xs
xsm
sm
md
lg

The Pool นรก 6 เมตร : ตกต่ำ เพื่อเติบโต

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


เว้นว่างจากหนังใหญ่ไป 4-5 ปี “พิง ลำพระเพลิง” กลับมาอีกครั้งกับผลงานที่ถือได้ว่ามีสารตั้งต้นที่โดดเด่นเช่นเคย นั่นก็คือเรื่องของนักแสดงหลักที่ถือว่ามีแฟนคลับรักและติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราจะเห็นข้อเด่นข้อนี้มาตั้งแต่หนังเรื่องแรกๆ อย่าง “โคตรรักเอ็งเลย” ที่ได้โน้ส-อุดม แต้พานิช มาแสดงนำ และสำหรับเรื่องนี้ก็ไม่น้อยหน้า เพราะได้ซูเปอร์สตาร์อย่าง “เคน ธีรเดช” มารับบทตัวละครหลัก

หลายคนคงจะเห็นในตัวอย่างกันมาบ้างแล้วครับว่า เคน ธีรเดช ในเรื่องนี้ต้องรับบทหนักแบบเต็มพิกัด เพราะถ้ายังไม่นับรวมว่าต้องฟัดกับจระเข้ เขายังถือว่าเป็นตัวละครหนึ่งในสองของเรื่อง ที่ต้องแบกหนังทั้งเรื่องไว้ ... 90 นาทีในหนัง นี่พูดได้ว่า เห็นหน้าเคน ธีรเดช จนคุ้นเคยเหมือนกับคนข้างบ้าน

เรื่องย่อๆ ที่พอจะเล่าได้ก็คือ เคน ธีรเดช รับบทเป็น “เดย์” คนหนุ่มซึ่งทำงานฝ่ายอาร์ตในกองถ่ายหนังโฆษณา และเมื่อปิดกล้องเสร็จสรรพแล้วทุกคนกลับบ้านหมด เขาคือคนสุดท้ายที่ต้องอยู่เคลียร์พื้นที่ซึ่งก็คือสระน้ำซึ่งมีความลึก 6 เมตร โดยที่เขาต้องอยู่รอดูจนน้ำในสระนั้นแห้งหมด

แต่ในขณะที่น้ำในสระกำลังถูกระบายออกไป ความหายนะก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเขาทีละนิดโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาเผลอหลับไปบนแพยางอยู่พักใหญ่ก่อนจะตื่นมาพบว่า ระดับน้ำในสระนั้นที่ลดลงมาก ทำให้เขาไม่สามารถพาตัวเองขึ้นไปแตะถึงขอบสระได้ และยิ่งไปกว่านั้น แฟนสาวของเดย์ที่พอมาถึง ก็จะกระโดดลงสระจากแท่นกระโดดเพราะต้องการเซอร์ไพรส์เขา ซึ่งในขณะที่เธอกำลังจะกระโดดนั้น ก็ได้ยินเสียงแฟนหนุ่มตะโกนห้ามจากสระน้ำด้านล่าง ทำให้เธอเสียหลัก หัวฟาดกับกระดาน ก่อนจะตกลงไปในสระน้ำ บาดเจ็บหนัก

กล่าวโดยรวมแล้วก็คือ ทั้ง “เดย์” และแฟนสาว ติดอยู่ในสระน้ำ และต้องหาทางขึ้นจากสระให้ได้ หรือรอให้มีใครมาพบและช่วยเหลือ และในระหว่างนี้ก็ต้องระแวดระวังจระเข้ตัวเขื่องที่คอยจ้องจะเล่นงานอยู่เรื่อยๆ

... จากสระน้ำที่ดูสวยหรูในหนังโฆษณา กลับกลายมาเป็น “นรก 6 เมตร” ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

... “เดอะ พูล นรก 6 เมตร” มีแนวทางหลายอย่างผสมๆ กันอยู่ ทั้งในแง่ของความเป็นหนังระทึกขวัญ (ที่มีความแอ็คชั่นปนอยู่ด้วย) หนังชีวิต และหนังรักโรแมนติก ซึ่งโดยส่วนตัว ผมมองว่า หนังทำส่วนแรกออกมาได้ค่อนข้างดีนะครับ จังหวะในการจัดวางเพื่อสร้างความลุ้นระทึกจากการต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อมของตัวละครอย่างเดย์ ถือว่ามีอะไรให้ลุ้นเอาใจช่วยพอสมควร หนังมีความ “ทรมานตัวละคร” ตามแนวทางหนังทริลเลอร์ที่ตัวละครจะต้องได้พบเจอกับประสบการณ์สุดหฤโหด คือถ้าไม่นับรวมว่าต้องสู้กับไอ้เข้ ยังมีเรื่องของการทุ่มเทแบบยอมเจ็บตัว เสียเลือดเสียเนื้อด้วยความหวังว่าจะรอด

หายนะหนักๆ ของตัวละคร จึงเป็นความสนุกของหนังแนวๆ นี้ อยู่ที่ว่าใคร (ผู้สร้าง ผู้กำกับ ผู้ประพันธ์) จะสามารถออกแบบความเลวร้ายได้พิสดารพันลึกเพียงใด ... คำพูดที่ว่า “มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว” นั้นเป็นเพียงการมองโลกในแง่ร้าย เพราะถ้าในแง่ดีก็คือ มันยังสามารถจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้ได้อีกเยอะ

ถ้าติดตามหนังของพิง ลำพระเพลิง มาเรื่อยๆ จะพบว่าผลงานของเขา มักจะมี “สาร” (Messege) บางอย่างที่ต้องการจะสื่อไปยังคนดูค่อนข้างชัดเจน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือนลายเซ็น (เช่นเดียวกับจมูกโตๆ สีแดง ที่ต้องมีแทบทุกเรื่อง) ก็จะเกี่ยวโยงกับเรื่องความรักความสัมพันธ์ที่ตัวละครมักจะต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบางอย่างเสียก่อน แล้วเกิดการเรียนรู้คุณค่าความหมายในสิ่งนั้นๆ เหมือนกับตัวละครของโน้ส อุดม ในเรื่องโคตรรักเอ็งเลย ที่ต้องเจ็บปวดเดียวดายก่อนจะได้รู้ว่าใครคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตน

อันที่จริง แง่มุมทำนองนี้เหมือนๆ จะเป็นปมต่อเนื่องเรื้อรังในหนังของพิง ลำพระเพลิง แก่นสารเนื้อหาในเรื่อง “เดอะ พูล” ก็ไม่ได้ห่างจากนั้นเท่าไรนัก ตัวละครของเคน ธีรเดช ยังเป็นมนุษย์ประเภทที่เราจะได้เห็นอยู่เรื่อยๆ ในหนังของพิง คือยังไม่ตระหนักรู้คุณค่าความหมายของบางสิ่ง จนกว่าจะสูญเสียมันไป หรืออาจจะรู้ แต่ก็ตัดสินใจเลือกที่จะคิดและทำอีกแบบ เมื่อเป็นเช่นนั้น หนังก็จำเป็นต้องเหวี่ยงเขาเข้าสู่สถานการณ์บางอย่างเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับจูนระดับสายตาและโลกทัศน์ให้เข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็นมากขึ้น

คนส่วนใหญ่นี่ ว่ากันตามจริงก็เหมือนพี่เคน ธีรเดช ในเรื่องนี้ล่ะครับ คือกว่าจะรู้ว่าอะไรมีความหมาย ไม่มีความหมาย บางทีก็ต้องถึงจุดที่พูดว่าปางตายกันเสียก่อน

การที่หนังจงใจให้ตัวละครติดอยู่ก้นสระซึ่งลึก 6 เมตร ด้านหนึ่งมันก็เหมือนเป็นอุปมาถึงการ “ตกต่ำ” อย่างตีความได้ ถ้าเราตามตัวละครนี้ไป เราจะเห็นรายละเอียดทางความคิดของเขาในบางมุม ที่จะว่าไปก็อยู่ “ต่ำ” ไม่น้อยไปกว่าก้นสระน้ำ หรืออยู่ต่ำกว่าสระน้ำนั้นไปอย่างไม่สามารถประเมินความลึกได้

การติดอยู่ในสระน้ำ (หรืออีกความหมายถึงคือการอยู่ในจุดตกต่ำ) จะทำให้เขาเติบโตหรือปรับจูนความคิดได้หรือไม่อย่างไร ระยะเวลา 6-7 วันกับการติดอยู่ใน “นรก 6 เมตร” จะเป็นตัวชี้วัดตัดสิน...

ในเชิงเนื้อหา ถือว่าไม่เบาเลยครับ สำหรับผลงานชิ้นนี้ของพิง ลำพระเพลิง อย่างน้อยที่สุด หนังก็พูดอย่างที่คิดว่าต้องการจะพูดได้สำเร็จ ผมเชื่อว่า หลังจากที่ดู “เคน ธีรเดช” ลุยเดี่ยวเกือบทั้งเรื่อง คนดูก็น่าจะได้รับแง่งามทางความคิดและบทเรียนควบคู่ไปด้วยกับความลุ้นระทึก

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะบอกว่า ใต้เงาจันทร์ก็ยังมีน้ำเน่าให้เห็นอยู่ ก็คงต้องพูดแบบนั้น เพราะในขณะที่เนื้อหาของหนังมีความคมคายและชวนให้คิด แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้รู้สึก “ติดๆ ขัดๆ” อย่างห้ามใจไม่ให้คิดไม่ได้

อันดับแรกสุด คือเรื่องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง มันดูเป็นการจัดวางที่จงใจ จนทำให้รู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่าง “บังเอิญ” ไปซะหมด คือถ้ามันจะบังเอิญ เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ค่อยมีปัญหาครับ แต่นี่ดูเหมือนว่า สิ่งใดๆ ก็บังเอิญไปทั้งสิ้น ทำให้รู้สึกว่ามันถูก “จัดวาง” จนขาดความเป็นธรรมชาติ ชนิดที่ว่า พอเราเห็นสถานการณ์ เกิดแบบนั้น ก็กลายเป็นรู้สึกชวนตลกไป ... ตลกเพราะรู้สึกว่า อะไรมันจะบังเอิญได้ถึงเพียงนั้น

อีกประการหนึ่ง เป็นเรื่องของฉากบางฉาก กับบทสนทนาระหว่างคนรัก ทั้งที่พยายามจะทำให้ดูซึ้ง หรือคำพูดดูหรูดูหล่อ แต่ฟังแล้วมันเลี่ยนๆ อย่างไรชอบกล เพราะฟังดู “ประดิษฐ์” ผิดธรรมชาติ ... เป็นอย่างไรอยากให้ลองไปฟังกันดูครับ แต่สำหรับผม รู้สึกเหมือนกำลังนั่งฟังพระเอกนางเอกลิเกเอ่ยพร่ำความรู้สึกที่มีต่อกัน ซึ่งมันก็ดูเป็น “ลิเก๊ ลิเก” ... อันที่จริง การแสดงความรู้สึกรักและอาทรผ่านถ้อยคำ ก็เป็นสิ่งที่ดีและน่าฟังครับ แต่ถ้าประดิษฐ์มากไป ก็สามารถกลายเป็นความเลี่ยน ส่วนใครจะบอกว่า มันเลี่ยนแบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว นั่นก็ไม่ว่ากัน

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดต้องบอกว่า “เดอะ พูล” มาพร้อมกับความตั้งใจที่ลึกมากกว่า 6 เมตร อาจจะมีติดๆ ขัดๆ ในรายละเอียดบางอย่าง แต่ไม่ได้บอกว่าหนังแย่หรือห่วย เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าดูผลงานนี้ในโหมดของหนังทริลเลอร์ เน้นความลุ้นระทึก เอาใจช่วยตัวละคร ก็ถือว่าผ่านครับ พอได้ทีเดียวเชียวล่ะ








กำลังโหลดความคิดเห็น