เปิดใจ “คิทตี้-แนนโน๊ะ” เคยอยากออกจากวงการก่อนถูกไล่ รู้ตัวไม่ใช่ต้นแบบที่ดีของใคร แต่วันนี้ภูมิใจทุกคนรู้จัก เป็นนักแสดงเต็มตัว ไม่ได้รู้จักเพราะเป็นแฟนใคร เผยความในใจหากทำซีรีส์แป้กจะหอบพวงมาลัยไปกราบขอขมาทีมงานทุกคน แฮปปี้เพิ่งคบ “กันน์ เดอะเฟซ เมน” เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นแฟน ฟุ้งฝ่ายชายพยายามเข้ามาอยู่ในชีวิตตน ซอฟต์ลงเพราะผู้ชายคนนี้ ขอแค่อย่าทิ้งกัน
กลายเป็นตัวละครม้ามืด ที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่นยุคใหม่เอามากๆ สำหรับบท “แนนโน๊ะ” สายดาร์กจากซีรีส์ “เด็กใหม่” สาวหน้าหวานผู้มาพร้อมเสียงหัวเราะสุดหลอน สั่นประสาทคนดู ซึ่งเป็นตัวละครที่พลิกชีวิต “คิทตี้ ชิชา อมาตยกุล” ให้เปลี่ยนแปลงไปเลยก็ว่าได้ งานนี้เจ้าตัวเปิดใจว่าเป็นละครที่เป็นบทพิสูจน์ตัวตนในด้านการแสดงของเธออย่างแท้จริง พร้อมบอกอย่าจำเธอได้แค่เพียงเพราะว่าเธอเคยเป็นแฟนของใคร
“ตอนนี้ก็มีงานเยอะขึ้นค่ะ ต้องขอบคุณกระแสตอบรับจากซีรีส์ ขอบคุณคนดูที่ตกหลุมรักตัวละคร และให้โอกาสคิทได้ทำงาน (ก่อนหน้านี้เคยบอกจะออกจากวงการ?) คิทก็ไม่ได้บอกว่าจะออกเลย แต่ว่าเริ่มรู้สึกเหนื่อย หรืองานตรงนี้อาจจะไม่ได้เข้ากับเราจริงๆ ก็ได้”
“กระแสตอนนี้ก็พิสูจน์ว่าถ้าเราทำอะไรอย่างเต็มที่และตั้งใจจริงๆ คนอื่นก็น่าจะเห็น ก่อนหน้านี้คิทอาจจะน้อยใจด้วยแหละ หลายๆ คนมองแค่ว่าคิทเป็นแฟนใคร คบกับใคร ไม่เคยมองว่าคิทพยายามหรือว่าสู้บ้างมั้ย”
“อย่างแรกเลยคิทก็รู้ว่าในช่วงเวลานั้น คิทกับพี่ๆ สื่อมีเรื่องผิดใจกัน คนทั่วไปหลายคนอาจจะไม่ชอบคิท เราก็รู้สึกว่าการจะเป็นคนในวงการนี้ คนส่วนมากเป็นดารามากกว่าเป็นนักแสดง ต้องอยู่ด้วยความรัก ความเห็นใจ ความชื่นชอบ และอยู่กับทุกคนให้ได้ด้วย ที่ผ่านมาคิทรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นเด็กดีขนาดนั้น ถ้ามันไม่เหมาะกับเรา ก็ควรจะเดินจากไป ไม่ใช่ให้เขาไล่ค่ะ”
อยากพิสูจน์ต้องพยายาม อยากให้เห็นตัวตนอีกด้านในฐานะ “นักแสดง”
“จริงๆ คิทก็อยากจะพิสูจน์ตัวเอง แล้วมีบทแนนโน๊ะเข้ามาพอดี เป็นบทที่ให้โอกาสคิท ทุกคนก็รู้ว่าคิทมีกระแสด้านลบหมด ทีมงานเขาก็ให้โอกาสคิทว่าถ้าเราอยากจะพิสูจน์ว่าเราพยายาม เต็มที่กับมัน ก็ลองดู พวกเขาให้ใจกับเรา คิทก็เลยลองดู จะทุ่มเทสุดชีวิตให้กับโปรเจกต์นี้ หวังว่าคนจะมองเราอีกด้านนึงบ้าง ไม่ใช่มองแค่ว่าตัวเราเป็นคนยังไง”
“ก็มีหลายๆ งานที่คิทรู้ว่าเขาไม่อยากได้เราไปทำงานด้วย ทั้งจากข่าวและอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งมันช่วยกันไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่ถูกนำเสนอออกไป และคนก็เห็นแบบนั้น หลายคนก็เลือกหลีกเลี่ยงปัญหาดีกว่า”
“ตอนนั้นไม่ได้นอยด์ค่ะ จริงๆ ก็ปกติดี ทำให้คิทเรียนรู้ว่าถ้าเราอยากทำงานในวงการ อยากเป็นนักแสดง เราก็ต้องอ่อนข้อบ้าง ต้องประนีประนอมกับคนให้ได้ ไม่ใช่ว่าจะแข็งอย่างเดียว ที่เปลี่ยนมุมมองก็ตอนที่เราคิดว่าชอบการเป็นนักแสดงจริงๆ แล้วทุกอย่างมีราคากันหมด อาจจะไม่ใช่ตัวเงิน แต่อาจจะเป็นการที่เรายอมรับที่จะทำอะไรบางอย่างที่เราอาจจะไม่ถนัด หรือไม่ชินเท่าไหร่”
“วันนี้พิสูจน์ตัวเองได้ มันก็ดีนะคะ คนก็ชื่นชมเราจากผลงานของเราจริงๆ สักที เป็นครั้งแรกที่มีคนชมว่าเป็นนักแสดงก็ดีใจค่ะ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปรึกษาใครค่ะ เหมือนคิดทบทวนกับตัวเอง คิทก็มีงานอย่างอื่นทำอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าถ้ามันไม่ไหวเราก็ไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
ขอบคุณทุกบทเรียนที่ผ่านเข้ามา จะกอบโกยความสุขในช่วงเวลานี้ แม้ไม่ได้เป็นต้นแบบที่ดีของใคร
“คิทขอบคุณทุกเหตุการณ์ ขอบคุณพี่ๆ ทุกคน ขอบคุณทุกคนทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่ดี เพราะทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้คิทมองโลกแบบนี้ ตัดสินใจแบบนี้และคิดแบบนี้ค่ะ”
“หลังจากนี้คิทก็ยังเป็นตัวเองเหมือนเดิมอยู่ประมาณนึง ตั้งใจจะรับงานที่ตัวเองสนุก ที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆ ไม่ได้อยากจะกอบโกยในช่วงเวลานี้หรืออะไร ก็อยากจะค่อยๆ ไป ยังรู้ตัวดีว่าเราเป็นนักแสดง เราไม่หวังจะเป็นดารา และไม่ใช่ต้นแบบที่ดีของใครตั้งแต่แรก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ใช่ค่ะ”
“การที่เราไม่พร้อมเป็นต้นแบบให้ใคร คิทมองว่าตัวเองไม่พร้อมจะละทิ้งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ของความเป็นตัวเองทั้งหมด เพื่อจะก้าวไปเป็นความสมบูรณ์ที่ให้คนสามารถมองขึ้นไปได้ คิทก็มีนิสัยไม่ดีหลายๆ อย่าง เรารู้ตัวเองว่าเป็นคนแบบไม่เพอร์เฟกต์ รู้ตัวด้วยว่าเราไม่พร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อจะก้าวขึ้นไปตรงนั้น ก็ขอเป็นดินแล้วกันค่ะ ให้เห็นเรื่อยๆ คงไม่เป็นดาวค่ะ”
ไม่สามารถย้อนเวลาแก้ไขได้ อยู่กับสิ่งที่ผิดพลาดและเดินต่อไป
“ความเป็นตัวเองของคิท คือการยอมรับและก็แก้ไขปรับปรุง คิทก็รู้สึกว่าการขอโทษมันไม่ใช่เรื่องที่ผิด พี่ๆ ก็คงรับรู้ได้ว่าคิทขอโทษจริงๆ วันนั้นคิทก็เด็กเกินไป แต่คิทไม่สามารถจะย้อนเวลาได้ มันอยู่ที่ว่าเราอยู่กับสิ่งที่ผิดพลาดแล้วจะเดินต่อไปข้างหน้ายังไงมากกว่า”
ดีใจทุกคนรักตัวละคร เป็นไอดอลสำหรับใครบางคน เชื่อ “แนนโน๊ะ” เป็นบทที่เกิดมาเพื่อตน ถ้าแป้กจะหอบมาลัยไปกราบขอขมา
“จริงๆ ก็มีหลากหลายนะคะ หมายถึงกระแสที่เข้ามา เราก็ดีใจที่คนรักในตัวละครตัวนี้ ถ้าคิทจะบอกคนดูก็คงบอกว่า ดีใจที่ทุกคนรักเขา ไม่ต้องรักเราก็ได้รักแค่แนนโน๊ะก็พอ เราดีใจที่เขาเป็นไอดอลให้บางคน ทำให้หลายๆ คนกล้าลุกขึ้นมายืมมากขึ้น กล้าที่จะออกมาบอกมากขึ้นว่าเคยเจอเรื่องร้ายๆ อะไรมา หรือว่าไม่ยอมถูกทำร้าย”
“คิทเชื่อว่าถ้าคนอื่นมารับบทเป็นแนนโน๊ะ มันก็คงไม่เป็นแบบนี้ น่าจะออกมาในมุมที่ถูกผสมระหว่างความเป็นตัวละครกับนักแสดงแต่ละคนเข้าไป พอเป็นแนนโน๊ะในเวอร์ชั่นของคิทก็ย่อมจะมีบางอย่างที่คล้ายคิทผสมอยู่ ถามว่าบทนี้เกิดมาเพื่อเราหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีค่ะ ตอนแรกก็กลัวทีมงานผิดหวัง เพราะเขาเลือกเรามา ถ้ามันแป้กเพราะเราก็คงต้องหอบพวงมาลัยไปกราบขอขมาทีมงานทุกคนค่ะ (หัวเราะ)”
“ถามว่ากดดันมั้ยเพราะเป็นผลงานที่เหมือนชี้ชะตา คิทกลัวมากกว่า เพราะถ้าหากคนเลือกที่จะไม่ดู หรือคนเกลียดซีรีส์เรื่องนี้ เนื่องจากมันมีชื่อของคิทตี้แปะอยู่ คิทตี้ก็คงรู้สึกผิดมากๆ กับการที่ทุกคนอุตส่าห์ทุ่มเททุกอย่างเพื่อซีรีส์เรื่องนี้”
“เรื่องบทที่แรง คิทมองว่าคิทเป็นนักแสดงมากกว่าค่ะ คือไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะเป็นนางเอกหรือนางร้าย เพราะเราสามารถเล่นบทอะไรก็ได้ วันนี้เราเป็นคนบ้า พรุ่งนี้เราเป็นปีศาจ อีกวันหนึ่งเราอาจจะเป็นคนพิการก็ได้ ซึ่งบทแนนโน๊ะที่คิทตี้ได้รับ มันเป็นบทบาทที่ท้าทายมากจริงๆ และก็เป็นโอกาสที่ไม่ได้มีเข้ามาให้เราบ่อยๆ ด้วย”
ความสำเร็จต้องรอให้ถึงวันที่ตาย เหมือน “สตีฟ จอบส์”
“ถ้าถามถึงความสำเร็จ ณ ตอนนี้มันยังไม่สำเร็จหรอกค่ะ เพราะคิทตี้มองว่าคนเราจะสำเร็จได้ก็ต้องรอให้ถึงวันที่เราตาย เหมือนกับ สตีฟ จอบส์ ที่ชีวิตของเขากลายเป็นตำนาน ถึงแม้เขาจะตายไปแล้วแต่ทุกคนก็ยังชื่นชมเขาอยู่ ดังนั้น ณ ตอนนี้ถ้าหากเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป เพราะถ้าหากในอนาคตเราเกิดพลาดขึ้นมาอีก เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน”
“ตอนนี้คิทตี้ตายไปแล้วนะคะ เพราะไม่มีใครเรียกชื่อนี้เลย มีแต่คนเรียกหาแนนโน๊ะ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ คิทตี้ดีใจนะ ดีใจมากๆ เลยที่คนดูรักแนนโน๊ะ อาจจะฟังดูแปลกนะคะที่คนคิดว่าแนนโน๊ะมีตัวตนจริงๆ แต่คิตตี้ก็ดีใจกับเขา เพราะเขากลายเป็นสัญลักษณ์บางอย่างให้กับคนดู ในขณะที่เราไม่สามารถเป็นได้”
ยอมรับคบ “กันน์ สรวิศ” หรือ “กันน์ เดอะเฟซเมน” ไม่นาน ค่อยๆ พัฒนาจากเพื่อนสนิท มีความพยายามที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตตน
“ใช่ค่ะ ก็สบายดี ตอนนี้ก็เป็นแฟนละกันค่ะ (หัวเราะ) เราเพิ่งคบกันไม่นาน เพราะเพิ่งจะเริ่มคบกันตอนที่คิทตี้ถ่ายซีรีส์ แต่เราค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากการเป็นเพื่อนสนิท"
“ถามว่าทำไมเป็นเขา เพราะช่วงถ่ายซีรีส์ไม่ได้เจอใครเลย และเขาเป็นคนเดียวที่ เช้าเยี่ยม บ่ายเยี่ยม เอาข้าวมาส่งกอง หรือตอนที่คิทตี้แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเขาก็เป็นคนเดียวที่เข้ามาเยี่ยม คือเข้ามาตอกบัตรเป็นประจำจริงๆ ถือว่าเป็นคนที่มีความพยายามมากๆ ที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา”
ซอฟต์เพราะผู้ชายคนนี้ อย่าทิ้งกันก็พอ
“อย่างที่บอกเขาเป็นเพื่อนกับคิทตี้มาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเราจึงมีความรักให้กันมาก่อนในฐานะเพื่อน แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่เขาพยายามทุ่มเทและก็ใส่ใจเรา อยากดูแลเราจริงๆ คิทตี้ก็เลยรู้สึกว่าเราพัฒนากันไปต่อดีกว่า แต่อย่าทิ้งเราก็พอ รวมถึงตัวเขาเองก็ยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนด้วย”
“เขาเป็นคนที่ทำให้คิทตี้ซอฟต์ลงและก็มีความใจเย็นมากขึ้น คือไม่ได้ใช้ชีวิตแบบวุ่นวาย รวมถึงทางบ้านของเราทั้งสองคนก็เลยเจอกันแล้ว เรียกว่าทุกอย่างมันชัดเจนจริงๆ และก็ไม่ได้มีอะไรทำให้รู้สึกไม่สบายใจที่จะพูดค่ะ”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)