xs
xsm
sm
md
lg

เสน่ห์ของ “เพรทเดเตอร์” แอ็คชั่นมันส์เว่อร์ระดับตำนาน

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


จากหนังภาคแรกที่เกิดผุดขึ้นมาจากคำพูดขำๆ กลายมาเป็นหนังแฟรนไชส์ที่เดินทางมาจนถึงไตรภาคเป็นที่เรียบร้อย นั่นยังไม่นับรวมถึงการนำเอาเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดชนิดไปโคจรเจอกันกับเหล่านักสู้สายพันธุ์อื่นๆ ทั้งในนาม “เอเลี่ยนปะทะเพรทเดเตอร์” หรือแม้แต่พวกหนังแอ็คชั่นเกรดบี (ลงแผ่น ไม่ฉายโรง) อีกจำนวนไม่น้อยที่สอยเอาคาแร็คเตอร์ตัวนี้ไปปรับแปลงใช้กันอย่างเอิกเกริก

ทั้งหมดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวละครอย่าง “เพรทเดเตอร์” นั้นมีมวลสารที่พร้อมมูลสำหรับเนื้อหาเรื่องราวที่จะนำไปสู่การต่อสู้ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคอหนังบู๊แอ็คชั่น หรืออย่างน้อยที่สุด ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาประหลาดๆ เห็นแล้วทั้งน่าเกลียดน่าสะพรึงนั้นก็สามารถดึงดูดความสนใจจากคนดูผู้ชมได้แล้ว

ยาวนานถึง 30 ปี นับตั้งแต่หนังภาคแรกออกฉายใน ค.ศ.1987 “เพรทเดเตอร์” (Predator) ได้สร้างภาพจำที่แจ่มชัดเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ในใจของคนดูอย่างไม่ลืมเลือน อันที่จริง ในตอนเริ่มแรกนั้น มีเรื่องราวเล่าว่า “จิม” และ “จอห์น โธมัส” สองพี่น้องมือเขียนบทซึ่งกำลังปั้นบทเรื่อง “ฮันเตอร์” (Hunter) ได้ยินคนในฮอลลีวูดพูดกันว่า น่าจะให้ “ร็อคกี้” ภาคใหม่ไปปะทะกับพวกเอเลี่ยนบ้างนะ (ช่วงนั้นกระแสร็อคกี้กำลังฮอตมาก) สิ่งนี้ทำให้สองพี่น้องปิ๊งไอเดียขึ้นมาและน่าจะมีการพัฒนาต่อไปอีกได้ จนสุดท้ายจึงยื่นเสนอโปรเจคต์ทเวนตี้เซ็นจูรี่ฟอกซ์ ซึ่งก็ผ่านฉลุย
Predator
หนังได้นักแสดงอย่าง “อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ส” มาเป็นดารานำ อาร์โนลด์ ที่กำลังโด่งดังมากๆ ณ เวลานั้นจากการรับบทในหนัง “คนเหล็ก” (The Terminator) และ “คอมมานโด” (Commando) นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในส่วนของตัวหนังเอง ต้องยอมรับว่า ทุกองค์ประกอบนั้นทำออกมาได้ดีมากๆ แบบเอาใจคนที่รักชอบหนังแอ็คชั่นแบบสุดๆ ฉากไล่ล่า ฉากรัวกระสุนจนป่าราบเป็นหน้ากลอง ฉากระเบิดที่ดูสมจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากไล่ล่าต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวระหว่างอาร์โนลด์กับเพรเดเตอร์ ดูกี่ครั้งก็ยังมันส์ ฉากเปิดตัวละครมีความเท่ แค่อาร์โนลด์งัดข้อกับคู่หูในฉากทักทายก็ดูเท่แล้วล่ะครับ

ขณะเดียวกัน การเล่นกับความลึกลับแบบไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าสักทีของเพรทเดเตอร์ ก็เป็นเสน่ห์ที่มัดใจให้คนดูอยู่กับหนังไปได้จนท้ายๆ เรื่อง เพราะอยากรู้ว่า หน้าตาที่จริงแท้ของมันเป็นยังไง แทบจะครึ่งเรื่องที่คนดูจะได้อยู่กับมุมมองกล้องอินฟาเรดที่ยิ่งชวนให้นึกสงสัยอยากรู้ และพอเจ้าวายร้ายเปิดหน้ามาให้เห็นจริงๆ ก็เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ไปเต็มๆ

ก็นับว่าเป็นตำนานจริงๆ ครับ สำหรับ “เพรทเดเตอร์” ภาคแรก ก่อนที่จะมีภาคต่อตามมาในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นภาคที่พูดได้ว่าเป็นภาคที่คนดูอยากจะลืมๆ มันไปเสีย อีกทั้งอาร์โนลด์ก็ไม่ได้มาเล่นอีก (เพราะตอนนั้นติดงานถ่ายทำเรื่อง Total Recall) ขณะที่ผู้กำกับอย่างจอห์น แม็คเทียแนน ก็ไม่ได้กลับมากำกับเช่นกัน

ตัวละครเพรเดเตอร์ไปโลดแล่นในศึกรบกับเอเลี่ยนอีกถึง 3 ภาค (Alians Vs Predator) ก่อนจะมีเพรทเดเตอร์ภาค 3 เมื่อปี 2010 ซึ่งกำกับโดยโรเบิร์ต รอดดิเกวซ ที่ทำออกมาได้สนุกระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ถึงกับว้าว ... และในปีนี้ก็เพิ่งมีเดอะ เพรทเดเตอร์ ภาคใหม่ออกมาอีกครั้ง และกำลังลงโรงฉายในบ้านเราขณะนี้

สมัยก่อนเขาชอบพูดกันเรื่อง “อาถรรพ์หนังภาคต่อ” และหนังเพรทเดเตอร์ก็เหมือนจะตกอยู่ในชะตากรรมดังกล่าวด้วย เพราะก็อย่างที่บอกว่า ตั้งแต่ภาค 2 เป็นต้นมา หนังไม่ปังอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ แล้วภาคล่าสุดนี้ล่ะเป็นอย่างไร ไปดูกัน...

จุดเด่นของ The Predator - เดอะ เพรทเดเตอร์ (เติม The นำหน้าให้ดูต่างจากภาคแรก) ที่หนังอยากจะเล่าก็คือการเล่นกับเรื่องความก้าวล้ำระดับที่นักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยียังต้องทึ่ง เพราะมันมีการพัฒนาตัวเองอย่างน่าตกใจ คำถามก็คือ แล้วจะมีหนทางไหนกำจัดเจ้าเพรทเดเตอร์ที่เก่งกาจขนาดนั้นได้

ขออนุญาตข้ามเรื่องย่อไปนะครับ คร่าวๆ ก็เอาเป็นว่า มันเป็นหนังไล่ล่าที่เปิดฉากปะทะกันตั้งแต่ต้นเรื่อง มีพักเบรกเพื่อเล่าเรื่องนิดๆ หน่อยๆ พอเข้าใจ แล้วก็พุ่งเข้าใส่ฉากแอ็คชั่นไล่ล่ากันไปเลย ดังนั้น การดำเนินเรื่องจึงดูรวบรัดรวดเร็วฉับไว สไตล์หนังป๊อปคอร์นทั่วไปที่ตั้งใจให้ความบันเทิงแบบไม่ต้องมีประเด็นอะไรให้หนักหัวคิด ฝ่ายหนึ่งล่า ฝ่ายหนึ่งหนี หนังดำเนินไปแบบนี้เกือบทั้งเรื่อง

โดยส่วนตัว ผมมีความพยายามที่จะดึงเอาอารมณ์แบบเพรเดเตอร์ภาคแรกมาเยอะพอสมควร เพียงแต่เปลี่ยนโลเคชั่นจากป่าดงดิบในยุค 80-90 มาเป็นเมืองศิวิไลซ์ จากกลุ่มตัวละครคอมมานโดที่ถูกส่งไปปฏิบัติการในไพรเถื่อน ก็เปลี่ยนเป็นเหล่าเดนตายที่กำลังถูกไปยังสถานที่บางแห่งซึ่งเพียงแค่ได้ยินชื่อก็ไม่น่าเข้าใกล้ ... จะว่าไป ผมรู้สึกชอบพาร์ทนี้ของหนังพอสมควร เพราะก๊วนแก๊งที่มาพร้อมกับอารมณ์ขัน ตลกร้าย วายป่วงใช้ได้ อีกทั้งมีการเสียสละอย่างระห่ำเพื่อส่วนรวมเกิดขึ้น เทียบกับภาคหนึ่งก็ถือว่าดีกันไปคนละแบบ ภาคหนึ่งจะดูมีความห่าม ความระห่ำมากกว่า สไตล์ทหารหน่วยคอมมานโด แถมมีจังหวะให้เศร้าสร้อย หลังเพื่อนๆ ทยอยจากไป มีมิวสิกสกอร์แบบทหารคลอไว้อาลัยอย่างเหมาะเจาะ

กล่าวโดยภาพรวม ก็นับเป็นหนังเพรทเดเตอร์อีกภาคที่เน้นความสนุก แบบไม่รู้สึกผูกพันอะไร ผมมีความเห็นว่า ในขณะที่หนังพยายามดึง (หรือสร้าง) บรรยากาศอารมณ์ให้ได้แบบหนังภาคแรก แต่กลับมีบางสิ่งบางอย่างหล่นหายไป คือเข้าใจว่า การที่หนังแอ็คชั่นมันสนุก ส่วนสำคัญก็คือการสร้างสถานการณ์ตึงเครียดบีบคั้นกดดันให้เกิดขึ้นให้ได้ และนั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งซึ่งทำให้ “เพรทเดเตอร์” ภาคที่หนึ่งยังคงเป็นเบอร์หนึ่งในบรรดาหนังเพรทเดอร์ทั้งหลาย









กำลังโหลดความคิดเห็น