ไม่ไหวก็ต้องไป “ดู๋ สัญญา” เผยเหตุ “กิ๊กดู๋สงครามเพลง” ย้ายจากช่อง 7 ไปช่อง PPTV ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้ โลกเปลี่ยนก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามไม่งั้นจะลำบาก
เป็นข่าวฮือฮาเลยทีเดียวเมื่อรายการ “กิ๊กดู๋สงครามเพลง” ที่ออกอากาศช่อง 7 มายาวนานหลายปี จู่ๆ ก็ประกาศย้ายไปออกอากาศที่ช่อง PPTV ซึ่ง “ดู๋ สัญญา คุณากร” พิธีกรรายการก็ได้กล่าวถึงการย้ายช่องครั้งนี้ขณะมาร่วมกิจกรรม 40 ปี ปตท. Together We Grow Exclusive Talk ว่า เป็นธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้ โลกเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนไปตามโลก ไม่เปลี่ยนก็จะลำบาก เช่นเดียวกับรายการ “ที่นี่หมอชิต” ของตนที่ต้องปิดตัวลงไป
"เท่าที่ผมทราบก็เป็นการตัดสินใจของผู้ผลิตรายการ ก็คือบริษัทเจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด ร่วมกับ บริษัท ทริปเปิ้ลทู จริงๆ รายการนี้อยู่กับช่อง 7 มานานมากๆ และความเปลี่ยนแปลงของโทรทัศน์ในประเทศทุกท่านก็เห็นอยู่ ก็คงจะเกิดความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ อันนี้ก็พยายามจะลดความยากลำบากนั้นให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ นั่นคือที่ผมได้ยินมาก็คือเป็นแบบนี้ เพราะตัวอย่างว่ารายการไปต่อไม่ได้ก็มีให้เห็นรายการผม ที่นี่หมอชิต รายการพี่กิ๊ก เกมพันหน้า ก็เป็นตัวอย่าง มันไม่ได้เหมือนสมัยก่อนที่คุณจะบอกว่าคุณทำโทรทัศน์ดีจังเลย คงจะร่ำรวยสินะ มันไม่แน่แล้วนะครับ"
"ผมไม่ตกใจ เพราะเขาก็คุยกันกับผมไปด้วยเสมอ และการตัดสินใจทุกอย่างมันอยู่บนพื้นฐานของการมีเหตุมีผล ไม่ได้ตัดสินใจพละการหรืออะไรอย่างอื่น มันมีเหตุมีผลของมันว่าในการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจของโทรทัศน์ ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนแปลงตาม ถ้าไม่เปลี่ยนตามมันก็อยู่ไม่ได้"
รายการ “กิ๊กดูสงครามเพลง” ออกอากาศช่อง 7 เรตติ้งค่อนข้างดี เมื่อต้องมาอยู่ PPTV ทำให้หลายๆ คนเป็นห่วงว่าจะเรตติ้งสู้ช่อง 7 ได้หรือไม่ เรื่องนี้ดู๋บอกว่า เรตติ้งมีผลต่อรายการ
"หมายถึงว่าค่าเฉลี่ยเรตติ้งของช่องมันไม่เท่ากันในความเป็นจริงใช่ไหม ก็คงต้องมีผลครับ หมายถึงว่ามีผลต่อรายการไหม ก็มีครับ แต่ไม่กดดันครับ ผมก็ทำหน้าที่พิธีกรให้มันดี แต่กลไกอื่นๆ มันก็ต้องมีคนที่คอยพิจารณา คนที่คอยถูกกดดันมันก็ต้องมีอยู่แล้วล่ะครับ ส่วนรูปแบบจะออกมาเป็นยังไงรอดูดีกว่าครับ โดยมารยาทมันบอกไม่ได้ครับ"
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรดมา
"ก็ธรรมดาเวลาเปลี่ยนแปลงบางคนก็จะรู้สึกหวิวๆ ไหม หรืออะไรยังไงไหม แต่ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนน่ะครับ มันไม่มีอะไรอยู่เหมือนเดิมตลอด แม้แต่ชีวิตเรา การแข่งขันมันสูงขึ้นตลอดเวลาเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่ทีวีนะครับ นึกถึงสมัยก่อนที่หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ พอมีอย่างอื่นเข้ามาสิ่งพิมพ์ก็จะเริ่มลำบาก มีวิทยุเข้ามา พอต่อมามีโทรทัศน์ วิทยุก็เริ่มลำบาก พอมีโทรทัศน์แล้วมามีโซเชียลเน็ตเวิร์ค มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จะใช้คำว่าลำบากก็ไม่ใช่ เพราะคุณก็ต้องเปลี่ยนตามไง พอคุณไม่เปลี่ยนตามคุณก็จะลำบาก เพราะคุณไม่เปลี่ยนตามโลก"
มั่นใจทุกวันนี้คนไทยยังเสพสื่อโทรทัศน์อยู่
"ก็มีทั้งคนดูและคนไม่ดู (หัวเราะ) แต่ผมยังไม่มีข้อมูลว่ามันใช่หรือไม่ใช่ เพราะหลายอันมันเป็นคำพูดแบบความรู้สึก แต่ผมว่ายังมีคนที่ดูอยู่แน่ๆ ไม่งั้นมันก็ต้องปิดทุกช่องไปแล้วสิ"