“จุ๋ม เมียป๋าเทพ” ร่ำไห้ ไม่สามารถยิ้มได้ตามคำสั่งเสียของ “พ่อดม” เสียใจที่ทำให้พ่อเป็นห่วง และทำตามคำสั่งสอนของพ่อไม่ได้ ไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามลำบาก เพราะเอาเงินไปใช้หนี้ให้ป๋าเทพ สัญญาจากนี้ไปจะเข้มแข็งทำมาหากินไม่อ่อนแอดูแลตัวเองให้ดีที่สุด
ฌาปนิกิจไปเรียบร้อยแล้วสำหรับศพของ “พ่อดม” อุดม ทรงแสง ตลกชื่อดัง ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับในวัย 84 ท่ามกลางลูกหลานญาติพี่น้องและเหล่าคนในวงการบันเทิงและประชาชนที่มาร่วมงานกันนับพันคน แม้ว่าพ่อดมจะสั่งเสียไม่ให้ทุกคนเศร้าโศก แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งการสูญเสียได้ โดยเฉพาะ “จุ๋ม ภัสราวรรณ” ภรรยาของ “เทพ โพธิ์งาม” ลูกสาวของพ่อดม ซึ่งเป็นลูกที่พ่อดมเป็นห่วงมากที่สุด ถึงกับช็อกร้องไห้โฮไม่สามารถถือภาพพ่อดมนำขบวนเคลื่อนไปที่เมรุได้ เจ้าตัวยอมรับว่า เสียใจที่ทำให้พ่อเป็นห่วง และทำตามคำสั่งสอนของพ่อไม่ได้ ไม่มีเงินเก็บเพราะเอาเงินไปช่วยเหลือเทพ โพธิ์งาม
"ก็คงเป็นวันที่ช็อคที่สุด แค่ตอนที่เคลื่อนพ่อออกจากศาลา สัปเหร่อแกก็รู้ว่าเรากับพ่อสนิทกันมาก เลยให้เราถือรูปนำขบวน แค่ตอนตั้งขบวนเราก็รับไม่ได้แล้วว่านี่คือรูปพ่อ มันไม่ใช่ละคร แต่มันคือเรื่องจริง ที่กำลังจะเคลื่อนพ่อไปที่เมรุลอยนี้ เราก็ร้องไห้ จิ้มก็บอกว่า ไม่เอานะต้องไม่ร้อง พ่อให้เข้มแข็ง พ่อเขาชอบสนุก ก็บอกน้องว่า มันไม่ใช่แอคชั่น 5 4 3 2 1 แล้วจะหยุดร้องได้เลย แต่นี่มันคือเรื่องจริง ที่เรารับยากมาก”
“เราไม่ได้อยากร้องไห้มันผิดเจตนารมณ์ของพ่อก็ขอโทษด้วย แต่พ่อเขารู้แหละว่าเรานิสัยยังไง เราเป็นคนที่สนุกก็สนุกออกมา เสียใจก็เสียใจออกมา มันไม่มีการปกปิดเลย ก็อย่างที่บอกค่ะ มันคือเรื่องจริง นี่พ่อเราจริงๆอย่างที่บอก เราเคยเห็นแต่คนอื่นเขาสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดในชีวิตมันเป็นยังไง”
"จริงๆ เราเป็นลูกคนที่ 4 แต่อีก 2 คนได้เสียไป แท้ง 2 เสีย 2 เมื่อเราเป็นลูกคนต้นๆ จะดูแลน้องๆ พ่อจะนำพาเราไปทำงาน พ่อจะพาเราจูงมือไปเล่นลิเก เราเป็นนางเอก ส่วน จิ้ม น้องชายเป็นโจ๊ก เรา 2 คนพี่น้องเอาไปฝากไว้ พาเราไปทำมาหากิน เพื่อช่วยดูแลพี่น้องให้ทำมาหากิน พ่อพาเราไปฝากกับคณะลิเกชื่อดังให้เป็นนางเอก”
พ่อดมเป็นห่วง “จุ๋ม” ที่สุดในบรรดาลูกๆ เพราะไม่มีเงินเก็บ
“จนกระทั่งได้มาเจอป๋าเทพ เกิดจากการเชียร์ของทุกคน อยากจะขอบอกว่า พ่อเป็นคนที่ดูแลลูกให้ใช้ชีวิตยังไง จะบอกจะเตือนจะสอนให้ทำมาหากิน พ่อจะสอนให้ลูกเก็บเงิน วันที่เราลำบาก จะได้เอาเงินก้อนนั้นออกมา”
“อยากจะขอโทษพ่อ ที่หนูเก็บเงินไม่ได้(เสียงเครือ) สมมติเรามีเงินอยู่ล้านหนึ่ง แล้วป๋า(เทพ)ไปกู้มาอีกล้านหนึ่ง เป็นเงินเสียดอกเบี้ย แล้วเราเก็บเงินไว้ ถามว่าเราทำใจได้ไหมให้เราเสียดอกเบี้ย เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราต้องการใช้เงิน เราเก็บไม่ได้ แล้วป๋านะก็บอกเราว่า อย่าให้รู้นะว่าเก็บเงินไว้ เราก็รักป๋ามากอยากให้ทำอะไรก็ทำทุกอย่าง เราก็ไม่เชื่อพ่อ อยากจะเป็นคนซื่อที่เป็นคนดีสามีบอกอะไรเราก็ทำตามทุกอย่าง แต่ความเป็นจริงแล้วถ้าเราเชื่อพ่อ วันนี้พ่อจะไม่ห่วงเรา ไม่ต้องมาพูดว่า พ่อห่วงลูกคนนี้มากที่สุดเพราะเราไม่รู้จักเก็บเงิน พ่อก็รู้ว่าเราเป็นคนใจดีเราเป็นเมียป๋า ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีใครโด่งดังเลย ลูกเขยคนนี้ดังมาก เราก็จะดูแลลูกหลานทุกคน”
"ตั้งปณิธานไว้ว่าจะเข้มแข็งจะไม่อ่อนแอ ถึงแม้ว่าการร้องไห้จะแสดงให้เห็นว่าเราอ่อนแอ แต่ขอเข้มแข็งในการสู้ชีวิตการทำมาหากิน แต่ตอนนี้เราสูญเสียพ่อเราเข้มแข็งไม่ได้จริงๆ ต่อไปนี้ไม่มีพ่อคอยสอนคอยห่วงแล้ว แม้เราเป็นลูกที่เราก็แก่แล้ว พ่อก็อายุมากแล้ว แต่พ่อไม่เคยมองว่าเราเป็นลูกที่แก่แล้ว พ่อยังดูแลเราเหมือนเรายังเล็กๆ อยู่ตลอด"
"ขาดพ่อก็เหมือนขาดที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่อยากจะร้องไห้แบบนี้นะ แต่มันคือออกมาจากความรู้สึกที่เราสูญเสียพ่อ กลับไปบ้านก็เปิดโทรศัพท์ดูรูปพ่อร้องไห้จนปวดหัวไปหมด ไม่อยากเป็นแบบนี้ แต่บอกพ่อว่าหนูทำใจไม่ได้ที่เสียพ่อไป หนูอาลัยอาวรณ์พ่อ ทุกวันนี้ถ้าคิดถึงหรือบรรยากาศมันมาก็ยังร้องไห้ ยังทำใจไม่ได้ ต่อแต่นี้ไปหนูจะเข้มแข็งให้มากๆ กว่านี้ แต่ที่ร้องไห้เพราะหนูทำใจไม่ได้ ไม่ได้กอด ไม่ได้หอมพ่อแล้ว เห็นพ่อเป็นอย่างนี้ พ่อก็จะคอยแซวเราเล่นเหมือนเด็ก นั่งรถกับพ่อ พ่อจะมีแต่รอยยิ้ม เล่นมุกขำๆ"
"จากนี้ไปถ้าไม่สบายใจอาจจะไปหาพี่ๆ น้องๆ ยังขอบคุณฟ้าว่า ยังมีแม่ไว้ให้เรากอด แม่จะไม่เหมือนพ่อ เพราะว่าแม่จะไม่ค่อยขี้เล่นไม่หยอก จิ้มจะเหมือมแม่ สัญญาว่าจะเข้มแข็งในเรื่องการทำมาหากิน เรื่องอะไรอ่อนแ ก็จะสลัดมันไปแล้วขยันแบบพ่อ พ่อเค้าจะสอนว่า อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา เงินน้อยนิดมันก็คือเงิน อย่าหวังพึ่งคนอื่น พึ่งตัวเองให้มาก"