วงการบันเทิงบ้านเราต้องเสียบุคลากรที่มีความสามารถไปอีกหนึ่งกับการจากไปแบบกะทันหันของตลกอาวุโส "ดม ชวนชื่น" หรือ "อุดม ทรงแสง" ในวัย 83 ปี
ต้องยอมรับว่าข่าวคราวการเสียชีวิตของตลกชื่อดังนั้นสร้างความตกใจให้กับคนที่ได้รับทราบข่าวไม่น้อย เนื่องจากภาพของเจ้าตัวยามออกสื่อนั้นยังดูเป็นคนสูงอายุที่แข็งแรง กระปรี้กระเปร่า หาได้มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยของคนใกล้ชิดทำให้ทราบว่าตลกวัย 83 ปีได้มีอาการป่วยเป็นมะเร็งตับและเพิ่งจะมีการตรวจพบเมื่อต้นปีนี้เอง โดยที่ผ่านมาเจ้าตัวได้เข้าทำการรักษาอาการป่วยมาโดยตลอด รวมทั้งบินไปรักษาที่เมืองจีน ก่อนจะเสียชีวิตอย่างสงบ
สำหรับเรื่องราวชีวิตของ "พ่อดม" ที่คนในวงการเรียกกันนั้น เจ้าตัวเป็นชาวบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ด้วยความที่เกิดในครอบครัวที่มีอาชีพเป็นลิเกทำให้เจ้าตัวมีความผูกพันกับการแสดงชนิดนี้และสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชิ้น
แม้จะชื่นชอบในเรื่องของดนตรีและใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักดนตรีอาชีพสากลมากกว่า แต่เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแสดงลิเกได้ และด้วยความเป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิซทำให้เจ้าตัวก้าวขึ้นไปเป็นพระเอกลิเกคณะ "ศิลป์ส่งเสริม" ก่อนแยกตัวมาตั้งคณะลิเก "อุดมศิลป์" รวมถึงแสดงลิเกออกวิทยุในนามคณะ "อุดม - แววดาว" ซึ่งเป็นน้องสาวด้วย
อย่างไรก็ตาม เพราะความที่ชอบดนตรีสากลมากๆ "พ่อดม" จึงได้ไปหัดเรียนเป่าแซกโซโฟนด้วยตนเองและมีการนำเครื่องดนตรีสากล อาทิ แอ็คคอร์เดี้ยน กีต้าร์ เบส และกลองชุด มาเล่นในคณะลิเกจนกลายเป็นจุดเด่น
หลังอายุมากขึ้น "พ่อดม" ได้ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ มาตามฝันในการเป็นนักดนตรีด้วยการสมัครไปเป็นนักดนตรีตามวงลูกทุ่งต่างๆ แต่ไม่มีใครรับเพราะไม่รู้โน้ต ทำให้เจ้าตัวต้องไปศึกษาเรื่องนี้นานกว่า 2 ปี ก่อนจะได้ไปอยู่กับวงดนตรี "เพลิน พรหมแดน" เป็นเวลานาน 7- 8 ปี
ในช่วงตลกคาเฟ่กำลังบูม ตลกหน้าเวทีอย่าง "เทพ โพธิ์งาม" และ "เพชร ดาราฉาย" ต่างก็ได้ออกจากวง "เพลิน พรหมแดน" จึงให้ "พ่อดม" ไปแสดงแทนและประสบความสำเร็จอย่างมาก จากนั้นเจ้าตัวจึงหันมาแสดงตลกอย่างเดียวพร้อมดึงลูกชาย "จิ้ม ชวนชื่น" มาร่วมแสดงด้วย
หลัง "เพลิน พรหม" ประกาศยุบวง "พ่อดม" ได้ไปสมัครเล่นวงดนตรี "สายัณห์ สัญญา" แต่ถูกปฏิเสธเพราะอายุมาก ขณะที่วงของ "สังข์ทอง สีใส" ได้รับเขาไว้พร้อมให้ค่าตัวคืนละ 200 บาท แต่ไม่เคยได้ขึ้นเล่น เจ้าตัวจึงเกรงใจออกมาอยู่กับวง "หงษ์ทอง ดาวอุดร" ได้ไม่นานก็รวบรวมเพื่อนๆ และลูกชาย "จิ้ม ชวนชื่น" ทำคณะตลกชื่อ "ชวนชม"
แต่ตั้งคณะตลกไม่นานก็แตกคอกัน เขาเลยตัดสินใจพาลูกชายออกมาทำคณะตลกร่วมกับลูกๆ หลานๆ โดยไปขอร้องให้หลวงพ่อที่วัดเชิงหวายตั้งชื่อคณะตลกให้ ซึ่งพลวงพ่อก็ได้นำชื่อศาลาวัด "ชวนชื่น" มาตั้งเป็นชื่อคณะตลกให้
จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ "ชวนชื่น" คือนอกจากจะเป็นตลกครอบครัวแล้วยังมีการแสดงที่ค่อข้างจะเป็นเรื่องเป็นราว ที่สำคัญก็คือลงทุนในเรื่องของเครื่องเสียง เครื่องดนตรี อุปกรณ์ต่างๆ ไปจนถึงจำนวนคน เสื้อผ้าหน้าผมจนทำให้ตลกคณะนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พร้อมให้ลูก-หลาน-สมาชิกกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการ หลายต่อหลายคน
ไม่ว่าจะเป็น จอย ชวนชื่น (แสงดาว ทรงแสง), แจ๊ส ชวนชื่น(ผดุง ทรงแสง), ต๋อง ชวนชื่น (วิชัย พรหมจรรย์), แอนนา ชวนชื่น (เอนก อินทจันทร์), ค่อม ชวนชื่น (อาคม ปรีดากุล) ฯลฯ
ไม่เพียงเท่านั้น "ชวนชื่น" ยังถือได้ว่าเป็นตลกคณะแรกๆ ที่มีการปรับตัวก่อนที่ยุคของคาเฟ่จะค่อยๆ เสื่อมความนิยม ด้วยการจัดตั้งเป็นรูปแบบบริษัท รับจัดงานแสดง โชว์ รวมถึงผลิตรายการโทรทัศน์อีกด้วย
ในภาพจำของใครหลายคนที่มีต่อตลกอาวุโสรายนี้ก็คือหนุ่มเจ้าชู้ มีภรรยาหลายคน เล่นเครื่องดนตรีสากลได้ เล่นตลกเก่ง แต่ใครจะรู้บ้างว่า "พ่อดม" นั้น ยังมีความสามารถในเรื่องของการแต่งเพลง โดยมีศิลปินดังๆ หลายคนเคยร้องเพลงที่เขาแต่งมาแล้ว ทั้ง คัมภีร์ แสงทอง, ยอดรัก สลักใจ, เอกชัย ศรีวิชัย ฯลฯ
แต่กระนั้นก็ดูเหมือนจะมีอยู่เพลงเดียวที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ นั่นก็คือ "พิษรักพิษณุโลก" ซึ่งเป็นเพลงเดียวที่เจ้าตัวได้รับเงิน 2 หมื่นบาทหลังมีการนำเพลงไปใช้ประกอบภาพยนตร์นั่นเอง...(เรียบเรียงข้อมูลจาก www.nangdee.com)