“ดีเจดาด้า” เลิก สามีนักบิน เก็บเงียบไม่บอกใคร หัวเราะสดใสแต่เสียใจไม่มีใครอยากล้มเหลวเรื่องครอบครัว เผยปัญหาเพราะบ้างานไม่มีเวลาให้ครอบครัวและทัศนคติไม่ตรงกัน
ส่งท้ายปีรักร้าว “ดีเจดาด้า วรินดา ดำรงผล” เลิกสามีนักบิน โดยเจ้าตัวได้เปิดเผยขณะมาร่วมงาน WINK WHITE AWARD 2018 ว่า ได้แยกกันอยู่กับสามีมาพักหนึ่งแล้ว และพึ่งตัดสินใจหย่าขาดเมื่อกันยายนที่ผ่านมา
“เราแยกกันอยู่มาสักพักแล้วแต่เราเพิ่งตัดสินใจเซ็นใบหย่ากันเมื่อประมาณกันยายนที่ผ่านมา เป็นการตัดสินใจและพูดคุยกันด้วยดีหลังจากมีปัญหาที่ค้างคามาหลายปี เป็นเรื่องที่เราค่อยๆ แก้กันมาแต่มันแก้ไม่ตกกันสักที เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะกันตลอดหรือไม่แฮปปี้เราเลยมาคุยกันว่า เรามาทดลองห่างกันแยกกันอยู่ดีกว่าไหม พอทดลองแล้วเราได้กลับมาคุยกันบรรยากาศมันดีขึ้นไม่ได้ทะเลาะกัน รวมถึงการดูแลลูกทุกอย่างลงตัวมากขึ้น ก็เลยรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่ต้องเซ็นใบหย่าแล้ว เราก็เลยเซ็นใบหย่ากันเมื่อกันยายนที่ผ่านมา”
13 ปีที่คบกันตอนนี้จบหน้าที่สามีภรรยา เหลือแค่หน้าที่ดูแลลูก โดย “ดาด้า” รับหน้าที่หลักในการดูแลลูก
“9 ปีค่ะ แต่รวมคบกันด้วยทั้งหมดก็ประมาณ 13 ปี ช่วงที่ตัดสินใจเซ็นใบหย่าเราคุยกันดีนะคะ ถึงความสัมพันธ์หน้าที่สามีภรรยามันจบลง แต่ว่าในเรื่องของการเป็นพ่อแม่ของลูกมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้เราโฟกัสที่ความเป็นพ่อแม่ของลูก ทุกวันนี้ก็ลงตัวมากๆ สมมติวันไหนด้ามีงานก็จะฝากลูกไว้ที่เขา หรือวันไหนที่เขามีบินลูกก็จะมาอยู่กับเรา แต่หลักๆ แล้วเราตกลงกันว่า ด้าดูแลลูกเป็นหลัก และศุกร์-อาทิตย์ก็ไปอยู่กับคุณพ่อเขา ตกลงกันด้วยดีว่าโอเคต่อจากนี้ถึงความเป็นสามีภรรยาจบไปแต่หน้าที่ของพ่อแม่ยังไงมันไม่มีทางจบ หลังจากนี้ยังไงเราก็ยังติดต่อกันพูดคุยกัน อย่างการตัดสินใจเกี่ยวกับลูกเรายังต้องตัดสินใจร่วมกันอยู่”
“ช่วงตัดสินใจเซ็นใบหย่าก็คิดสักพักหนึ่งแล้ว ด้วยปัญหาหลักๆ คือเรื่องของเวลาด้วย ด้าเองทำงานเยอะ และตัวเขาก็มีภาระกิจที่ต้องทำเยอะ เหมือนเวลาเราเลยไม่ตรงกันบวกกับหลายๆ อย่างมันไม่ตรงกัน และมุมมองของคนเราเมื่อโตขึ้นทัศนคติอะไรต่างๆ มันไปคนละทาง ในเมื่อจุดหมายปลายทางมันมองไม่เหมือนกัน เราลดความสัมพันธ์มาเป็นพ่อแม่ของลูกมันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด”
หน้าตาสดใสหัวเราะ แต่จริงๆ แล้วเสียใจ ไม่มีใครอยากให้ครอบครัวไม่ประสบความสำเร็จ
“มันต้องมีอยู่แล้ว(หัวเราะ) เห็นเราหัวเราะแบบนี้ แต่จริงๆ มันก็มีจุดที่เราเสียใจ จริงๆ แล้วไม่มีใครอยากให้ครอบครัวไม่ประสบความสำเร็จหรอก ใครๆ ก็อยากอยู่กันจนแก่ แต่ในเมื่อเราทำไม่ได้เราก็ต้องทำใจกับมัน แรก ๆ ถามว่าเฮิร์ตไหม แน่นอน การเลิกกันทุกคนเฮิร์ตอยู่แล้ว แต่เมื่อเราแยกกันอยู่ ตอนนี้บรรยากาศของการคุยกันตอนนี้มันดีขึ้น พอมาเจอหน้ากันแล้วมันไม่ทะเลาะกันก็ดีขึ้น เราก็มาคุยกันเรื่องลูก อย่างวันเกิดของเขาที่ผ่านมาเราก็ไปกินข้าวกันมันเป็นการเลิกกันแบบ ณ ตอนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
โต้ครอบครัวอดีตสามีไม่ปลื้มที่ “ดาด้า” ทำงานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
“คือมันเป็นเรื่องที่เราต้องปรับตัวกันอยู่แล้ว แต่ถามว่าไม่ชอบเลยไหม มันคงไม่ใช่ ทุกครอบครัวมีปัญหาแต่มันอยู่ที่การปรับตัวว่า มันสามารถปรับได้กันไหม แต่ก็ยอมรับว่าเราก็ทำงานเยอะ แล้วก็ด้วยความที่เขาก็ไปบินทำให้เวลาทางครอบครัวเรามันอาจจะแบบไม่เหมือนคนอื่น เวลาว่างเราอาจจะน้อยกว่าคนอื่น อันนี้ก็คือเป็นปัญหาหลักๆ มากกว่า”
“มันไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องใหญ่ แต่มันเป็นทะเลาะกันเรื่องของเวลา หลักๆ คือเรื่องของเวลาเลย แล้วก็พอวันหนึ่งมันหนักขึ้นๆ ปัญหานี้เราแก้กันมาตลอด แต่ว่ามันไม่ได้จริงๆ ด้วยเวลามันไม่ลงตัว เรื่องของปัญหาเรื่องของทัศนคติหลักๆ เลย มันก็เลยทะเลาะกัน”
ยอมรับเป็นคนบ้างาน
“เขารู้ว่าทำไม่ได้ คือเรายอมรับว่าเราเป็นคนบ้างานค่ะ ชอบทำงาน เรามีความสุขกับการทำงาน คือตัวเขาก็รับได้นะคะกับการทำงานของเรา แต่ในเรื่องของเวลาว่างบางทีมันอาจจะหาเวลาว่างลำบาก เพราะฉะนั้นมันก็พูดยากเหมือนกันกับการปรับตัว คือเราก็พยายามปรับมาหลายปีแล้ว แต่ ณ ตอนนี้คือสบายใจแล้ว บรรยากาศของการเป็นพ่อและแม่ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าเลิกกันแล้วมันจะเป็นยังไง สรุปแล้วพอหลังจากที่เลิกกันบรรยากาศมันดีขึ้น เพราะว่าเขาก็ไม่ได้คาดหวังกับเรา เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเขา เพราะเรามีสถานะที่เป็นแค่พ่อและแม่ของลูกเท่านั้น บรรยากาศในครอบครัวมันก็ดีขึ้นค่ะ”
ทุกวันนี้ยังเจอกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก เพื่อให้ลูกรู้สึกไม่ขาด
“ทุกวันนี้คือยังไม่ได้พร้อมที่จะบอกเขานะคะ เขายังเล็กอยู่ 4 ขวบ แต่ด้าว่าเขาจะเริ่มชินเอง แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งเขาถามเราก็จะบอก แต่ถามว่าทุกวันนี้เรายังมีโอกาสได้ไปเจอกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกไหม ก็ยังมีนะคะ ยังเจอกัน มีโอกาสก็ไปกินข้าวด้วยกันกับทั้งสองครอบครัว เพื่อที่ให้ลูกไม่รู้สึกขาด นี่เป็นการคุยกันก่อนที่เราจะเซ็นใบหย่าด้วยซ้ำค่ะว่า ถึงแม้เราจะเลิกกันแต่ลูกจะต้องไม่ขาด ลูกจะต้องเจอทั้งแม่และพ่อ โอกาสสำคัญๆ เรายังต้องนัดและให้เจอกันอยู่”
“โชคดีตรงที่ว่าที่ผ่านมาคุณพ่อเขาก็จะไปบิน เพราะฉะนั้นหลักๆ เขาจะอยู่กับด้า เสร็จแล้วเขาก็เลยจะไม่ได้รู้สึกว่าแปลกที่ขาดใครไป หรือบางครั้งเราไปทำงานต่างจังหวัด เขาก็ไปอยู่กับทางบ้านของคุณพ่อ เขาก็ไม่รู้สึกที่ขาดเพราะว่าบางทีเราก็ยังไปด้วยกันอยู่ค่ะ พาลูกไปทำกิจกรรมเราก็ยังไปด้วยกันอยู่ ถ้าวันหนึ่งเขาโตกว่านี้สัก 6-7 ขวบ ที่เขารู้เรื่อง ถ้าเขาถามแล้วเราพร้อมเขาพร้อม เราก็จะบอกเขาค่ะ”