น

"วันแรกฝึกงานเจอลูกค้าผู้ชายต่างชาติคนหนึ่งในโรงแรม เขาเอาเงินม้วนยัดเข้ามือ ฉันรับเข้าใส่กระเป๋า เลิกงานเปิดมาดู ทำไมหนาๆ เลยคลี่ออก มีนามบัตรในนั้นและ เงินสองหมื่นบาท เงินเดือนยังไม่ถึงหมื่นเลยตอนนั้น ฉันดีใจมาก เลยติดต่อไปขอบคุณสำหรับทิป มันเยอะเกินไปสำหรับฉันหรือเปล่า"

"เขาก็ชวนไปดินเนอร์ คุยถูกคอกัน เขาต้องกลับเนเธอร์แลนด์ ติดต่อกันไปมา ตอนนั้นโทรศัพท์ทางไกลมาหาทุกวัน เขาขอเป็นแฟน ฉันตอบตกลง จากชีวิต 1 - 10 ฉันที่เคยอยู่ 1 กับ 2 เห็นเสื้อตัวละห้าร้อย เค้กชิ้นละร้อยกว่าบาทตามห้างยังคิดว่าแพงขนาดนี้จะมีใครมาซื้อ อยู่ดีๆ มันเหมือนกระโดดไป 10 เลย เหมือนซินเดอเรลล่า พอไปเจอเขา ฉันได้ทุกอย่างที่ไม่เคยมีในชีวิต บ้านห้าร้อยล้านที่ฝรั่งเศส มีบ้านพันล้านที่สวิสฯ"

เป็นเวลากว่า 7 ปีชีวิตนังซินก็จบลง เมื่ออีกฝ่ายไปพบรักใหม่ เธอตัดสินใจคืนทรัพย์สินเงินทองทุกอย่างให้กับเขาบินกลับบ้านเกิดพร้อมเงินศูนย์บาท เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการนำความรู้ที่ได้จากอดีตแฟนมาเปิดร้านเสริมสวยที่สีลม กระทั่งได้พบรักใหม่กับหนุ่มเยอรมันเธอจึงตัดสินใจบินไปอยู่กับเขาที่อังกฤษ

"จะเรียกว่าหนีตามผู้ชายก็ได้ค่ะ ก่อนคบแอนจะถามก่อนเลยว่ารับได้มั้ย แอนจะมีงานอีเวนท์ไปยืนตามที่ต่างๆ ไปเดินแฟชั่นโชว์ เดินโชว์ตัวได้ค่าตอบแทน แอนเป็นอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียน เป็นตัวของตัวเอง เป็นเกย์คิงแต่งหญิงแสดงออกเกินร้อยแบบแอนมีมั้ยในโลกนี้ แล้วรับได้มั้ย ซึ่งคุณมาร์ตินตอบโจท์ได้หมด ก็ตัดสินใจขายร้านเสริมสวย ทิ้งทุกอย่าง ครอบครัวพี่น้องเพื่อนพร้อง เพื่อที่จะมาลงหลักปักฐาน"

ชีวิตดูเหมือนจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วโรคร้ายที่ชื่อ "มะเร็ง" ก็เข้ามาเยือน
"ไปอยูที่อังกฤษก็ทำกิจการร้ามเสริมสวยค่ะ ตอนแรก็คิดว่าจะจูนกันได้ เพราะเราเคยใช้ชีวิตต่างแดน ได้เดินทางทั่วโลก แต่เราลืมคิดไปว่าเราไม่เคยอยู่เกินกว่า 3 เดิอน 6 เดือน เลย เราอยู่แล้วเราก็กลับ อีกอย่างเราคิดว่าภาษาเราโอเค แต่ที่อังกฤษมันค่อนข้างจะเป็นทางการ แล้วการทำงานมันเครียดและจริงจังมาก"

"กลายเป็นว่าในอังกฤษแอนไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่กล้าจะคุยกับใคร เครียดที่สุด ไม่มีวันไหนที่จะหัวเราะออกมาจากใจจริงๆ ผลก็คือระบบเลือดในร่างกายเปลี่ยนเพราะสมองสั่งการ จากเลือดดีเป็นเลือดเสีย แล้วก็เป็นมะเร็ง"

จากนักกีฬาวอลเลย์บอลชื่อดังในอดีต "สตรีเหล็ก" ที่แข็งแรงกลับจะต้องมาเสียชีวิตในเวลาเพียงแค่ 14 วันตามคำแพทย์บอก เรื่องนี้ทำเอาเจ้าตัวถึงกับช็อค แต่กระนั้นหลังได้สติกลับคืนเธอจึงถามถึงหนทางการมีชีวิตก่อนจะลงเอยกับการรักษาด้วยการลงคีโมทรีตเมนท์ทุกตัว

หลังอาการป่วยทุเลาเธอตัดสินใจบินกลับไทยหวังใช้ชีวิตกับพ่อแม่ แต่แล้วอาการของโรคร้ายก็กลับมาอีก..."ทำนั่นนี่ได้สองเดือน สักพักมีอาการเจ็บหลังขึ้นมา บอกแม่ว่าไม่ไหว ต้องบินกลับอังกฤษตรงไปโรงพยาบาลเลยค่ะ ขอหมอตรวจแพสสแกนเพราะมันจะเห็นเซลล์มะเร็ง หมอไม่อนุมัติเพราะมันหลายแสนบาท แถมตอนนั้นเห็นฉันใส่ส้นสูงหมุนพริ้วได้"

"สามวันหมอจึงพาไปตรวจและเรียกเข้าโรงพยาบาลด่วน มันกลับมาค่ะ ในปี 2016 มันกลับมาแรงกว่าเดิมเพราะมันจะเอาขาข้างซ้ายฉันไป 'หมอทำอะไรก็ได้ ขาฉันต้องใส่ส้นสูงอีกนาน' หมอหัวเราะ บอกฉันว่าขนาดนี้ยังมีอารมณ์ขันอยู่อีก เขาทำทุกอย่างแบบปีแรก คุณหมอให้ทำ Bone Marrow Transplant เพื่อกันไม่ให้มะเร็งกลับมาอีก โดยดึงเลือดทั้งหมดมาชำระล้างและสูดเข้ามาใหม่ ฉันมองตาปริบๆ ตอนเขาดูดเลือดฉันออกไป"

"ขั้นสองคือการดึงเซลล์กระดูกสันหลังทั้งหมดออกจากร่างกายเอาไปชำระล้าง เอากลับเข้า 50% ที่เหลือเอาไว้ธนาคารเซลล์เผื่อใช้ครั้งหน้า ทั้งโปรแกรมใช้เวลา 45 วัน ห้ามเจอคนเลย"

ตั้งแต่ปี 2017 จนถึงตอนนี้อาการป่วยด้วยโรคมะเร็งถือว่าหายขาดแล้ว แม้จะไม่สามารถเล่นกีฬาที่ตัวเองรักได้ แต่ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขณะที่เจ้าตัวก็หันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะถ่ายทอดถึงเรื่องราวต่างๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่เผชิญกับโรคร้ายนี้อยู่


และเมื่อไม่นานมานี้เองเธอก็เพิ่งจะบินกลับมาที่ประเทศไทยเพื่อร่วมประกวด Mr. Gay World Thailand 2019 ไปหมาดๆ

"คิดอยู่นาน แต่เพื่อนไม่หยุดตื๊อเลยยอมค่ะ อีกทั้งเพราะคอนเซปต์การแข่งขันปีนี้คือ 'การเป็นตัวของตัวเอง' ก็เลยบินมาประกวดค่ะ นังแอนนี่เบอร์ 12 เกย์คิง แต่งหญิง มีหนวด อารมณ์เต็มร้อย พร้อมส้นสูง เดินฉับๆ พร้อมความมั่นใจบนเวทีแม้ดิฉันจะเข้ารอบแค่เพียง 10 คนสุดท้าย แต่เห็นแฟนๆ ที่มาเชียร์ฉัน ฉันดีใจขอบคุณมากๆ"

นอกจากความโชคร้ายที่เกิดมาในร่างกายที่ผันแปรกับจิตใจแล้ว ว่ากันว่าสำหรับคนเหล่านี้การมีความรักก็ไม่ผิดอะไรไปจากการต้องคำสาปที่มักจะพบกับความผิดหวังอยุ่เรื่อยไป เพราะในขณะที่ร่างกายกลับมาดีแล้ว แต่จิตใจของเธอกลับต้องเผชิญมรสุมอีกครั้งเมื่อถูกแฟนบอกเลิก(อย่างเป็นทางการ) ไปเมื่อวาเลนไทน์ที่ผ่านมานี้เอง

"ตอนที่ป่วยเค้าขอหย่าครั้งนึงแล้ว แต่เค้าก็มาทำตัวดีขึ้น เราก็เหมือนกับว่าเทกออน (take on) เป็นคู่รักปกติเหมือนเดิม แล้วมาช่วงวาเลนไทน์ เค้าก็ขอเลิกอย่างเป็นทางการ เค้าบอกว่าชีวิตของเราไปด้วยกันไม่ได้แล้ว เค้าบอกว่าแอนไม่มีเป้าหมายเหมือนเค้า เค้าบอกว่าแอนไม่มีอนาคต เค้าบอกว่าแอนทำให้เค้ารู้สึกอาย ในความที่แอนเป็นตัวของแอนเอง"

"แล้วแอนก็ย้อนถามไปว่า ในสมัยที่เราคบกันคุณไม่เคยพูดคำนี้ แต่แล้ววันนี้ทำไมคุณถึงรู้สึกอายเวลามีแอนอยู่ด้วย แอนก็ถามเค้าว่าคุณยังรักแอนอยู่หรือเปล่า ตอบมาคำเดียว เค้าบอกความรักอันนั้นไม่มีแล้ว ซึ่งแอนก็บอกเค้าว่าสำแต่หรับแอนมันยังมีเหมือนเดิม แต่ในเมื่อมันเป็นความประสงค์ของยู แอนก็ขอให้มันเป็นที่คุณอยากเป็นแล้วกัน"

ถึงตอนนี้มีความคิดอยากจะกลับมาอยู่เมืองไทยมั้ย?
"ถ้ามีผู้ใหญ่ให้โอกาสกลับไปทำอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นก็ไม่แน่เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้แอนต้องเฝ้าระวังในเรื่องของสุขภาพด้วย แล้วก็ยังต้องฟอลโลว์อัพ (follow-up) ทางโรงพยาบาลอยู่ คือแอนยื่นขอวีซ่าไปแล้ว ถ้าสามารถบินไปที่ไหนหรือเข้าออกตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพแล้วก็อยากจะกลับไทยเหมือนกัน เผื่อว่าประสบการณ์ที่แอนเจอมา ความรู้ที่แอนมีมันอาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ บ้าง..."
...
ขอบคุณบทความบางส่วนจากแฟนเพจ "SPECTRUM"

ทำความรู้จักและเป็นกำลังใจให้กับคนต้นเรื่องได้ทื่แฟนเพจ "Surasak Heebtim"

อ่นข่าวบันเทิงทั้งหมดได้ที่ : "บันเทิง ออนไลน์"


กำลังโหลดความคิดเห็น