xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศเรามี...หนังดีๆ ที่ชื่อ Homestay

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


จากวรรณกรรมบนหน้ากระดาษ สู่การนำเสนอบนจอภาพยนตร์ “โฮมสเตย์” คือผลงานที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ที่สุดเรื่องหนึ่ง หรือถ้าจะนับกันจริงๆ เฉพาะหนังไทยที่เข้าฉายในปีนี้ อาจกล่าวได้ว่า หนังจากค่าย “จีดีเอช 559” เรื่องนี้ คือหนึ่งในผลงานที่ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนังไทยแห่งปี 2561 ก็ไม่เกินเลยความจริงเท่าไรนัก

ไม่มากก็น้อย เชื่อว่าหลายๆ คน คงจะพอรับทราบครับว่า ที่มาของหนังเรื่องนี้คือหนังสือนวนิยายที่เขียนโดย “โมริ เอโตะ” นักเขียนหญิงชาวญี่ปุ่น โดยหนังสือนั้นใช้ชื่อว่า “คัลเลอร์ฟูล” (Colorful) มีแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” (ผู้แปล คือ วิยะดา คาวางุจิ) พล็อตเรื่องกล่าวถึงดวงวิญญาณที่เพิ่งตายและกำลังจะล่วงไปสู่โลกอื่น แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับบอกว่าเขาคือผู้ที่ได้รับรางวัล

โดยรางวัลที่ว่านั้นก็คือ วิญญาณดวงดังกล่าวจะได้กลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เขาต้องเข้าไปอยู่ในร่างของเด็กชายมาโคโตะที่เพิ่งฆ่าตัวตายได้หนึ่งวัน ... ถึงแม้จะไม่อยากกลับไปโลกมนุษย์ แต่เมื่อถูกกำหนดไว้เช่นนั้น วิญญาณดวงนั้นก็ได้กลับไปอยู่ในร่างของเด็กชายวัยมัธยมที่เพิ่งเสียชีวิต และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเจอกับเรื่องราวมากมายที่จะกลายมาเป็นประสบการณ์อันทรงคุณค่าทั้งต่อตัวเขาเองและต่อผู้อ่านนวนิยาย

อันที่จริง งานเขียนชิ้นนี้เคยได้รับการดัดแปลงไปทำเป็นอะนิเมชั่นมาแล้วเมื่อปี 2010 โดยใช้ชื่อเดียวกัน (Colorful) ผมเองได้ดูอะนิเมชั่นเรื่องดังกล่าวแล้วก็เห็นว่าเป็นผลงานที่สร้างออกมาได้สวยงามมาก ทั้งในแง่ของเทคนิคและเนื้อหา และตามจริงควรจะพูดว่า เป็นอะนิเมชั่นที่ “ตรง” กับต้นฉบับนวนิยายค่อนข้างมากถึงมากที่สุด และทำออกมาได้น่าประทับใจมากๆ ใครมีโอกาสเวลา อยากให้หามาดูกันครับ มันคืออะนิเมชั่นที่ “สร้างสรรค์จรรโลงใจ” มากที่สุดเรื่องหนึ่ง แถมได้รับรางวัลใหญ่ๆ มาแล้วหลายรางวัล รวมถึงรางวัลอะนิเมชั่นยอดเยี่ยมจากสถาบันรางวัล Mainichi Film Awards ที่อะนิเมชั่นระดับรางวัลออสการ์อย่างเรื่อง Spirited Away เคยได้รับมาแล้วก่อนหน้านี้

กล่าวสำหรับเวอร์ชั่นของหนังไทยที่หยิบยืมเอาคำ “โฮมสเตย์” (Homestay) ซึ่งเป็นคำที่มีการกล่าวถึงในนวนิยายมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง ผลงานนี้มีการ “ดัดแปลง” และ “ตกแต่ง” รายละเอียดให้แตกต่างไปจากต้นฉบับ แต่โดยภาพรวมยังคงจับแก่นสารเนื้อหาของนวนิยายต้นฉบับไว้ได้แบบไม่ตกหล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาระสำคัญอันว่าด้วยเรื่องคุณค่าความหมายของชีวิต

ใน “ร่างชั่วคราว” ที่มีทั้งเรื่องราวซึ่งปวดร้าวและงดงาม ...
“โฮมสเตย์” พาเราก้าวไปพร้อมกับตัวละครที่พูดได้ว่าเป็น “วิญญาณเร่ร่อน” ซึ่งได้รับรางวัลครั้งมโหฬาร เพราะในขณะที่วิญญาณดวงนั้นกำลังจะไปจุติยังภพใหม่ รางวัลที่เขาได้รับ ก็ทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ใน “ร่างเดิม” หากแต่เขาต้องไปสิงสู่อยู่ในร่างของ “มิน” เด็กชายวัยมัธยมที่เพิ่งเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ในความ “โชคดี” ก็ยังมีเงื่อนไขที่ต้องแบกรับ นั่นก็คือ ภายในระยะเวลา 100 วัน เขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่า “มินตายเพราะใคร?” และถ้าทำไม่สำเร็จในระยะเวลาที่กำหนด เขาก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกต่อไป

... อย่างที่บอกครับว่า ผลงานชิ้นนี้มีที่มาจากต้นฉบับนิยายภาษาญี่ปุ่น อันดับแรกสุดที่ผมเห็นก็คือ หนังมีการปรับเปลี่ยนบรรยากาศในการนำเสนอได้โดดเด่นเป็นแนวของตัวเอง ส่วนที่ชัดที่สุดก็น่าจะได้แก่การทำให้หนังมีอารมณ์ของความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อนข้างสูง มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าความโรแมนติกและฟีลกู๊ด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเอา “ปูระ ปูระ” (ผู้คุมวิญญาณในเวอร์ชั่นต้นฉบับ) มาปรับให้แลดูน่าสะพรึงมากขึ้น การปรากฏตัวแต่ละครั้งของผู้คุมวิญญาณในเวอร์ชั่นหนังสือหรืออะนิเมะญี่ปุ่น ดูจะเป็นมิตรมากกว่า ขณะที่ในส่วนของหนังไทย ปรากฏตัวครั้งใด ก็แทบจะพูดได้ว่า สร้างความขนพองสยองเกล้าให้กับวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในร่างของเด็กชายได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะฉีกออกมาเพื่อหาแนวทางของตัวเอง แต่ “โฮมสเตย์” ก็มีการอ้างอิง หรือจะพูดว่าเป็นการ “คารวะต้นฉบับ” อย่างจับต้องสัมผัสได้ คือในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ทั้งหนังสือและอะนิเมะ พยายามขับเน้นเรื่องราวเนื้อหาเพื่อให้คนดูได้รู้สึกถึงความ “คัลเลอร์ฟูล” หรือสีสันอันหลากหลายของชีวิต... โฮมสเตย์ ก็มีการออกแบบทั้งฉากและวัสดุประกอบฉาก ไม่ว่าจะเป็น “พลุ” หรือ “บอร์ดเชียร์” ที่ประกอบไปด้วยสีสันอันหลากหลาย ซึ่งจะว่าไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คล้ายๆ เป็น “สัญญะ” ที่หนังใช้เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของชีวิต ขณะที่ตัวเรื่องราวของหนังก็ได้เล่าออกมาอย่างชัดเจนถึงความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งจุดดีจุดเสีย มีหลายมุมหลายด้านในตัวของมันเอง มีทั้งความงดงามและมีทั้งความอัปลักษณ์ที่เราจำเป็นต้องยอมรับและอยู่ร่วม

กล่าวโดยรวมๆ โดยไม่ต้องเล่าเรื่องราวเพื่อปกป้องอรรถรสในการดูหนัง “โฮมสเตย์” ในความรู้สึกของผม เป็นหนังที่ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ ใครยังไม่ได้ดู ก็อยากให้หาเวลาไปดู มันเป็นหนังที่ให้ทั้งความบันเทิงและเนื้อหาสาระ เรียกว่าดูแล้วได้อะไรกลับมาเยอะมากครับ ทั้งมุมมอง แง่คิด ที่ส่งพลังให้กับชีวิตอย่างมากมาย

ผมพูดไว้ในรายการวิวไฟน์เดอร์ทางช่องซูเปอร์บันเทิง เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า นี่คือหนังที่ทำให้เรารู้สึกเชื่อมั่นต่อการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่ามันจะสวยงามหรือไม่สวยงามอย่างไรก็ตาม เพราะทั้งหมดทั้งมวล มันก็ล้วนคือสีสันอันหลากหลายของชีวิต...










กำลังโหลดความคิดเห็น