“ฉอด สายทิพย์” ยอมรับคอนเสิร์ตสาวสาวสาว เป็นช่วงคาบเกี่ยวมูฟออกมาทำบริษัทของตัวเอง บอกดูแลโปรดักชั่นเอง ส่วนเอ-ไทม์ดูแลเรื่องโปรโมต ลุยทำเองเพราะผูกพัน แต่ปีหน้าจะตัวใครตัวมันแล้ว เช้นจ์ 2561 ลุยทำโชว์บิสของตัวเอง เผยแบกภาระช่องที่ผ่านมาหนักมาก ลดบทบาทแล้วชิลขึ้น ลั่นขำๆ ไม่ต้องห่วงฉัน ชีวิตดี๊ดี
ในที่สุด “ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” ก็ได้มีโอกาสจัดคอนเสิร์ต “สาวสาวสาว” ในขณะที่ก่อนหน้านี้แอบมีดรามาเบาๆ ว่าคอนเสิร์ตดังกล่าวจะล่มหรือไม่ หลังอีกฝ่ายออกไปสร้างบริษัทใหม่ ผลิตคอนเทนต์เสนอทุกช่อง โดยฉอดเปิดใจว่า ทุกคนคิดแบบนั้น แต่ตนต้องทำ เพราะเป็นความผูกพัน และเป็นสัญญาใจที่คุยมาตลอด 10 ปี
“มันเป็นสัญญาใจค่ะ เราคุยกันมาตลอด 10 ปีว่าอยากจะทำคอนเสิร์ต เมื่อไหร่จะได้ทำสักที แต่ตอนนั้นคนหนึ่งอยู่อโศก คนหนึ่งอยู่ลาดพร้าว ลิขสิทธิ์เพลงอยู่รถไฟดนตรี ต่างค่ายกันก็ดูยากๆ อยู่ แต่ในที่สุดก็ถึงเวลา พี่ๆ ทั้งสองค่ายรวมถึงคุณระย้า (ค่ายรถไฟดนตรี) เองก็อนุญาต ยินดีในเรื่องของลิขสิทธิ์เพลง”
“ความยากของคอนเสิร์ตอยู่ตรงที่เราจะนำพาทุกคนกลับไปสู่อดีตที่ยาวนานมาก 34 ปีมาแล้ว ภาพในความทรงจำวันนั้นกับความเป็นจริงวันนี้มีความต่างกัน สาวสาวสาว เขาก็เป็นแบบนี้แต่ต้องกลับไปร้องเพลงในวันนั้น ด้วยสไตล์ของเพลง เนื้อหาเพลง เสื้อผ้าหน้าผม ยากที่สุดคือการเชื่อมต่อวันเวลาให้มาเจอกันให้พอดีกันที่สุด”
“เรื่องดนตรีที่ทำเพิ่ม เพราะสมัยก่อนดนตรีมันบาง ในสมัยนี้เราก็จะเติมความหนา แต่ไม่ใช่การเอาไปทำใหม่นะ คนฟังๆ แล้วก็ยังจำได้อยู่ เป็นเพลงเดิมที่คุ้นเคย แต่แค่ให้เป็นความรู้สึกของวันนี้เพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง”
บอกเป็นความผูกพันที่มีมายาวนาน อยู่ในช่วงชีวิตของทุกคน
“สาวสาวสาว เขาคิดแบบนั้น คือถ้าจะทำคอนเสิร์ตก็ต้องเป็นเราแหละ นึกออกใช่ไหมคะ เลยมีการพูดกันว่าต้องเป็นเรานะ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน คิดถึงเรื่องตัวบุคคลมากกว่า ไม่ได้คิดว่าเป็นบริษัทอะไร ไม่ได้รีบร้อนที่จะทำ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ขอแค่ให้เป็นคนที่ตกลงกันไว้แล้วว่าจะทำแค่นั้นเอง”
“ไม่ใช่แค่ความมั่นใจ แต่เป็นความผูกพันที่มีมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการผูกพันแบบดีเจกับนักร้อง หรือความเป็นพี่ เป็นน้องกันแบบส่วนตัว เพราะเราบังเอิญอยู่ในทุกช่วงชีวิตของเขา มีแฟน อกหัก ก็ไปอยู่ตรงนั้น รู้จักไปถึงพ่อแม่ ครอบครัว ทุกสิ่งอย่าง เลยมีหลายอย่างผสมกัน ทั้งความไว้วางใจในเชิงของการทำงาน และความสัมพันธ์ส่วนตัวด้วย”
“คอนเสิร์ตนี้ก็อยู่ในแพลนของเอ-ไทม์ ซึ่งทำไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว วางไว้กันล่วงหน้า แต่พอดีช่วงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง พอเรามูฟออกมาทำบริษัทก็เลยมานั่งคุยกันว่าคอนเสิร์ตนี้จะทำยังไง เพื่อไม่ให้เสียแพลนเดิมที่วางไว้ ก็ทำไปตามเดิมแล้วกันร่วมกันทำ บทบาทของเราคือดูแลเรื่องโปรดักชั่นทั้งหมด เอไทม์ดูแลเรื่องการโปรโมต”
ปีหน้าจะเป็นของใครของมัน เช้นจ์ 2561 อาจทำโชว์บิสของตัวเอง
“ก่อนหน้านี้เอ-ไทม์โชว์บิสทำโปรดักชั่นด้วย แค่เฉพาะงานนี้ที่เช้นจ์ 2561 ทำโปรดักชั่นทั้งหมด อนาคตจะเข้ามาทำเรื่องโปรดักชั่นมั้ยก็ไม่ค่ะ ปีหน้าก็จะเป็นของใครของมัน เอไทม์โชว์บิสก็ทำงานของตัวเองไป เช้นจ์ก็อาจจะมีโชว์บิสเป็นของตัวเอง แยกออกมา แต่งานนี้เป็นงานเฉพาะกิจ เป็นเยียร์แพลนที่ติดค้างไว้”
“ปีหน้าจะมีอะไรบ้าง ตอนนี้ก็มีคุยๆ กันอยู่บ้าง อาจจะมีการทำโชว์บิสบ้างตามสมควร ทำเพราะสนุกกับทำเพราะศิลปินอยากให้ทำ ก็คล้ายๆ กับอารมณ์ของสาวสาวสาว คือก็ติดว่าถ้าจะทำคอนเสิร์ตก็อยากให้เราเป็นคนทำ แต่ก็ไม่ถึงกับว่าถ้าไม่ใช่เรา ฉันไม่ทำหรอกนะ คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่เพียงแค่มันอยู่ด้วยกันมานาน มีความผูกพันกัน”
“แต่ถ้าจะบอกไปว่ามีกี่คนคือมันก็เยอะอยู่ แต่ก็ต้องดูว่ากำลังตัวเองไหวแค่ไหน และตั้งแต่เราออกมาเป็น เช้นจ์ 2561 คืองานมันเยอะมากจริงๆ ปีหน้าตอนนี้ต้องทำละครมากกว่าตอนอยู่ช่องซะอีก เพราะเราก็ไปทำกับช่องอื่นด้วย โชว์บิสก็ทำ รายการออนไลน์ ทางเราก็จะทำเพิ่มมากขึ้น และคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ คลับฟรายเดย์โชว์ก็จะย้ายมาอยู่ที่เช้นจ์2561 อาจจะดูเยอะไปหน่อยสำหรับบริษัทเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดสำหรับพวกเรา”
ไม่เสียดายเอไทม์ที่สร้างมากับมือ ปลื้มเปลี่ยนเป็นสร้างคอนเทนต์ ช่องอื่นๆ เดินเข้ามาหา อยากจับมือ อยากร่วมงานด้วย
“ไม่ค่ะ ตอนนี้เรากำลังสนุก เป็นความรู้สึกอีกแบบนึง เหมือนเราเคยอยู่ในที่ๆ หนึ่งมาโดยตลอด เราก็ต้องทำทุกอย่างเพราะมันคือที่ตรงนี้ ยกตัวอย่างเมื่อก่อนเราจะคุยกับใครมันจะมีความค่าย จะมีความเป็นกรอบครอบเราอยู่ หรือเมื่อก่อนเป็นช่อง เราก็จะไม่มีโอกาสไปคุยกับช่องอื่นเลย เพราะด้วยความเป็นช่อง แต่พอเราเปลี่ยนเป็นคนสร้างคอนเทนต์แล้ว ทุกคนก็จะเดินมาหาเรา”
“ และเราได้คุยกับคนเยอะมาก ทุกวันนี้มีหลายคนมาคุยกับเรา อยากจับมือกับเรา อยากมาร่วมงานกับเรา ซึ่งบางทีเราก็ไม่เคยคาดคิดว่าเราจะจับมือกันได้เพราะเนื่องจากก่อนหน้านี้อาจจะติดอะไรบ้าง แต่พอรู้ว่าเราเป็นคนทำคอนเทนต์แล้ว ทุกคนก็เดินเข้ามา มาชวนเราคุย และก็มีคนเดินเจ้ามาบอกว่าอยากจะร่วมงานกับเราจังเลย ทำอะไรได้บ้าง เราก็ตอบไปว่าได้ค่ะ เพราะไม่ได้ติดในเรื่องสัญญาอะไรเลย พอมันไม่ติดอะไรเลย ตอนนี้เราทำคอนเทนต์อะไรก็ได้ มันสนุกมากเลย สนุกกับการได้คุยกับคนอื่น ได้มีการแลกเปลี่ยน”
เล็งสร้างละครออนแอร์ช่องพีพีทีวี เจ้าของเงินมีสิทธิ์เลือกมากขึ้น
“วันนี้ต้องขอบอกว่าตอนนี้ไม่ได้มีการข้ามค่ายเพราะไม่ใช่ค่ายเพลง คือตอนนี้ใครอยากคุยกับเรา เราก็คุยไปเรื่อยๆ อย่างพีพีทีวีที่ได้เข้าไปคุยก็เพราะมีพี่ๆ ที่รู้จักกัน พี่เขาก็อยากให้เราทำละครให้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการสรุปว่าเราจะทำไหวแค่ไหน และโดนปกติแล้วในขั้นตอนการเลือกนักแสดงแล้ว เจ้าของเงินเขามีสิทธิ์เลือก แต่ถ้าเราเดินเข้าไปที่ไหน เขามักจะเชื่อใจให้เราตัดสินใจ เพราะเขาก็เคยเห็นงานของเรามาบ้างแล้ว เขาถึงตัดสินใจชวนเรามาทำ และทุกคนที่ชวนเรามาทำ เพราะเขาชอบงานที่เราทำอยู่แล้ว เขาให้เราเลือกมาเลย เขามั่นใจว่าเราเลือกมาดีแล้ว กับพีพีทีวีทุกอย่างตอนนี้เป็นงานปีหน้าหมด ตอนนี้แค่คุย และเรื่องการเตรียมงาน”
ไม่หวั่นซ้ำรอย GMM25
“แต่ล่ะช่องจะมีโจทย์คนละแบบ เท่าที่คุยกันนะ เมื่อโจทย์ต่างกันวิธีคิดก็ต่างกันไปด้วย แต่เรื่องลายมือมันคงไม่ได้ฉีกไปเยอะ บังเอิญว่าโชคดีตอนที่อยู่ช่องได้ทำละครครบรูปแบบ ล่าสุดก็ทำเรื่องคุณพ่อจอมซ่า ก็ทำตลกเป็น บู๊ ก็ทำเป็น เราทำได้หลากหลาย เวลาเดินเข้าไปคุยกับหลายๆ ที่เขาก็จะมีแนวของเขา เราก็เอาแบบนั้นไปให้เขาแค่นั้น ตอนนี้ยังไม่ได้แบ่งอะไรเลยค่ะ ตอนนี้ดูว่ากำลังเราจะไหวสักแค่ไหน”
ไม่ว่าทำงานที่ไหนยังเทใจให้เกินร้อย
“ทำงานปกติ เพราะว่าเมื่อก่อนงาน ร้อยหนึ่ง เราก็ทำงานร้อยห้าสิบอยู่แล้ว มากกว่าเดิมคงไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่ชั้น 38 เหมือนเดิม”
บอกแบกภาระช่องหนักมาก แยกตัวออกมาปลดทุกอย่าง ชีวิตชิลขึ้น
“ถ้ามองว่าดูรีแลกซ์ขึ้น ภาระของการที่ต้องแบกช่อง มันหนักมากจริงๆ เพราะว่ามันมีข้อจำกัดหลายอย่างมาก มันมีต้นทุนมหาศาลที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว มีหลายอย่างมา แต่พอเราแยกตัวออกมา ปลดทุกอย่างตรงนั้นชีวิตทุกอย่างมันดูเบาขึ้น ดีขึ้น มันเป็นการเปิดโอกาสให้เรา เราคนทำครีเอต ทำโปรดักชั่น มันเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ทำงานที่เราอยากทำมากขึ้น ถามว่าเสียดายเอ-ไทม์มั้ย เราเดินออกจากตึกนี้ไป เอไทม์ก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราทำด้วยสองมือทั้งนั้นเลย ถ้าเราไม่ปล่อยก็นั่งตาย เขาบอกว่าคนเราควรที่จะปล่อยมือ เพื่อเอามือเราไปหยิบสิ่งดีๆ บ้าง กอบโกยมาไว้ที่เราหมดมันไม่ใช่ ตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรเลย อยากทำงานอย่างเดียว”
ขอบคุณทุกคนคิดแทน เข้าใจทุกความห่วงใย
“ถูกค่ะ ทุกคนก็จะเป็นห่วงเป็นใย ทุกคนมาให้กำลังใจ ก็ขอบคุณ บางคนเสียใจหนักกว่าเราอีก เจอน้องบางคนเข้ามากอดแล้วร้องไห้ เราก็ถามว่าเป็นอะไร เขาบอกสงสาร เราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรลูก เรากลับสงสารหนู (ยิ้ม) มีคนเป็นห่วงเยอะมาก ก็ขอบคุณมากๆ แล้วบางคน เราบอกว่าสบายดี ก็ไม่เชื่อ คิดว่าเราต้องเก็บไว้แน่เลย ก็บอกว่าเราเป็นคนไม่เก็บ เป็นคนที่ซ้อนอะไร คือทำไม่เป็น วันนี้แฮปปี้สนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ มันมีโอกาสได้คิดได้ทำอะไรที่ไม่ต้องแบกอะไรที่หนักๆ”
งานดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมีเวลาคิดมากขึ้น
“ถามว่าดีกว่าเมื่อก่อนมั้ย จริงๆ มีคนบางคนมาเห็นการทำงานของเรา เขายังบอกว่าดีกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ มันมีเวลาคิด มีเวลาได้ทำอะไรตั้งเยอะ”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)