Netflix ยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่อนาคตของผู้ให้บริการความบันเทิงทางสตรีมมิงเจ้าใหญ่แห่วงการ ก็ยังต้องเจอกับคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งสตรีมมิงที่ว่ากันว่ากำลังจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการของ Disney รวมถึงคู่ต่อสู้ที่ทาง Netflix เชื่อว่าน่าหวั่นเกรงกว่าอินเตอร์เน็ตทีวีเจ้าใด ๆ อย่าง Fornite ด้วย
ปัจจุบันตัวเลขของสมาชิก Netflix ยังเพิ่มขึ้นอย่างสูงในทุก ๆ ไตรมาส รวมแล้ว Netflix มีผู้ subscribe มากถึง 148 ล้านคน เฉพาะในไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 ก็มีคนยอมจ่ายเงินให้กับ Netflix เพิ่มถึง 10 ล้านคน ซึ่งนับว่าสูงกว่าที่หลาย ๆ ฝ่ายคาด
ตัวเลขสมาชิกของ Netflix ยังนำคู่แข่งอยู่ค่อนข้างห่าง ทั้ง Hulu ที่มีสมาชิกอยู่ 20 ล้านคน ส่วนบริการวิดีโอออนดีมานของ HBO ที่ชื่อว่า HBO Now ก็มีสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคนเท่านั้น Amazon Prime มีสมาชิกอยู่ 100 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ก็เน้นรับบริการส่วนอื่น ๆ ของ Amazon ควบคู่ไปด้วย แต่ในอนาคตอันใกล้ Amazon Prime ก็น่าจะสร้างสีสันให้กับวงการได้ไม่น้อย เพราะตอนนี้ก็มีการเตรียมรายการเด่น ๆ เอาไว้เหมือนกัน รวมถึงซีรีส์ The Lord of the Rings ด้วย
Disney+ ว่าที่คู่ปรับอันดับ 1 ของ Netflix
แต่นอนว่าที่คนจับตามองกันมากที่สุดก็คือ Disney+ ของ Disney ที่จะเริ่มเปิดให้บริการที่สหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. ที่จะถึงนี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Disney ได้กว้านซื้อคอนเทนต์เอาไว้มากมายรวมเป็นเงินหลายหมื่นล้านเหรียญฯ ทั้งแต่ LucasFilm ที่ทำให้ Disney เป็นเจ้าของทั้ง Star Wars และ Indiana Jones เช่นเดียวกับ Marvel Studios ที่ Disney ครอบครองกิจการ และใช้ Marvel ได้อย่างคุ้มค่าสุด ๆ ตอนนี้ส่งให้ตอนหนัง Marvel Cinematic Universe กลายเป็นไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำ และทำเงินให้กับบริษัทอย่างมหาศาล
Disney ยังเพิ่งจะทุ่มเงินมหาศาลในการเข้าครอบครองกิจการของ Fox จนได้ลิขสิทธิ์หนังแฟรนไชน์ชุดดัง ๆ มากมาย ไล่กันมาตั้งแต่ Aliens, Predetor, Avatar และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงได้ผนวก X-Men เข้ากับจักรวาล Marvel ด้วย
ตามการคาดเดา Disney+ จะมีซีรีส์ให้ชมทั้งหมด 7,000 ตอน และหนังประมาณ 500 เรื่อง รวมถึง Captain Marvel ที่จะมีฉายแบบเอ็กคลูซีฟทาง Disney+ โดย Disney มีแผนที่วาง Disney+ เอาไว้เป็นความบันเทิงสำหรับครอบครัว ซึ่งจะเน้นรายการในเรต G, PG และ PG-13 เป็นหลัก ส่วนเนื้อหาซึ่ง “ผู้ใหญ่” กว่านั้น จะไปเผยแพร่ทาง Hulu ได้มาจากการซื้อกิจการของ Fox ด้วย
Disney+ จะมีอะไรให้ดูบ้าง
แต่หนัง และซีรีส์ที่จะเป็นจุดขายจริง ๆ ของ Disney+ ก็คือผลงานใหม่แกะกล่องที่สร้างสำหรับ Disney+ โดยเฉพาะ ซึ่งตอนนี้ก็ประกาศกันมาแล้วหลายเรื่อง ทั้ง Lady and the Tramp ฉบับ Live Action ส่วน The Sword in the Stone กับ Peter Pan ฉบับ Live Action ก็อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาโครงการกันอยู่ นอกจากนั้นก็ยังจะมีฉบับรีเมกของหนังดัง ๆ อย่าง 3 Men and a Baby, Father of the Bride, Honey, I Shrunk the Kids และ The Parent Trap ให้ชมกันด้วย
ส่วนซีรีส์ก็จะมีซีรีส์จากหนังสือยอดฮิต High Fidelity รวมถึงเวอร์ชั่นซีรีส์ของหนังฮิต ๆ จาก Disney อย่าง Mighty Ducks กับ Monsters, Inc. s
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเชื่อว่า “อาวุธหนัก” ของ Disney+ ก็น่าจะเป็นเนื้อหาจาก Marvel และ Star Wars นั่นเอง โดย Disney ได้ จอน ฟาฟโร มาช่วยสร้างซีรีส์ The Mandalorian ด้วยทุนระดับ 100 ล้านเหรียญฯ กับเรื่องราวในจักรวาล Star Wars ที่จะไม่ได้มีเจไดเป็นตัวละครเด่นอีกแล้ว แต่จะเน้นไปที่กลุ่มนักล่าค่าหัวสุดเท่ห์แห่งดาว แมนดาลอเรียน แทน นอกจากนั้นก็ยังจะมีซีรีส์ภาคต้นของ Rogue One ที่ได้ ดิเอโก ลูน่า กลับมารับบทเป็นตัวละคร แคเซียส แอนเดอร์ อีกครั้งด้วย
ส่วนทาง Marvel ก็จะมีทั้งซีรีส์ของตัวละคร ฟัลคอน, วินเทอร์ โซลด์เยอร์ และ โลกี มาให้ชมกัน ซึ่งแฟน ๆ ของทั้งสองแฟรนไชน์ก็น่าจะพร้อมจ่ายเงินทันทีที่ Disney+ ให้บริการ เพื่อชมรายการเหล่านี้
แต่ที่น่าจะสร้างความแตกต่างให้กับ Disney+ ได้ก็น่าจะเป็นความบันเทิงเสริมจากทาง ESPN+ ที่อยู่ในเครือเดียวกัน
แบรนด์ ESPN โด่งดังในวงการกีฬานามาน ซึ่งก็เชื่อว่า ESPN+ ที่เริ่มให้บริการมาตั้งแต่เดือน เม.ย. ปีก่อนจะสร้างความแตกต่างให้กับ Disney+ ได้ เพราะสุดท้ายการถ่ายทอดสดกีฬาก็ยังเป็นเรือธงที่สำคัญของธุรกิจโทรทัศน์ในขณะนี้ และจะสร้างความแตกต่างให้ Disney+ ได้มากพอสมควร
คู่แข่งที่แท้จริงของ Netflix
แต่สุดท้ายแล้วคู่แข่งของ Netflix อาจจะไม่ใช่ HBO, Hulu, Amazon Prime หรือ Disney+ ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ แต่เป็น Fortnite เกมออนไลน์สุดฮิตต่างหาก
Netflix เพิ่งจะบอกผ่านจดหมายข่าวถึงผู้ถือหุ้นว่า "เรากำลังแข่งกับ Fortnite (และแพ้ด้วย) มากกว่าแข่งกับ HBO" โดย Netflix อธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ YouTube ไปไม่กี่นาทีในเดือน ต.ค. ในช่วงเวลาดังกล่าวตัวละครของผู้ชม Netflix เพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ตัวเลขคนที่เข้าไปเล่นเกม Fortnite กลับพุ่งกระฉูด!!
ต้องยอมว่าเทคโนโลโยทำให้คนมีกิจกรรมอื่น ๆหน้าจอมากกว่าการเพียง “ดู” ความบันเทิงเพียงอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน และธุรกิจเกมก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งแน่นอนว่า Fortnite คือเกมที่เติบโตอย่างร้อนแรงที่สุด Netflix จึงเชื่อว่าคู่แข่งของบริษัทก็คือความบันเทิงหน้าจอใด ๆ ก็ตามที่จะ “แย่ง” เวลาของลูกค้าไป
ซึ่งตามข้อมูลของ Netflix แล้ว ปัจจุบันผู้บริโภคใช้เวลากับ YouTube วิดีโอสตรีมมิงแบบฟรี ๆ มากที่สุดชนิดไร้คู่แข่ง ซึ่ง Netflix ก็ยอมรับตรง ๆ ว่าคนกลุ่มนี้ถ้าไม่ได้ดู YouTube ก็เลือกที่จะเล่นเกม มากกว่าที่จะจ่ายเงินดู Netflix
แม้จำนวนสมาชิกจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ แต่คนในวงการก็เริ่มเป็นห่วงว่าสุดท้ายแล้ว Netflix อาจจะเดินไปถึงจุดอิ่มตัวได้ในเร็ว ๆ นี้ วอลสตรีตเองก็เชื่อว่าการจำนวนสมาชิกของ Netflix ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมานาน ใกล้ถึงสุดอิ่มตัวแล้ว โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกาที่ถึงตอนนี้คนอเมริกันถึง 50% ได้สมัครเป็นสมาชิกของ Netflix ไปแล้ว กลุ่มเป้าหมายหลัก ๆ ก็แทบจะจ่ายเงินให้ Netflix กันไปหมดเรียบร้อยแล้ว การที่จะดึงให้คนที่เหลืออีก 50% มา subscribe จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
อนาคตของ Netflix ยังดูสดใส แต่สงคราสตรีมมิงที่กำลังจะมาถึงก็น่าจะดุเดือดอยู่ไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วคงจะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชมจะจ่าย subscribe ให้กับอินเตอร์เน็ตทีวีทุก ๆ เจ้าพร้อมกัน