xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตช่อง 3 จับตาช่อง One-PPTV ส่งสัญญาณท้ารบ !!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต้องบอกว่าสถานการณ์ของช่อง 3 ณ เพลานี้ เดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่า “หลังชนฝา” แล้วจริงๆ

ก่อนหน้านี้ เป็นที่รู้กันว่าช่อง 3 เป็นรองก็เพียงแค่ช่อง 7 แต่ทุกวันนี้โลกหมุนไปไกลแล้ว ผู้บริโภคมีช่องทีวีใหม่ๆ เป็นทางเลือกมากยิ่งขึ้น แม้ว่าโดนศักดิ์ศรีจะรั้งอยู่ในอันดับเดิม แต่ก็รู้กันโดยนัยว่าเป็นอันดับที่ง่อนแง่นเต็มที

ด้วยดูเหมือนว่าคอนเทนต์ในทุกๆ หมวด พร้อมใจกันอยู่ในจุดวิกฤต ชนิดที่ว่าสามารถสะเทือนถึงบัลลังก์รองแชมป์ที่ยึดครองมาอย่างยาวนาน

ถ้าจะจำแนกแจกแจงกันเป็นแต่ละหมวด ก็อาจจะทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ในหมวดของข่าว ก่อนหน้านี้ต้องบอกเลยว่าช่อง 3 เป็นเจ้าแห่งข่าวเช้า ที่หาใครมาเทียบเคียงได้ยาก โดยมีกำลังหลักอย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” เป็นแม่ทัพสำคัญในการเรียกเรตติ้ง ในฐานะที่เป็นนักเล่าข่าวเบอร์หนึ่ง ที่มีสไตล์โดดเด่น ที่คาแรกเตอร์ที่ชัดเจน มีสไตล์การเล่าข่าวแบบถึงลูกถึงคน และคมชัด ตรงประเด็น กระทั่งสามารถนำพาให้รายการข่าวเช้าอย่าง “เรื่องเล่าเช้านี้” ครองหน้าจอมาอย่างยาวนานนับเป็นสิบปี โดยที่กระแสยังแรงดีไม่มีตก

จวบกระทั่งมีเหตุที่ทำให้สรยุทธต้องยุติบทบาทในฐานะผู้ประกาศข่าวทางหน้าจอทีวี ด้วยเหตุอันเนื่องมาจากคดีทุจริตเงินค่าโฆษณาของ อสมท. นั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่กระทบถึงเรตติ้งของรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ที่ส่งผลต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ แม้จะมีการเพียรพยายามในการเปลี่ยนตัวผู้ที่นั่งเก้าอี้ผู้ประกาศข่าวมาหลายครั้งหลายคน แต่ก็ไม่ทำให้เรตติ้งที่ดำดิ่งลงกระเตื้องขึ้นมาได้ เพราะต้องยอมรับว่าคนดูยึดติดกับตัวบุคคล นั่นคือสรยุทธมาเป็นลำดับแรก เมื่อไม่มีสรยุทธ ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรที่จะยึดเหนี่ยวคนดูให้ตามติดรายการได้เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่คนที่เสพข่าวเช้า จะกดรีโมทย้ายไปติดตามรายการข่าวจากช่องอื่น ที่มีอะไรดึงดูดใจมากกว่า

แม้กระทั่งกลยุทธล่าสุดที่ผ่าแบ่งแวลาออกเป็น 2 รายการ คือ “เรื่องเล่าหน้า 1” ก่อนจะต่อด้วย “เรื่องเล่าเช้านี้” ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยเยียวยาให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างที่หมายมั่นไว้

มาดูในส่วนของละครที่เคยเป็นผังรายการที่ถือว่าแข็งแรงที่สุดของช่อง แม้ว่าจะยังไม่สามารถเอาชนะอันดับ 1 อย่างช่อง 7 ได้อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่มีคู่แข่งรายใดเผยอหน้าเข้ามาทำให้ช่อง 3 ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่น่าวิตกมากเท่านี้

แต่นั่นไม่ใช่ในยุคของทีวีดิจิทัล ที่ละครของช่อง One โดยฝีมือของ “คุณหนูบอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ” สามารถก้าวเบียดขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ไม่ใช่เฉพาะกับช่อง 3 แต่อาจจะหมายรวมถึงช่อง 7 ด้วยซ้ำไป

โดยเฉพาะละครในล็อตล่าสุด อย่าง “เมีย 2018” ที่กำลังจะรูดม่านปิดฉากกันในสัปดาห์หน้านี้แล้ว

ปรากฏการณ์ความแรงของ “เมีย 2018” ไม่เพียงแต่จะแจ้งเกิดในนางร้ายหน้าใหม่ อย่าง “มารี เบิร์นเนอร์” ในบท E กันยา โดดเด้งขึ้นมา ทั้งที่อยู่ในวงการมาถึง 7 ปี และพยายามจะเอาดีกับบทนางเอกแต่ก็ไม่รุ่ง แถมยังเคยสร้างคดีฉีกสัญญากับช่อง 3 ทิ้ง แล้วประกาศตนเป็นนักแสดงอิสระแบบไม่ง้อช่องใหญ่

รวมถึงยังสร้างให้นักแสดงดาวรุ่ง อย่าง “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” ก้าวขึ้นมาเป็น “สามีแห่งชาติ” คนล่าสุด ที่มีสาวๆ พร้อมใจกันถือธงเชียร์ #ทีมบอสวศิน กันทั่วบ้านทั่วเมือง

แต่ความสำเร็จแบบพลิกความคาดหมายของ “เมีย 2018” ยังสร้างปรากฏการณ์ล้มยักษ์ 2 ช่องได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

โดยไล่จากวันจันทร์ที่ 13 ส.ค. ที่จริตมารยาของ E กันยา สามารถโกยเรตติ้งไปได้ถึง 4.0 เรียกว่าทิ้งห่าง “ดวงใจในไฟหนาว” ของช่อง 3 ที่แม้จะมี “เจมส์ มาร์” เป็นตัวชูโรง แต่ก็ได้เรตติ้งเพียงแค่ 2.4 แม้จะยังไม่สามารถโค่นแชมป์อย่างช่อง 7 ที่ส่ง “ลูกไม้ลายสนธยา” มาโกยคะแนนนิยมไปได้ด้วยเรตติ้งสูงถึง 4.4

ต่อเนื่องมาถึงวันอังคารที่ 14 ส.ค.เมื่อ “เมีย 2018” ดำเนินมาถึงตอนที่ E กันยา โดนอรุณาตบจนหน้าคว่ำ เรตติ้งก็พุ่งฉิวมาถึง 4.8 เรียกว่าไล่หลัง “ลูกไม้ลายสนธยา” ที่ได้ 4.9 แบบหายใจรดต้นคอ ขณะที่ “ดวงในในไฟหนาว” ก็หนาวสะท้านต่อ เพราะได้เรตติ้งไปเพียงแค่ 2.5

และแล้วการล้มยักษ์ก็เกิดขึ้น ในค่ำคืนของวันจันทร์ที่ 20 ส.ค. เมื่อ “เมีย 2018” สามารถเอาชนะ“ลูกไม้ลายสนธยา” ไปได้ด้วยเรตติ้ง 4.9 ต่อ 4.6 ในขณะที่ฝั่งช่อง 3 ได้ไปเพียงแค่ 2.1 เรียกว่าเทียบกันไปติดเลยทีเดียว เพราะแพ้กระทั่ง “วิมานจอเงิน” โปรแกรมละครดี 4 วันรวดของช่อง One ที่สัปดาห์นี้ซัดไปได้ถึง 2.7 จากที่ก่อนหน้านี้ได้เพียงแค่ 1 ต้นๆ

จากปรากฏการณ์ออเจ้าของ “บุพเพสันนิวาส” ที่เคยทุบสถิติล้มแชมป์อย่างช่อง 7 ได้แบบราบคาบขาดลอย วันนี้ช่อง 3 กลับเดินมาถึงจุดที่โดนละครของช่อง One เบียดจนตกขอบ

หรือบางทีโมเดลการทำละครด้วยระบบเดิมของช่อง 3 อาจจะไม่เอื้อสำหรับในยุคที่การแข่งขันสูงแบบนี้

ข้อดีของการทำละครแบบสำเร็จรูป คือถ่ายทำจนจบก่อนออนแอร์ ที่เคยเป็นจุดเด่นของช่อง 3 ที่ได้ในแง่ของคุณภาพ ความพิถีพิถัน อาจจะกลายเป็นจุดด้อยในยุคนี้ไปเสียแล้ว เพราะไม่สามารถที่จะเล่นกับกระแสของคนดูได้ ถ้าเทียบกับละครของช่อง 7 หรือกระทั่งช่อง One ที่ใช้ลักษณะถ่ายทำไป ออกอากาศไป ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ได้

อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ละคร “บุพเพสันนิวาส” กลายเป็นวาระแห่งชาติที่คนพูดถึงกันอื้ออึงทั่วบ้านทั่วเมือง สามารถสร้างสถิติเป็นละครที่เรตติ้งสูงสุดตั้งแต่มีทีวีดิจิทัล แต่ก็มาแบบสำเร็จรูป คือทำมาเพียงแค่ 15 ตอน จะขยับปรับเปลี่ยน หรือขยายตอนตามกระแสก็ทำไม่ได้แล้ว ดีที่สุดก็ทำได้เพียงเพิ่ม 3 ตอนพิเศษ ที่เป็นเพียงการนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ก่อนจะนำกลับไปรีรันในช่วงละครเย็น ในแบบฉบับตัดต่อใหม่ ในอีก 1 เดือนถัดไป

ในขณะที่ “เมีย 2018” สามารถเล่นกับกระแสคนดูได้อย่างเต็มที่ เพราะละครยังถ่ายทำไม่จบ ยังสามารถปรับเปลี่ยนทิศทาง หรือกำหนดจุดจบของละครได้แบบไม่มีข้อจำกัด หรืออยากจะถ่ายทำเพิ่มฉากไหน ซีนไหน จะยืดบทอีกกี่ตอน เพื่อขานรับกระแสที่กำลังมาก็พร้อมจะทำได้ทุกเมื่อ

ที่สำคัญละครช่อง One ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีหนังสือเฉพาะกิจออกมาวางจำหน่าย เพราะฉะนั้นก็สามารถพลิกมุม หักมุม หรือเซอร์ไพรซ์คนดูอย่างไรก็ย่อมทำได้ โดยเฉพาะกับ “เมีย 2018” ที่นอกจากจะไม่มีใครสามารถคาดเดาตอนจบของละครได้แล้ว ช่อง One ยังปั่นกระแสอย่างต่อเนื่องด้วยการดึงคนดูเข้ามาร่วมดูการถ่ายทำฉากจบ ซึ่งไม่เพียงจะได้จากพลังคนดูที่จะมาร่วมด้วยช่วยกันกระหน่ำแชร์ในสื่อโซเชียล เผลอๆ ยังได้ตัวประกอบมาเข้าฉากโดยไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว ช่างเป็นกลยุทธที่ดีงามอะไรเช่นนี้

จากหมวดของละคร ก็มาถึงหมวดรายการ ก็ถือว่าสถานการณ์อยู่ในจุดเสี่ยงที่ทำให้ช่อง 3 หายใจไม่ทั่วท้องไม่ต่างกัน

เมื่อรายการใหญ่ๆที่ดูจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับช่อง พร้อมใจกันย้ายตัวเองออกจากวิก 3 พระราม 4 ไปสู่ช่องอื่น โดยมิได้นัดหมาย

เริ่มจาก Thailand’s Got Talent ที่ย้ายไปเปิดตัวซีซัน 7 ที่ช่องเวิร์คพอยท์ หลังจากที่ผูกสมัครอยู่ที่ช่อง 3 มานานถึง 6 ซีซัน ก่อนจะพักเบรกไป 2 ปี

การดึงรายการ Thailand’s Got Talent ข้ามมาอยู่ในช่องเวิร์คพอยท์ ถือว่าเป็นเดิมพันที่สูงเอาการทีเดียว จากเมื่อตอนอยู่ช่อง 3 ที่ออกอากาศในช่วงเย็นๆ ของวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นเวลาทองของครอบครัว แต่ครั้งนี้เวิร์คพอยท์เลือกที่จะจัดผังให้ลงในโปรแกรมหลังข่าววันจันทร์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่ช่องอื่นๆ มักจะต่อสู้ด้วยผังละคร อาจจะด้วยความคาดหมายว่าจะใช้รายการวาไรตี้มาล้มแชมป์ละครเหมือนที่เคยประสบความสำเร็จจาก The Mask Singer มาแล้ว งานนี้เรียกว่าเป็นการวัดใจว่าจะมีซีซันที่ 8-9-10 ต่อไปมั้ย !!?? เพราะถ้าที่สุดแล้วเรตติ้งไม่เป็นไปตามเป้า ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะถึงกาลอวสานแค่ซีซันที่ 7

นอกจากจะเสีย Thailand’s Got Talent ให้กับช่องเวิร์คพอยท์ ยังเสีย The Voice และ The Face ให้กับช่อง PPTV อีกต่างหาก

ต้องบอกว่าการดูด 2 รายการใหญ่ๆ ของช่อง 3 ไปยังช่อง PPTV ครั้งนี้ น่าจับตามองไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า PPTV พร้อมที่จะผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับ Top 10 ของช่องดิจิทัล ตามที่เคยลั่นวาจาไว้เมื่อตอนต้นปี ก่อนจะบุกไปสู่อันดับ Top 5 ในปีถัดไป ซึ่งประเมินจากรูปการแล้ว ถือว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว ด้วยเหตุแห่งปัจจัยดังนี้

PPTV เป็นช่องที่มี “นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2560 มีมูลค่า 6.3 หมื่นล้านบาท เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารสูงสุด ซึ่งนอกจากช่อง PPTV แล้ว ยังถือหุ้นใหญ่อยู่ในช่อง One ด้วย เพราะฉะนั้นจึงหมดห่วงในเรื่องของเงินลงทุนในการที่จะนำมาต่อยอด พัฒนาช่อง หรือคว้านซื้อคอนเทนต์ดีๆ มาไว้ในมือ

และต้องไม่ลืมว่า PPTV ในยุคนี้ ขับเคลื่อนด้วย 2 แม่ทัพใหญ่ อย่าง “สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” กับ “พลากร สมสุวรรณ” ถือเป็นการรวมตัวกันของกุนซือแถวหน้าของทั้งช่อง 3 และช่อง 7 มาไว้ในที่เดียว ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่สามารถนำความเชี่ยวชาญทั้งในเรื่องของการวางกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงความเจนจัดในเรื่องของการคัดเลือกคอนเทนต์ดีๆ มาใช้กับช่องนี้ได้อย่างเต็มที่ ยังไม่นับรวมถึงคอนเนกชั่นต่างๆ ในมือที่มีอยู่มากมาย ทั้งบรรดาเอเจนซีต่างๆ ทั้งบรรดาผู้จัด ผู้ผลิต ที่สามารถดึงเข้ามาร่วมงานได้อย่างไม่ยากเย็น

การที่รายการใหญ่ๆ อย่าง The Voice ก็ดี หรือ The Face ก็ดี เลือกที่จะย้ายจากช่อง 3 มาอยู่ช่อง PPTV ซึ่งโดยศักดิ์ศรีแล้วถือว่าด้อยกว่ามากนั้น นั่นหมายถึงว่าความยิ่งใหญ่ของช่อง 3 ไม่ได้พลังมากพอที่จะดึงดูดใจผู้ผลิตรายการใหญ่ๆ เหล่านี้ ไม่ให้ไหลไปช่องคู่แข่ง โดยเฉพาะช่องที่เล็กกว่า คือถ้าไหลไปช่อง 7 ก็คงจะไม่เจ็บปวดหัวใจมากเท่ากับการย้ายไปช่อง PPTV แบบนี้

แต่กระนั้นสิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อไป ก็คือการข้ามมาของ The Voice กับ The Face นั้น จะมีฟีดแบกอะไรสะท้อนกลับมาที่ PPTV หรือไม่ ? อย่างไร ? เพราะถึงแม้จะสามารถดูดคอนเทนต์จากช่อง 3 มาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะขาด เพราะยังมีปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มากมาย ที่จะต้องนำมาขบคิดกันต่อ ไหนจะเรื่องสปอนเซอร์ที่จะขายลำบากขึ้นมั้ย !!?? (ซึ่งเรื่องนี้ผู้ผลิตรายการ อาจจะไม่ต้องแบกรับความกดดัน เพราะเป็นลักษณะรับจ้างผลิต) หรือดาราใหญ่ๆ จะพร้อมตามมาด้วยหรือเปล่า !!?? เพราะอย่างไรเสีย ในสายตาของบรรดาเอเจนซี หรือดาราทั่วทั้งวงการ ก็ยังคงมองว่า PPTV เป็นรองช่อง 3 อยู่ดี ถ้ายังไม่สามารถเปลี่ยนค่านิยม หรือสร้างความเชื่อมั่นในจุดนี้ได้ ก็เท่ากับว่า PPTV ได้ของดีมาอยู่ในมือ แต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า

แต่นั่นก็ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับสถานะของช่อง 3 ที่ผู้บริหารแทบจะต้องเอามือก่ายหน้าผาก เพราะจะฝากความหวังไว้กับคอนเทนต์อะไร ก็ดูเหมือนจะตีบตันหนทางไปเสียหมด

จากที่เคยพยายามจะล้มแชมป์อย่างช่อง 7 ซึ่งก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว นี่ยังต้องมาเหนื่อยหนักกับการพยายามรักษาตำแหน่งรองแชมป์ ไม่ให้ช่องอื่นๆ โดยเฉพาะช่อง One กับ PPTV มาช่วงชิงไปอีก

เรียกว่าตกอยู่ในวงล้อมของคู่แข่ง ชนิดที่ต้องเรียกว่าถอยก็ไปได้ ไปก็ไม่ถึงจริงๆ !!

นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 457 25 สิงหาคม - 1 กันยายน 2561


กำลังโหลดความคิดเห็น