ร้านให้เช่าวิดีโอ Blockbuster ในโอเรกอน กลายเป็น Blockbuster แห่งสุดท้ายในสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่เมื่อปี 2010 พวกเขามีร้านสาขามากถึง 9,000 แห่งเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ Blockbuster ในอลาสกายังพอจะไปได้ เพราะรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐฯ แห่งนี้เต็มไปด้วยหิมะ และอาการที่หนาวเหน็บ จนทำให้คนส่วนใหญ่มีความสุขอยู่กับการดูหนังอยู่ที่บ้าน และระบบอินเตอร์เน็ตที่ไม่ค่อยเร็วนัก แต่สุดท้ายเมื่อระบบต่างๆ ได้รับการพัฒนามากขึ้นธุรกิจของ Blockbuster ในอลาสกาก็ถึงกาลอวสาน
ในปี 2011 Blockbuster เหลือสาขาอยู่ 300 แห่ง จนเมื่อ 2 ปีก่อน Blockbuster ยังมีร้านอยู่มากกว่า 10 แห่งทั่วสหรัฐฯ แต่ก็ทยอยปิดไปเรื่อยๆ โดยสาขาที่พออยู่ได้ รวมถึงในโอเรกอน ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว, เพื่อให้คนมาถ่ายรูป และรำลึกความหลังของวัฒนธรรมดูหนังในอดีต มากกว่าจะมาเช่าแผ่น DVD ไปดูกันจริงๆ
พลาดมหันต์เหตุเมินซื้อ Netflix
ในวันนี้วันที่ธุรกิจเช่าวิดีโอ และ Blockbuster กำลังจะกลายเป็นอดีต และประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์แบบในอนาคตอันใกล้ มีบทวิเคราะห์เกี่ยวกับโอกาส, ความผิดพลาด และสาเหตุที่ทำให้ Blockbuster ไม่ได้ไปต่อออกมามากมายแต่เหตุการณ์ที่น่าจะเรียกได้ว่า "พลาดอย่างมหัน" ที่สุดสำหรับ Blockbuster ก็น่าจะเป็นการตัดสินใจ "ไม่ซื้อ" Netflix นั่นเอง
ในช่วงต้นปี 2000s จอห์น แอนติโอโก ผู้บริหารของ Blockbuster เคยเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัทหน้าใหม่อย่าง Netflix ของ รีด เฮสติ้งส์ ที่เป็นทั้ง ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ด้วยราคาประมาณ 50 ล้านเหรียญฯ
ตอนนั้น Netflix ยังเพิ่งเริ่มธุรกิจ และเน้นประกอบกิจการด้านให้เช่าแผ่น DVD ด้วยการส่งไปทางไปรษณีย์อยู่เลย และกำลังจะมีแผนที่จะหันไปเน้นธุรกิจเผยแพร่หนังผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่ง แอนติโอโก ที่ได้ชื่อว่าบริหารงานเก่ง และเป็นนักเจรจาชั้นยอดก็ยอมรับว่าเขาตัดสินใจพลาดไป
"บางทีการจัดการ และวิสัยทัศน์มันก็เป็นคนละเรื่องกัน เรามีโอกาสซื้อ Netflix ในราคา 50 ล้านเหรียญฯ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ตอนนั้นพวกเขายังขาดทุนอยู่ แล้วก็พยายามยื่นข้อเสนอมา 2 - 3 รอบได้"
ขณะที่ แบร์รี แม็คคาร์ธี อดีตหัวหน้าฝ่ายการเงินของ Netflix ได้เล่าเรื่องถึงนี้ในการให้สัมภาษณ์กับบล็อก Unofficial Stanford ว่า "ผมจำได้เลยว่าตอนนั้น ผม, รีด (เฮสติ้งส์) แล้วก็ มาร์ค แรนดอล์ฟ เดินทางไปดัลลัส เพื่อคุยกับ จอห์น แอนติโอโก"
"ตอนนั้น รีด คิดว่าจะเสนอให้พวกเขา (Blockbuster) ดูแลงานของร้านให้เช่าแผ่น DVD ส่วนเราจะขอดูแลด้านออนไลน์ สุดท้ายพวกนั้นแทบจะหัวเราะใส่หน้าเราเลย"
เมื่อคิดจะขยับทุกอย่างก็สายเกินไป
แน่นอนว่าเมื่อมองในวันนี้แล้ว Blockbuster ตัดสินใจผิดพลาดอย่าง 100% แต่หากย้อนกลับไปในปี 2005 ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ Blockbuster จะทิ้งธุรกิจร้าน DVD ที่มีสาขามากถึง 9,400 แห่งทั่วสหรัฐฯ และมีลูกจ้างมากถึง 84,000 คน
ไม่ใช่ว่า Blockbuster จะไม่พยายามทำอะไรเลย พวกเขาเคยเริ่มบริการให้เช่าแผ่น DVD ทางไปรษณีย์แบบ Netflix ในปี 2004 และจับมือกับ Dish Network ในการเริ่มให้บริการหนังทางออนไลน์ จนมีสมาชิกถึง 2 ล้านคน ขณะที่ตอนนั้นยอดสมาชิกของ Netflix อยู่ที่ 6 ล้านคน และทำให้หุ้นของ Blockbuster ที่ดิ่งเหวเหลือ 0.08 เหรียญฯ เด้งขึ้นมาเป็น 0.32 เหรียญฯ
ชัดเจนว่า Blockbuster รู้อยู่แล้วว่าธุรกิจ "ความบันเทิงในบ้าน" กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป และพยายามดิ้นรนเปลี่ยนแปลงอยู่พอสมควร แต่ Blockbuster ก็ขยับช้าเกินไป, น้อยเกินไป และเปลี่ยนแปลงได้ไม่ตรงเป้าเพียงพอ Blockbuster กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ตัดสินใจช้า และไปให้ความสำคัญในเรื่องอื่นๆ อย่างราคาหุ้นมากกว่าเรื่องของการตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของแฟนหนัง
สุดท้ายทุกอย่างจึงสายเกินไป
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ดี Blockbuster ที่ได้ยื่นฟ้องล้มละลายไปตั้งแต่ปี 2010 หลังขาดทุนปีเดียวสูงถึง 1 พันล้านเหรียญฯ ยังคงมีร้านเช่าหนังเหลืออยู่อีกถึง 1 สาขา ก็อาจจะนับว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว