xs
xsm
sm
md
lg

ที่สุดของความทรมาน “เจเอสแอล” ขาดทุนใกล้ตาย แตกหักช่อง 7 ไม่สนใจผู้ผลิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“เจเอสแอล” แถลงเคลียร์ หนีตายจากช่อง 7 ไม่ได้ทรยศ แต่อยู่ต่อไม่ได้ ต้องแก้วิกฤตให้ตัวเองอยู่รอด ช็อกถูกส่งหนังสือยกเลิกรายการกะทันหันเสียหาย 20 ล้าน ทั้งที่ผ่านมาเสียค่าเวลาร่วม 3 พันล้าน น้ำตาตกประโยคกรีดใจ ไม่ไปวันนี้ก็ไปวันหน้า งั้นก็ไปซะตั้งแต่วันนี้! ยัน 2 ปีทนทุกข์ทรมาน ให้สร้างละครปีละเรื่อง จนไม่มีที่จะยืน อวยเงื่อนไขพีพีทีวีตอบโจทย์ และใจกว้าง ปีหน้าขยายอาณาจักรรับจ้างผลิตให้ทุกช่อง วอนกสทช. ช่วยเยียวยา คนทำทีวีเสียหายนับแสนล้าน

กลายเป็นประเด็นดรามาเลยทีเดียว สำหรับกรณีที่ เจเอสแอล ย้ายรายการฮอต “กิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้าน” จากช่อง 7 ซบช่อง พีพีทีวี โดยมีข่าวตามว่าหลังจากนั้นไม่นาน ช่อง 7 ก็ตัดสินใจยกเลิกรายการทันที เสียหายหลายสิบล้าน โดย “หน่อย จำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี” ประธานกรรมการ บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ได้ตั้งโต๊ะแถลง ที่บริษัท เจเอสแอล ลาดพร้าว 107 ขอเปิดใจเคลียร์ทุกเรื่อง

“หลังจากที่มีข่าวเรื่องที่เจเอสแอลไม่ได้อยู่ที่ช่อง 7 แล้ว หลายวันที่เราไม่ได้ออกมาพูดคุยให้ได้รับทราบว่ามันเกิดเรื่องราวอย่างนี้ได้อย่างไร จะมีก็แค่คุณรติวัลคุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ที่ออกมาชี้แจง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องรายละเอียดว่าจริงๆ แล้วมันมีการเตรียมตัวหรือความเดือดร้อนนั้นมันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ วันนี้ที่ออกมาพูดไม่ได้มาเพื่อจะทะเลาะกันหรือมาขุดคุ้ยเรื่องว่าใครถูกใครผิด เพียงแต่อยากจะมาชี้แจงข้อประเด็นเล็กๆ อันนึงว่าทำไมถึงเจเอสแอลถึงทิ้งไปโดยที่ไม่รับผิดชอบหรือทำไมเลิกรายการโดยกะทันหัน”

จริงๆ แล้วเจเอสแอลทำงานกับช่อง 7 มาเป็นเวลาถึง 32 ปี อยู่กันมาเป็นคู่ค้า เป็นพาร์ตเนอร์ เป็นผู้จัด เป็นผู้ผลิตกับช่อง 7 เริ่มแรกจากรายการวิก 07 เมื่อปีพ.ศ.2529 นับจากนั้นต่อมาก็มีอีกหลายรายการที่เจเอสแอลเป็นผู้จัดของช่อง 7 สมัยก่อนโมเดลทางธุรกิจคือการเช่าเวลาจากช่อง ส่วนเจเอสแอลก็หาโฆษณา 32 ปีมานี้เจเอสแอลเสียค่าเวลาจากช่อง 7 มาถ้านับเป็นจำนวนเงินก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 พันล้าน แต่รายการของเจเอสแอลที่ปรากฏทางช่อง 7 ก็ได้มาเยอะ ฉะนั้นตรงนี้ไม่ได้ถือว่าเจเอสแอลเป็นผู้ให้หรือช่อง 7 เป็นผู้ให้ แต่ถือว่าต่างคนต่างได้ ต่างคนต่างรับ”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจเอสแอลทำหน้าที่ของผู้จัดอย่างสุดความสามารถ พยายามที่จะทำให้ทุกรายการได้รับความนิยม ในเรื่องของธุรกิจก็ไม่เคยบิดพลิ้ว จ่ายค่าเวลามาตลอด ความจริงแล้วเรื่องของความเดือดร้อนถ้าพวกเราอยู่ในวงการอุตสาหกรรมของโทรทัศน์ก็ต้องรู้ว่ามันไม่ได้สบายเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว แม้กระทั่งสถานีก็รับทราบอยู่ เพราะว่ารายได้จากสถานีก็ตกต่ำไปเยอะแยะ นอกจากไม่มีกำไรก็ยังขาดทุนด้วยซ้ำไป”

บอกต้องขายโฆษณาแข่งกับสถานี ทั้งที่เป็นบริษัทเล็กๆ สู้แพ็กเกจสถานีไม่ได้
“เจเอสแอลเองก็เช่นเดียวกันที่เป็นผู้จัดเล็กๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กระทบกระเทือนจากการที่เกิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาหลายช่อง รวมถึงคอนเทนต์ทางอินเตอร์เน็ตออนไลน์ จึงได้กระจายการใช้เงินของสปอนเซอร์ไปเยอะ แต่ในการเป็นผู้จัดยังไงก็ต้องคงคุณภาพของรายการเอาไว้ คุณภาพไม่ได้ลดแต่ว่าอะไรได้ลด เจเอสแอลทำหนังสือไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 ซึ่งมีสัญญาณว่าทุกอย่างเริ่มหนักขึ้น โฆษณาลดลง แต่การลดลงก็ยังไม่เท่ากับว่าเจเอสแอลต้องขายแข่งกับทางสถานีด้วย เพราะสถานีก็ต้องทำให้ตัวเองอยู่รอด ซึ่งยังไงเจเอสแอลก็ขายแข่งสู้ไม่ได้เพราะสถานีขายเป็นแพ็กเกจใหญ่ แต่เจเอสแอลขายแค่เวลาของเรา แต่ก็ถือว่าที่เจเอสแอลอยู่รอดมาได้เพราะสปอนเซอร์ก็ยังให้ความไว้วางใจอยู่ ฉะนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์ที่จะต้องคิดอะไรให้มันแตกต่างไปจากสถานี นั่นคือผลประโยชน์ที่จะให้กับสปอนเซอร์ การทำงานของผู้จัดหลายเล็กๆ มันลำบากยากเย็นขึ้นทุกวัน”

“หนังสือฉบับแรกของเราทำไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2559 เรื่องการขอลดค่าเช่าเวลา เกณฑ์ที่ขอไปคือ 50% ซึ่งสถานีก็ผ่อนผันให้ แต่ลดให้ไม่ถึงตามที่ขอไป ตรงนี้ก็ทำให้เห็นว่าความเดือดร้อนของผู้จัดเริ่มมี จากนั้นวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2560 เจเอสแอลทำหนังสือขอคืนเวลารายการจันทร์พันดาว อันนี้ต้องเห็นแล้วว่าสถานการณ์มันหนัก”

สถานีไม่ตระหนักถึงความเดือดร้อน บอกโดนกันถ้วนหน้า จนต้องปิดบริษัท 
คือถ้าเราอยู่กับสถานีที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ค่าโฆษณาแพงที่สุด แต่ทำไมยังต้องคืนเวลา ความจริงแล้วตรงนี้เป็นสถานีที่ต้องตระหนักแล้วว่าผู้จัดได้รับความเดือดร้อนจริงๆ นอกจากจะขอคืนเวลายังขอลดค่าเวลาไปด้วย จนมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เจเอสแอลทำหนังสือขอลดค่าเวลา ขอยกเลิกแบงก์การันตี ขอให้พิจารณาจ้างบริษัทผลิตรายการ และก็ไม่ให้ช่องขายโฆษณาแข่งกับผู้จัด อันนี้เป็นหนังสือซึ่งไปจากผู้จัด 5 บริษัทจากช่อง 7 ไม่ใช่แค่เจเอสแอลบริษัทเดียว ตลอดเวลาเราก็รับฟังว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร เรื่องที่เห็นได้ชัดที่ตอบกลับมาก็คือการผ่อนคลายในเรื่องของการเซ็นเซอร์โฆษณา”

“นอกนั้นก็ยังไม่มีการตอบกลับมาว่าเขาจะช่วยเหลือได้อย่างไร เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นว่าบริษัทที่ทำงานอยู่แล้วปิดไป เริ่มต้นคือบริษัทของคุณดู๋ (สัญญา คุณากร) รายการที่นี่หมอชิต อันนั้นไม่ใช่หยุดรายการ แต่คือปิดบริษัทไปเลยเพราะว่าไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเรื่องค่าใช้จ่ายที่มันมากมายแต่ว่ารายรับมันลดลง ต่อมาบริษัทของคุณกิ๊ก (เกียรติ กิจเจริญ) ก็ปิดไปอีกเช่นกันเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง เพราะว่าทนกับค่าใช้จ่ายที่มันเกิดขึ้นไม่ได้”

“เมื่อมาถึงบริษัท เจเอสแอล ดิฉันก็มาพิจารณาดูว่าถ้าเรายังดำเนินการอยู่ต่อไป ก็คงต้องปิดบริษัทเช่นเดียวกับกิ๊ก และคนอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้มีข่าวอะไรกันมากมาย เราอยู่ในวงการเราจะรู้ว่ามีคนที่ล้มหายตายจาก จากการเป็นผู้จัดไปเยอะแยะมากมาย เพราะตอนนี้โมเดลทางธุรกิจมันเปลี่ยนไป เพื่อให้อยู่ได้”

ย้ำทำตามกฎกติกา แจ้งล่วงหน้า 1 เดือน
“ถามว่าเราปฏิบัติตามกฎกติกามั้ย ขอยืนยันตรงนี้ว่าเราได้ปฏิบัติตามกฎกติกา ที่ทางสถานีได้กำหนดไว้ ว่าถ้าสัญญานั้นหมด และเราจะยุติการเช่าเวลาจะต้องมีการแจ้งก่อนล่วงหน้า 1 เดือน โดยสัญญาเราจะหมดในปลายเดือนธันวาคม นั่นก็คือเราจะต้องแจ้งภายในต้นเดือนธันวาคม อย่างช้าที่สุดคือวันที่ 1 ธันวาคมทางสถานีจะต้องได้รับทราบหมดแล้วว่าเราจะไม่ต่อสัญญา”

เผย “พีพีทีวี” ตอบโจทย์ไม่คิดค่าเวลา แถมหาสปอนเซอร์ให้ เงื่อนไขสุดใจกว้าง ขอแค่ทำเรตติ้งให้ช่องติดท็อปเท็นให้ได้
“ถามถึงในเรื่องของพีพีทีวี ก็อยากที่จะชี้แจงว่าทำไมต้องเป็นพีพีทีวี ทำไมไม่อยู่ช่อง 7 ทำไมไม่ไปอยู่กับช่องอื่น ก็อยากที่จะเรียนให้ทราบว่า ทางบริษัทเองก็พยายามหาทางดิ้นรน ที่เราจะพ้นจากภาวะวิกฤตตรงนี้เราได้มีการเจรจากับหลายแห่ง จะเรียกว่าเจรจาก็ไม่ได้เรียกว่าคุยกันแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งทุกคนก็อยากได้รายการของเจเอสแอลทั้งสิ้น แต่โมเดลทางธุรกิจคือเราไปทำผลิตรายการแล้วเขาไม่คิดค่าเวลา เราก็ไปทำรายการโดยเป็นหุ้นส่วนกันและกัน ในรูปแบบของ time sharing ซึ่งจะเป็น time sharing ยังไง เราก็ไม่สามารถขายโฆษณาแข่งกับสถานีได้อยู่ดี เนื่องจากสถานีมีเวลาขายในหลายรายการ แต่เรามีเวลาขายอยู่แค่รายการ 2 รายการเท่านั้น ในเวลาที่เราย้ายไป เพราะฉะนั้นถ้าเราทำกับที่อื่นมันก็จะไม่เป็นการตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาวิกฤตที่เราเผชิญอยู่ได้”

“เราได้มีการพูดคุยกับทางพีพีทีวี โดยเป็นการคุยกันในแบบที่ไม่ได้ซีเรียสอะไรจริงจัง เราก็แจ้งเขาไปว่าเราลำบากนะ พีพีทีวีสนใจมั้ย เขาก็เสนอทางเลือกมา ข้อที่ 1 คือเช่าเวลาเขา ข้อที่สองคือทำไทม์แชร์ริ่งกัน และข้อที่ 3 ก็คือเรารับผลิตให้เขาไป โดยเขาเป็นผู้ลงทุนและเป็นผู้หาโฆษณา พอมาถึงประเด็นในข้อที่ 3 เป็นข้อที่ตอบโจทย์เราได้ทำให้เราหลุดพ้นจากวิกฤตตรงนี้ได้เพราะเราไม่ต้องไปขายโฆษณาแข่งกับสถานี เราแค่ทำรายการเราให้ดีที่สุดให้ได้เรตติ้งดีที่สุด”

“เพราะทาง PPTV เขามีเป้าหมาย คือการทำยังไงให้สถานีของเขาขึ้นมาให้เรตติ้งเขาขึ้นมา ในอันดับของท็อปเท็น โดยเขาเข้าใจธุรกิจดีทั้งหมดทุกอย่าง จะต้องแจ้งให้ทราบว่า PPTV ไม่ได้สัญญาผูกมัด หรือผูกขาดใดๆ กับเจเอสแอลเลย แม้กระทั่งกับคนอื่นๆ ซึ่งเราคิดว่าก็คงจะเป็นลักษณะเช่นเดียวกัน นั่นก็คือเรามีสิทธิ์ที่จะไปผลิตรายการ ให้คนอื่นได้ ก็ถือเป็นความใจกว้างอย่างที่สุด แม้กระทั่งให้เราผลิตรายการกับทางช่อง 7 ผู้ค้าเดิม เขาก็ไม่ได้มีปัญหา โดยเราจะทำกับช่องไหนก็ได้ทุกช่อง PPTV ไม่ได้ผูกขาด เพียงแต่เขาต้องการให้เราไปผลิตรายการกิ๊กดู๋เพื่อเพิ่มเรตติ้งให้เขาเท่านั้น”

ซึ่งดิฉันถือว่า เป็นเงื่อนไขที่ใจกว้างที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นเราถึงได้ตกลง แต่การตกลงกันเราไม่ได้ทราบก่อนล่วงหน้ามานาน เพราะถ้าทราบก่อนล่วงหน้ามานานเราก็คงไม่ผลิตรายการ ซึ่งปัจจุบันรายการที่เราผลิต ให้กับทางช่อง 7 ก็ไม่ได้ออนแอร์มีความเสียหายก็หลายสิบล้าน โดยเราเองเพิ่งตกลงกันได้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และเมื่อตกลงกันได้ทันที ว่าเราจะไปแน่แล้ว และทางพีพีทีวีก็เปิดประตูรับเราแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปแจ้งกับสังกัดเดิมของเรา คือผู้ทำสัญญาเดิมของเราก็คือทางช่อง 7 ซึ่งในกติกานั้นจะต้องมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน 1 เดือน ดิฉันก็พยายามที่จะทำการเข้านัด เพื่อไปแจ้งภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนเราจะต้องแจ้งเขาแล้ว”

“โดยได้มีการรับนัดวันที่ 20 พฤศจิกายนดิฉันถือจดหมายไปด้วยตัวเอง เพราะเราถือว่าเวลาเราไปเราต้องไปมาลาไหว้ก็ต้องไปด้วยตัวเอง แล้วก็ไปยื่นหนังสือ ก็ถือว่าเป็นความบอกล่วงหน้าก่อนตั้ง 40 วันไม่ได้แบบปุ๊บปั๊บๆ ไป ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร เพราะตอนที่คุณกิ๊กไปคุณดู๋ไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรทางช่อง 7 ก็รับทราบ และก็ให้ไปโดยดี เลยไม่ได้คิดว่ามันจะมีปัญหาเกิดขึ้นกับทางเจเอสแอล”

ถูกยกเลิกรายการล่วงหน้าแค่ 2 วัน กัดสัญญาเหนือความเป็นธรรม
“ซึ่งหลังจากที่แจ้งเสร็จ หลังจากนั้นมาทางช่อง 7 ก็ได้ส่งจดหมายให้เราเลิกรายการโดยบอกล่วงหน้าก่อนแค่ 2 วัน แจ้งวันพฤหัสบดีโดยวันเสาร์เราจะต้องออนแอร์ โดยเราก็ไม่ได้ว่าอะไรกัน เพราะในสัญญาถูกระบุว่าทางสถานีสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรายการได้โดยฉับพลัน ซึ่งเราเองก็เต็มใจเซ็น เพราะฉะนั้น ทางสถานีไม่ได้มีความผิดอะไรเขาก็ทำถูกต้องตามสัญญา โดยสัญญาเขียนโดยคนที่เขาว่าจ้าง แน่นอนว่าสัญญาอันนั้น ความเป็นธรรมมันเหนือกว่าสัญญา แต่อันนี้สัญญามันคือความเป็นธรรม

เสียหายนับ 20 ล้าน
“ก็ทั้งหมด 6 เทป คือเป็นส่วนของรายการซุป’ตาร์ 4 เทป และก็เป็นรายการเงาเสียงอีก 2 เทป โดยพรุ่งนี้ (7 ธ.ค.) จะมีการอัดเทปอีก 2 เทป เพื่อที่จะออนแอร์ให้ครบ ทางพีพีทีวีไม่ได้มีเงื่อนไขว่าเราจะต้องยุติการทำรายการกับทางช่องเดิมเมื่อไหร่ เราคิดว่าเขาเข้าใจในธุรกิจ โดยเราเชื่อว่าเขาเข้าใจว่าการได้รายการกิ๊กดู๋มาก็ไม่ได้ทำให้เขาขายโฆษณาได้สูงกว่าทางช่อง 7 แต่อย่างน้อยที่สุดเรตติ้งเขาก็ต้องขึ้นซึ่งเรื่องนั้นเขาเองเขาก็เข้าใจ ถามว่ามูลค่าความเสียหายจากการที่ถูกยกเลิกรายการอย่างกะทันหันก็ประมาณ 20 ล้านบาท โดยทางสถานีแจ้งเหตุผลของการยกเลิกว่าจะหารายการ ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์มาลงแทน”

40 ปีไม่เคยทรยศหักหลังใคร แต่ไม่มีที่จะยืน 2 ปีที่ผ่านมาสุดๆ กับความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น
“ถ้าถามเราในฐานะที่อยู่ในวงการมา 40 กว่าปีเจเอสแอล ไม่เคยเป็นผู้ทรยศหักหลังใคร เราอยู่ในวงการนี้มีแต่มิตร มีแต่เพื่อน ไม่เคยไปปล้นเอารายการของเพื่อนฝูงเรา หรือแย่งรายการเพื่อนฝูงเรา แล้วทำไมกับผู้มีพระคุณของเรา เจเอสแอล เริ่มต้นจากช่อง 5 ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา แต่การที่ย้ายจากช่อง 5 เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารกันอยู่ตลอดเวลา จนทำให้การอยู่ตรงนั้นมันไม่นิ่ง”

“สมัยก่อนเราอยู่ช่อง 5 กับช่อง 7 ก็ไม่เคยไปไหน 32 ปีอยู่กับช่อง7 ก็ไม่เคยเปลี่ยนใจ ไม่เคยไปไหนเลย มีที่ไปทำกับช่อง 9 คือรายการเปอร์-สเปกทิฟ กับเจาะใจ เพราะช่อง 9 เขาถือว่าเป็นคนละหมวดหมู่ เราไม่ได้ไปทำรายการบันเทิงกับช่องอื่น ไม่ได้เอากิ๊กดู๋ ไปทำกับช่องอื่นเลย อยู่กับเขา สิ่งที่ช่อง 7 ได้จากเจเอสแอล มันไม่ใช่แค่มูลค่าที่ช่อง 7 มีอายุยืนยาว แล้วเราทำผลงานก็มีเรตติ้งมาโดยตลอด ตั้งแต่รายการ 07, พลิกล็อค, จันทร์กระพริบ, จันทร์พันดาว, ขบวนการจี้เส้น สิ่งที่เราสร้างในวงการโทรทัศน์ สร้างคนสร้างรายการมา คนในวงการต่างเคยเป็นศิษย์เจเอสแอลทั้งสิ้น”

“เพราะฉะนั้นเรื่องของการทรยศต่อผู้มีพระคุณก็ดี ต่อเพื่อนฝูงเราไม่เคยมี ยามที่เราอยู่กับสถานีมา 32 ปี ไม่ใช่เรารุ่งโรจน์อยู่ตลอด มันมีตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตั้งแต่ต้มยำกุ้งมา จนกระทั่งขายโฆษณายังไม่ได้เลย ตลอดเวลาเกิดความเสียหายมาตลอด ไม่ได้ว่าได้อย่างเดียว เสียก็เยอะ แต่เราก็ไม่เคยทิ้งช่อง 7 ไปไหนเลย ยืนยันในความจงรักภักดี ความรู้สึกที่ดีๆ เป็นความกตัญญูรู้คุณ มันอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เพียงแต่ว่าในขณะนี้มันไม่สามารถต่อสู้ต่อไปได้ เพราะว่าช่อง 7 ไม่ได้มีนโยบายอย่างที่ช่องอื่นๆ เขามีกัน แม้กระทั่งไทม์แชริ่งยังไม่มีเลย เขามีนโยบายอย่างเดียวคือขายโฆษณา ขายเวลา เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้แล้ว มันไม่มีที่จะยืนจริงๆ สุดๆ แล้ว 2 ปีกว่า ที่อยู่กับความทนทุกข์ทรมาน”

เตรียมขยายงานไปทุกช่อง เปลี่ยนสภาวะเป็นคอนเทนต์ดีไซน์เนอร์
“ปีหน้าคาดว่าเรามีอิสระ ไม่มีข้อผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น พีพีทีวีเองก็ใจกว้าง ว่าเราจะไปทำอะไรก็ทำ ขอรายการกิ๊กดู๋ฯ อยู่ตรงนี้ก็โอเค ปีหน้าเจเอสแอล จะขยายงานไปทุกช่อง เราจะเปลี่ยนสภาวะของผู้จัดรายการ ที่หาโฆษณาเอง เป็นคอนเทนต์ดีไซน์เนอร์ เพราะเราดีไซน์ในสิ่งที่ลูกค้าเราต้องการทุกอย่าง ปีหน้าเราจะทำงานกับหลายช่องทรูก็ดี ช่องวันก็ดี เป็นคอนเทนต์ที่แต่ละช่องต้องการ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของออนไลน์”

“เราก็ผลิตละคร เรื่องสุดท้ายที่เราทำเล่ห์รักบุษบา ก็ทำเรตติ้งให้สูงสุดในละครทั้งหมด แต่โอกาสที่เราทำละครให้ช่อง 7 ปีละเรื่องมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เราตั้งฝ่ายละครขึ้นมา เพื่อหาคนเขียนสคริปต์ ผู้กำกับเก่งๆ แต่ปีละเรื่อง มันอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว ปีหน้าเราจะบุกในเรื่องของละครด้วย โฆษณาเราก็ทำเยอะ มีแบรนด์ดิ้ง โฆษณา สารคดี ทอล์คโชว์ ละคร เกมส์โชว์ ซึ่งปีหน้าจะมีเกมส์โชว์กับทรู วาไรตี้โชว์กับพีพีทีวี ซึ่งมันหลากหลาย ออนไลน์เราก็มีละครทางไลน์ทีวี เรื่องพรุ่งนี้จะไม่มีแม่แล้ว เอามาจากญี่ปุ่นมารีเมกในเวอร์ชั่นไทย นี่คือการขยายอาณาจักรของเจเอสแอล”

ไม่ได้ตกต่ำ และจะจารึกความทรงจำกับช่อง 7 ไว้ในหัวใจ
“เราไม่ได้ตกต่ำลงนะคะ เพียงแต่เราเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของเราให้กว้างขวาง ให้มันแผ่ไพศาลออกไปมากขึ้น ถามว่าเรารู้สึกยังไงกับช่อง 7 ก็ต้องตอบตรงนี้ว่า 32 ปีที่ช่อง 7 ให้อะไรกับเรามา ชาวเจเอสแอลไม่เคยลืมจะจารึกไว้ในหัวใจ และถ้ามีโอกาสที่เราจะสามารถทำอะไรให้กับเขาได้ มันก็เป็นสิ่งที่ยินดีอยู่แล้ว ไม่ได้โกรธ หรือเกลียด ไม่ได้มีความรู้สึกเลวร้ายอะไรกับเขาเลย”

“คนเราต้องคิดนะว่า อดีตก็มีคุณค่า ปัจจุบันเราต้องดำเนินชีวิตอยู่ อนาคตเป็นสิ่งที่เราตอบแทนกันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความหมายหมด ถ้าเราคิดแต่ปัจจุบันหรือมองแต่อนาคต เราก็ลืมสิ่งที่คนอื่นเคยทำอะไรดีๆ ให้กับเรา หรือเราเคยทำอะไรดีๆ ให้กับคนอื่น มันไม่ใช่เจเอสแอล”

ยันเสียงแข็งไม่ได้ทอดทิ้ง แต่ต้องแก้วิกฤตให้ตัวเองอยู่รอด
“อยากจะเรียนตรงนี้ให้ทราบว่าไม่เคยทอดทิ้งผู้มีพระคุณไปอย่างฉับพลันทันใด แต่เพื่อแก้วิกฤติ เพื่อทำให้เรารอด ไม่ต้องปิดบริษัทไป ให้เรายืนอยู่ได้ ขยายธุรกิจของเราออกไป ให้มันกว้างขวางมากขึ้น เราก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ที่นี่ยังต้องรับผิดชอบพนักงานอีกร้อยๆ คน เราต้องเลี้ยงพนักงานเรา”

สงสารสปอนเซอร์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้รับความเสียหาย สุดเสียใจ ช่อง 7 บอกไม่ไปวันนี้ก็ต้องไปวันข้างหน้า ฉะนั้นก็ให้ไปตั้งแต่วันนี้
“สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเจเอสแอล ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใหญ่โต เงินสามารถหาได้ วันนี้ขาดทุน พรุ่งนี้ก็อาจจะไปหาใหม่ได้ แต่สิ่งที่เราเสียใจก็คือคนที่เขาไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย อย่างเช่นสปอนเซอร์ที่ทำสัญญากับเราไปจนถึงสิ้นปี เขาแปลนงบประมาณไปหมดแล้ว บางคนก็จะต้องมีการจับฉลากถึงสิ้นปี มันทำให้เขาเสียหายมาก เขาไม่ได้มาอยู่ในเหตุการณ์อันนี้”

แต่ทางสถานีเองพูดว่าไม่ไปวันนี้ก็ต้องไปวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นก็ไปวันนี้เลยดีกว่า อันนี้เป็นคำพูดที่ดิฉันรู้สึกเสียใจนะคะ ไปวันหน้าไม่มีใครเสียหาย ไม่เสียความรู้สึก แต่ไปวันนี้มีคนเสียหาย สปอนเซอร์เสียหาย แล้วสปอนเซอร์เองก็ไม่ได้มาซื้อเจเอสแอลอย่างเดียวนะคะ เขาก็ซื้อทุกช่องแม้กระทั่งช่อง 7 ทำไมต้องให้เขามารับผลกระทบตรงนี้ด้วย”

“สองคือคนดูเสียหาย คนดูที่รักช่อง 7 คนดูที่รักกิ๊กดู๋ เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย ทำไมเขาต้องมารับผลตรงนี้ ความรู้สึกที่เขารักรายการก็ดี รักสถานีก็ดี คือความผูกพัน จะเห็นได้จากยอดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นมาว่าเมื่อเราไม่ได้มีรายการอยู่ในสถานี ยอดผู้ชมเราเพิ่มขึ้นมาอีก 4 เท่าหรือ 400% เพราะเขาก็ยังรักอยู่ เขายังตาม ถ้างั้นตรงนี้การกระทำอะไรก็แล้วแต่ การตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ ก็ขออย่าให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ เลย และให้เราลดละเลิกอะไรที่เป็นตัวตนกันไปเถอะ ทุกคนวันนี้ต้องอยู่ด้วยการต้องช่วยกัน”

ย้ำผ่านมา 6 ปี กสทช เพิ่งตระหนัก คนทำทีวีเสียหายนับแสนๆ ล้าน
“เห็นได้จากกรณีของ กสทช. เมื่อก่อนที่เขาก็เข้าใจว่าสถานีต้องดีมากเลย สถานีต้องได้เงินเยอะ แต่มาบัดนี้ 6 ปีผ่านไปให้เห็นเลยว่ามันเกิดความเดือดร้อนกันขนาดไหน มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือมันถึงได้เกิดขึ้น การตระหนักถึงว่าถ้าเผื่อว่าธุรกิจของอุตสาหกรรมโทรทัศน์มันเสียหาย นั่นคือคนหลายหมื่นและอุตสาหกรรมมันใหญ่ เพราะฉะนั้นมันเป็นแสนๆ ล้านต้องถูกกระทบกระเทือนเดือดร้อน

“นั่นคือที่มาของการที่เขาจะต้องมาดูประเมินผลใหม่ กสทช. เคยคิดว่าตัวเองอยู่สูง ให้ทั้งเวลา ให้ทั้งการประมูล ให้เราหมดแล้วด้วยความปรารถนาดี คิดว่าทุกคนได้แชร์กันเรียบน้อย แต่มาถึงมันมีปัญหาตรงนี้ เขาต้องกลับมาทบทวนใหม่ ก็ต้องเยียวยาให้เรา อย่างที่ ดร.นที ก็เป็นประธานคณะกรรมการในการที่จะต้องมาดูแลว่ามีอะไรบ้างที่เขาจะช่วย หรือประเมินใหม่ เอาเงินที่เขาได้จากการที่เอาคลื่น 700mh ของดิจิตอลทีวีก็ดี อนาล็อกก็ดีเอาไปใช้ใน 5G เพราะมิชชั่นที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลคือการขับเคลื่อน 5G ให้เกิดขึ้น”

“แต่คลื่น 5G นี่มันอยู่ใน 700mh นั่นก็คือต้องขอคืนจากดิจิตอล ขอคืนจากโทรทัศน์ดิจิตอล ขอคืนจากโทรทัศน์อนาล็อก เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ต้องจ่ายชดเชย การชดเชยก็คือการที่ไม่เก็บค่าสัมปทานอีก 2 งวดสุดท้าย ให้ค่า mugs แก่คนที่ให้เช่าโครงข่าย เพราะว่าคนที่ให้เช่าโครงข่ายก็เดือดร้อน เพราะถูกเอาคืนไป”

“รวมทั้งการที่เขาให้ทำ must carry ก็คือการที่จะจ่ายช่วยเรื่องของ suttenlight ให้ ซึ่งของพวกนี้มันอยู่ได้โดยการเข้าอกเข้าใจกัน พร้อมที่จะช่วยเหลือประคับประคองกัน เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ ไม่ใช่อยู่ได้คนเดียว เพราะมันต้องอยู่ทั้งอุตสาหกรรม ปัจจุบันนี้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน”

ถึงเวลาทุกช่องต้องร่วมมือกัน ดาราห้ามผูกขาด สร้างทางเลือกให้ผู้จัด จัดหนัก กสทช.ต้องเยียวยา
ฉะนั้นความร่วมมือมันต้องเกิดขึ้นโดยการที่ 1. ไม่ผูกขาดแล้ว ดาราก็ผูกขาดไม่ได้นะคะ ปัจจุบันนี้ดาราก็อยากจะเป็นอิสระ ผู้จัดก็อยากจะเป็นอิสระ สถานีเองก็ไม่อยากที่จะต้องดูแล ทำไมเขาจะต้องมาดูแล ดารามีตั้ง 100 คนจะให้มาเล่นทุกเรื่องก็เป็นไปไม่ได้ ผู้จัดมีตั้งหลายคนจะเทเวลาไปให้ผู้จัดหมดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปล่อยให้อิสระและเป็นการเบาตัวของสถานีเองด้วย และเป็นการให้ทางเลือกกับผู้จัดที่เขาไม่ต้องเอาภาระไปไว้กับสถานี ไม่ต้องให้ดารานั่งรอคอยงาน”

“ตอนนี้มันเป็นอย่างนั้น โลกมันปรับเปลี่ยนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดสถานีช่องใดยังมีความเป็นตัวตนสูง ยังคิดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่ปรับวิธีการที่จะเปลี่ยนวงจรธุรกิจใหม่ เปลี่ยนความคิดใหม่ ก็ต้องอยู่คนเดียวในโลกนะคะ และถามว่าการสู้กันเนี่ย ความจริงการเอื้ออารีต่อกันมันทำให้ชนะหมดทุกอย่าง แทนที่จะเป็นศัตรูและห้ำหั่นกัน การแบ่งภาระของกันและกัน มันทำให้พวกเราเบาตัวกันนะคะ”

“อยากจะบอกว่าสิ่งที่เจเอสแอลมาแถลงในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อจะมาปกป้องตัวเองไม่ได้เพื่อทำให้ภาพของเจเอสแอลดี แต่ดิฉันกำลังจะพูดในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงวงจรธุรกิจของโทรทัศน์ว่ามันจำเป็นต้องเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และดิฉันอยากจะมาพูดในฐานะที่เคยเป็นนายกสมาพันธ์วิทยุโทรทัศน์และได้ต่อสู้ตรงนี้มาตลอด มาวันนี้สิ่งที่ดิฉันอยากจะรอคอยก็คือการรอคอยการช่วยเหลือจากกสทช. ของทางรัฐที่จะช่วยเหลือสถานีโทรทัศน์ทุกช่องให้เขาอยู่รอด”

“อันที่สองคืออยากจะขอร้องให้พวกเราชาวโทรทัศน์ทุกคนมีความรัก มีความสามัคคีกัน มีความเอื้ออารี มีความเมตตากัน ช่วยเหลือกัน ให้ทุกคนอยู่รอด แม้กระทั่งการเซ็นเซอร์โฆษณา ต้องเซ็นเซอร์ตั้งหลายแห่ง ก็ไม่รู้ทำไมต้องเซ็นเซอร์หลายแห่ง โฆษณาชิ้นนึงออกมามันควรจะต้องเซ็นเซอร์ที่ใดที่หนึ่งแล้ว ด้วยกฎกติกาอันเดียว เพื่อไม่ให้เกิดภาระเกิดค่าใช้จ่ายของผู้ขอหรือผู้ที่จะทำการโฆษณา มันเป็นการสิ้นเปลืองเวลาและเงิน ไม่รู้ว่าเอามาตรฐานอะไรมาที่ถูกต้อง แต่ปัจจุบันเป็นอย่างนั้น”

แนะวัดเรตติ้งทางออนไลน์ด้วย
“อีกอย่างก็คือฝากถึงกสทช.ด้วย ฝากให้ดร.นทีและคณะกรรมการกสทช. ฝากให้ท่านสุกฤษณ์ ประธานกสทช.ด้วยว่าเรื่องของการวัดเรตติ้ง ก็ควรจะมีการวัดเรตติ้งออนไลน์ เพราะปัจจุบันนี้คนไม่ได้ดูที่จอโทรทัศน์อย่างเดียวแล้ว ถ้าเรตติ้งนั้นวัดกันที่จอโทรทัศน์อย่างเดียว สถานีโทรทัศน์อยู่ไม่ได้ เพราะ แะนั้นขอฝากตรงนี้ไว้ด้วยเรื่องการพิจารณาเรตติ้งออนไลน์เข้ามาประกอบ เพราะว่าผู้ซื้อโฆษณาก็จะได้คนดูที่แท้จริงค่ะ”

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเจเอสแอลได้เผยเพิ่มเติมว่า “ใช้ชื่อกิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้านเหมือนเดิม เทปแรกจะเป็น บอดี้สแลม รูปแบบเดิม ฉากเดิม แต่ว่าวันที่ 25 จะเป็นรูปแบบใหม่ ฉากใหม่ ต้นทุนการผลิตต่อเทปก็หลายตังค์ค่ะ ไม่เปิดเผยได้มั้ยคะ ก็เป็นล้านค่ะ หลายล้านค่ะ ตอนนี้ไม่มีรายการกับช่อง 7 แล้ว แต่ถ้าติดต่อมาก็ยินดีอยู่แล้วค่ะ แล้วเราก็รำลึกถึงสิ่งที่เราทำมาด้วยกัน มันไม่ได้สูญหายอ่ะ เจเอสแอลซื่อสัตย์กตัญญูอยู่แล้ว 32 ปี”

“สปอนเซอร์ที่เสียหายเราก็พยายามแก้ไขให้เขาอยู่ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย ก็พยายามเยียวยาแก้ไขให้ดีที่สุด เดี๋ยวไปอยู่ทางพีพีทีวี เรามีอะไรที่จะแก้ไขชดใช้ให้ได้ พีพีทีวีเขาก็ยินดีอยู่แล้ว เขาใจกว้าง ช่วยรับผิดให้ได้ก็เต็มที่”

“ค่าผลิตเพิ่มอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยที่สุดค่าตัวพิธีกรก็ต้องเพิ่ม ค่าทุกอย่างเพิ่มหมด ไม่ได้มีอะไรลดหรอก เพียงแต่รายจ่ายกับรายได้มันไม่สัมพันธ์กัน”

“ตอนนี้เจเอสแอลมีรายการช่อง 9 อยู่ 2 รายการ มีพีพีทีวี 1 รายการ แต่ว่าปีหน้าเราจะเป็นปีของการรับจ้างผลิต แต่ว่ารายการที่เราทำแล้วขายโฆษณาเองเราก็ต้องเลือกสุดๆ ค่ะ ก็อาจจะมีรายการใหม่ 2 รายการ ที่เป็นพาร์ตเนอร์กับทางสถานี เลิกเช่าเวลาแล้ว กิ๊กดู๋ถือเป็นรายการที่ทำรายได้ให้เจเอสแอลเป็นอันดับ 1”

(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่https://mgronline.com/entertainment)





กำลังโหลดความคิดเห็น