“พีช พชร” ยอมรับว่างงาน เน้นทำธุรกิจส่วนตัว เตรียมตัวเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ-จิตวิทยา อยากเข้าใจอาชีพ ดีใจ “ป๊อก” กำลังจะมีทายาท งงเรื่องลำดับญาติ ลุ้นแฝด คิดถึงอนาคต อยากให้มั่นคง ไม่อยากให้ภรรยาและลูกในอนาคตต้องลำบาก เสียดายชวดร่วมเป็นเมนเทอร์เดอะเฟซเมน ซีซั่น 2 เพราะรายการย้ายช่อง ต้องเคารพองค์กร
เหมือนช่วงหลังๆ มานี้ตั้งแต่พระเอกหนุ่ม “พีช พชร จิราธิวัฒน์” หันมาจับธุรกิจของตัวเองอย่าง potato corner เจ้าตัวก็ดูจะจริงจังมากขึ้น งานในวงการบันเทิงเริ่มน้อยลง ซึ่งหนุ่มพีชก็เผยว่ายิ่งโตขึ้นก็ยิ่งต้องตั้งใจ และไม่มีผลกับงานในวงการ เพราะเดี๋ยวนี้โลกโซเชียลทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
“ตอนนี้งานก็ไม่มีอะไรครับ ว่างๆ ก็ทำงานออฟฟิศเป็นหลักครับ อยู่ในช่วงขยายสาขาด้วยครับ คือมันก็โตขึ้น เราก็พยายามอย่างน้อยต้องคุมก่อน เพราะจะได้เลือกพนักงานเข้ามาให้เหมาะกับบริษัทในอนาคต ถามว่าต้องลดงานบันเทิงลงมั้ย มันก็ต้องช่วยๆ กันดูว่าตารางอะไรเป็นยังไงช่วงไหน มันก็ทำได้ ผมว่าเดี๋ยวนี้มันมีทวิตเตอร์ มีมือถือทำงานได้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเข้าประชุมตลอดเวลา มันก็โทร.คุยกันได้ ทำวิดีโอประชุมได้ แต่ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันมากนะ สุดท้ายก็เหมือนเดิม ไปกองถ่ายเหมือนเดิม เจอคนเหมือนเดิม ก็ไม่ได้ต่างอะไรมากอยู่แล้ว”
“ยิ่งโตขึ้นความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้น มันก็ควรจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราโตขึ้นแต่เรายังใช้ชีวิตเหมือนเดิมมันก็ไม่ดี รับผิดชอบเหมือนเดิมหรือน้อยลงกว่าเดิมมันก็ไม่ดี คนเราควรจะต้องโตอย่างมีคุณภาพ ผมว่าด้วยอายุเรายังทำไหว มันยังมีคนที่เขาทำงานหนักกว่าเราอีก เขายังทำได้เลย เราก็ต้องทำได้ มันไม่เชิงธุรกิจครอบครับครัว มันเป็นธุรกิจตัวเองนี่แหละ เราก็ทำเต็มที่”
“แพลนเรียนต่อก็ไปปีหน้าครับ เพราะวางแผนไว้แล้ว ทุกอย่างคิดมาดีหมดแล้ว จะกระทบการดูแลธุรกิจมั้ยเหรอ ผมว่ามันไม่ได้มีปัญหาขนาดนั้น สุดท้ายแล้วมันก็วางแผนกันได้ วางระบบออฟฟิศกันได้ ดูเรื่องสต๊าฟที่มาแทนเราได้ เรามีหุ้นส่วนที่เราไว้วางใจได้อยู่แล้ว ผมว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก ที่จะไปเรียนต่อก็เป็นสายธุรกิจโดยตรงครับ อาจจะมีพัฒนาไปนิดนึง คือผมคิดว่าผมจะเรียนด้านจิตวิทยาขึ้นเป็นหลักด้วย เพราะผมว่ามันจำเป็น การเข้าใจคนเป็นสิ่งสำคัญ อาชีพนักแสดงก็ต้องเข้าใจคน การขายของก็ต้องเข้าใจคนเหมือนกัน ผมว่าสุดท้ายคือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ”
เผยที่ไม่ได้ไปร่วมรายการ The Face Men 2 เพราะรายการย้ายช่อง ตนเลยไปด้วยไม่ได้ ต้องเคารพสัญญา
“แล้วยังไงเหรอครับ ถามคุณเต้ (ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก) หรือยังครับ คือผมไม่ได้รู้สึกอะไรนะ เพราะว่าจริงๆ ด้วยระบบเรื่องนี้มันมีการคุยกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่ว่าวิธีการของซีซั่นนี้มันมีการย้ายช่อง มันก็ทำให้การถ่ายทำอาจจะลำบาก มันด้วยเรื่องกฎหมายเป็นหลัก ผมว่าคนเรามีสัญญาก็ต้องเคารพสัญญาของตัวเอง มันเลยทำให้ซีซั่นนี้เราไม่สามารถไปทำได้ ก็มีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้แล้วครับ”
“ถามว่าเสียดายมั้ย มันก็เสียดายแหละ เพราะตอนแรกที่เรามีการเริ่มโปรเจกต์นี้ขึ้นมา มันได้มีการคุยร่วมกันว่าเราอยากให้มันเป็นแบบไหน แต่ทีนี้พอมันเป็นเรื่องนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สมมติคุณทำงานอยู่ที่นี่ คุณก็ไม่ควรจะไปทำงานกับที่อื่น มันก็เป็นเรื่องภาพลักษณ์องค์กร คุณก็ต้องเคารพองค์กรของตัวเอง”
“(เห็นว่าก่อนหน้านี้มีการถ่ายโปสเตอร์ไปเรียบร้อยแล้วด้วย?) ผมว่าจริงๆ แล้วในเรื่องรายละเอียดเบื้องลึกคงต้องถามทีมกันตนาดีกว่าว่าเขาคุยกันยังไง เกิดอะไรขึ้นถึงได้เป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ผมรู้คือมันเกิดการย้ายช่องทีวี มันก็ไปตามสภาพ ผมมีสัญญาอยู่กับช่องทีวี แต่รายการมันเปลี่ยน เราก็ไปด้วยไม่ได้ แต่มีการคุยกันเรียบร้อยครับ ผมว่ามันไม่ได้มีปัญหานะ เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ ถามว่าจะมีไปเป็นแขกรับเชิญมั้ย ก็อย่างที่บอกว่าด้วยเรื่องของช่อง ผมไปด้วยไม่ได้ ผมก็ไม่ควรไปในฐานะแขกรับเชิญด้วย”
บอกดีใจ "ป๊อก ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์" กำลังจะมาทายาท แต่ก็งงกับการเรียกลำดับญาติ
“ผมกำลังนับลำดับอยู่ว่าจะเรียกว่าอะไร (หัวเราะ) เขาต้องเป็นหลานผมเนอะ คือผมเรียกพี่ป๊อกว่าพี่ แต่จริงๆ ตามศักดิ์เขาต้องเป็นลุงนะครับ เพราะเขาเป็นลูกคุณปู่ผม แต่เป็นลูกคนสุดท้อง แต่พอดีเกิดมาใกล้กันมากก็เลยเรียกว่าพี่ตั้งแต่เด็ก ก็ดีใจกับเขานะ คือผมได้คุยกับเขาก่อนที่จะมีน้อง ก็คุยกันว่าจะยังไง เขาก็บอกว่าเขาอยากมีลูกมาก ผมก็ยังบอกว่าดีแล้ว จนวันนี้มีจริงๆ ก็ดีใจมาก”
“ของขวัญยังครับ ต้องรอดูก่อนว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ตอนนี้ยังไม่รู้ เพราะเพิ่งเริ่มเมื่อไม่นานมานี้เอง ก็ต้องรอก่อน ผมคงไม่รอทายหรอกครับ ผมคงถามเลย แต่ถามว่าตระกูลเราเคยมีแฝดมั้ย ลุงผมมีอยู่ครับเป็นลูกแฝด ผมคิดว่าเขาก็คงอยากได้แหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเพศอะไร ก็รออยู่ ตอนที่เขาจะเลิกบุหรี่ด้วย เขาก็ไม่เชิงปรึกษาผมนะ ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องอื่นมากกว่า แต่อย่างเลิกบุหรี่เขาก็เคยมาคุย บอกว่ากำลังจะเลิกบุหรี่แล้ว ทรมานมากเลย”
บอกอยากทำธุรกิจของตัวเองให้มั่นคงก่อน เพราะไม่อยากให้ภรรยาในอนาคตต้องมาลำบาก
“ถามว่าเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างหรือยัง มันก็ต้องมีแหละครับ คนเราก็ต้องอยากมีครอบครัวของตัวเอง เราโตมาเราเห็นญาติๆ ของเราแต่งงานทุกปี คือญาติผมเยอะ ต้องไปงานแต่งงานทุกปี ก็เดี๋ยวก็คงต้องมีบ้างแหละ แต่มันไม่ใช่ว่าจะต้องตอนนี้ ผมรู้สึกว่าเรายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ เรายังมีความเสี่ยงที่เราต้องรับผิดชอบอยู่ เราก็ยังไม่พร้อมในเรื่องสถานะการเงิน ผมอยากให้ดีกว่านี้ การเรียนดีกว่านี้”
“ทำงานอย่างน้อยมีเวลาได้พิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้ คือเราไม่อยากต้องมานั่งลำบาก ให้เขาต้องลำบาก มีลูกแล้วต้องลำบาก ไม่อยากเป็นคนที่มีภรรยาแล้วต้องทำให้เขาลำบาก ผมแค่รู้สึกว่าถ้ามีแล้วลำบากก็ไม่มีดีกว่า แล้วถ้าชีวิตเขาดีอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรจะพาเขามาลำบาก เราควรต้องทำให้ดีก่อน”
