พูดชื่อ “อดัม แซนด์เลอร์” เชื่อว่า ภาพของหนังที่มาพร้อมกับมุกตลกห่ามๆ แถมด้วยความสัปดน ไปจนถึงทะลึ่งตึงตัง คงจะวาบขึ้นมาในความนึกคิดของใครหลายๆ คน อย่างไรก็ดี นอกจากเป็นเจ้าแห่งความฮา หนุ่มใหญ่จากบรู๊คลีนคนนี้ ยังมีโมเมนต์ดีๆ ที่เป็นความฟีลกู๊ดมอบให้กับคนดูผู้ชมอยู่เสมอๆ
นอกจาก Big Daddy ปี 1999, Happy Gilmore ปี 1996, The Water Boy ปี 1998, The Longest Yard ปี 2005 และอื่นๆ อีกมากมาย Sandy Wexler คืออีกหนึ่งผลงานของอดัม แซนด์เลอร์ ที่ดูแล้วไม่เพียงแค่ได้ความสนุกสนานบันเทิง หากแต่ยังได้รับความรู้สึกดีๆ มอบให้กลับมาเป็นของขวัญ สำหรับการใช้จ่ายเวลาสองชั่วโมงนิดๆ ไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ถึงแม้จะเป็นหนังที่ฉายทางเน็ตฟลิกซ์เมื่อปีที่ผ่านมา แต่พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า คุณภาพอาจจะดีกว่าการไปเสียตังค์ซื้อตั๋วดูหนังฉายโรงใหญ่หลายเรื่องด้วยซ้ำ และที่จริง เน็ตฟลิกซ์ก็มีหนังดีๆ และซีรี่ส์เจ๋งๆ อีกหลายเรื่องมากให้เลือกดู
ตัวละคร “แซนดี้ เว็กซ์เลอร์” นั้นอิงคาแร็คเตอร์มาจาก “บุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง” นามว่า “แซนดี้ เวอร์นิค” ที่ทำงานอยู่ในฮอลลีวูด เขาเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ให้กับซีรี่ส์ชื่อดังหลายต่อหลายเรื่อง รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับรายการโชว์ทางทีวีและภาพยนต์อีกจำนวนหนึ่ง และที่สำคัญก็คือ เขาคนนี้เป็น “ผู้จัดการส่วนตัว” ให้กับนักแสดงและเหล่าเซเล็บคนดังจำนวนไม่น้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “อดัม แซนด์เลอร์” ด้วย ที่แซนดี้ เวอร์นิค เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้อยู่นานพอสมควร
อย่างที่บอกครับว่า หนังเรื่องนี้ “อิงคาแร็คเตอร์” ซึ่งหมายถึงว่า นำเอาบุคลิกลักษณะบางประการของคนต้นแบบมาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวที่เราจะได้เห็นในหนัง จึงไม่อาจนำไปผูกมัดกับเรื่องราวชีวิตจริงของคนต้นแบบ หนังมีการเติมแต่งปรุงรสตามสไตล์ภาพยนตร์บันเทิงเรื่องหนึ่ง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่า เป็นการ “ป้องกัน” ตัวเองได้อย่างดีสำหรับคนทำหนังเรื่องนี้ก็คือ การเปลี่ยนนามสกุลจาก “เวอร์นิค” เป็น “เว็กซ์เลอร์” ไปเลย และตั้งแต่ต้นเรื่อง หนังก็เปิดฉากด้วยการให้ใครต่อใครมายืนและนั่งอยู่หน้ากล้องแล้วพูดถึงแซนดี้ เวอร์นิค ซึ่งก็สุดแท้แต่ใครจะว่าไปอย่างไร บางคนเคยเห็นด้วยตาตัวเอง บางคนฟังเขาเล่าๆ มา นั่นหมายความว่า หนังเรื่องนี้กำลังแต่งสีเติมรสที่ไม่ผุดผ่องหมดจดเหมือนกับ “สารคดีชีวิตจริง” หรือหนังที่อิงมาจากเรี่องราวชีวิตจริง
แต่ถึงกระนั้น ต้องยอมรับครับว่า การ “แต่งสีเติมรส” และ “เขียนบท” ออกมา สำหรับงานชิ้นนี้ มันเป็นอะไรที่ดูแล้วมีความประทับใจจริงๆ
เรื่องราวโดยย่อ พูดถึง “แซนดี้ เว็กซ์เลอร์” (อดัม แซนด์เลอร์”) ชายผู้มีความฝันเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ จะว่าเขาเป็น “ผู้จัดการ” หรือ “นักปั้น” ก็ได้ทั้งนั้น เพราะวันๆ เขาจะเสาะแสวงหา “แววดาราคนดัง” ในตัวของคนทั่วไปเพื่อนำเข้าวงการ แต่จากหลายๆ คน หลายๆ กรณี ก็บอกได้ชัดเจนว่าเขาดูเหมือนจะเป็นได้เพียงแสงริบหรี่บนเส้นทางสายนี้ จนกระทั่งเขาได้พบกับ “คอร์ทนี่ย์ คล้าร์ก” ผู้เปรียบเสมือนเพชรที่เขาไปค้นมาจากตม คอร์ทนี่ย์กลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ชนิดที่เทียบรัศมีกับวิทนี่ย์ ฮูสตัน หรือมารายห์ แครี่ย์ ได้อย่างสบายๆ
อย่างไรก็ดี ในขณะที่แซนดี้ เว็กซ์เลอร์ ดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจว่ารู้สึกอย่างไรต่อเธอผู้เป็นเพชรเม็ดใหม่ แต่คนดูผู้ชมจะรู้สึกแน่ใจได้ตั้งแต่ต้นๆ เรื่องแล้วว่า ตัวละครอย่าง “แซนดี้ เว็กซ์เลอร์” นั้นมีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งก็เหมือนกับที่ใครบางคนพูดถึงเขาว่า ถ้าคุณมีโอกาสได้เจอกับเว็กซ์เลอร์สักครั้งแล้ว คุณจะไม่มีวันลืมเขาลง ท่าทางการพูดจาที่ดูคล้ายคล่องแคล่วด้วยไหวพริบแต่จะทำให้คุณงุนงงว่าในคำพูดเหล่านั้นมีความจริงอยู่มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ รวมถึงการปรบมือและหัวเราะฮ่าๆ แทบกับทุกสถานการณ์ นั้นล่ะ เป็นเสมือนโลโก้ของเขาเลย กล่าวโดยรวมแล้ว ถ้า “คาแร็คเตอร์” ของแซนดี้ เวอร์นิค มีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่จริง ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องดีงามมากที่หนังเลือกเอาคาแร็คเตอร์ของเขามาเล่าผ่านตัวละครแซนดี้ เว็กซ์เลอร์ เพราะผลลัพธ์ของมันคือความฮาแทบทุกครั้งที่เขาปรากฎตัวในฉาก และอดัม แซนด์เลอร์ ก็ถ่ายทอดคาแร็คเตอร์นี้ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวามาก
หนังมีความตลกในระดับที่ไม่ธรรมดา ทั้งตลกสถานการณ์ ตลกจากไดอะล็อกบทสนทนา เรียกว่ามีมุกให้ฮาอยู่เรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง ซึ่งนอกจากตัวละครหลักอย่างอดัม แซนด์เลอร์ หนังยังมีอีกหลายแคสต์ที่ล้วนแล้วแต่เติมเต็มสีสันความสนุกให้กับหนัง และคนที่จำเป็นต้องพูดถึงเป็นพิเศษอีกหนึ่งคนก็คือ “เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน” นักร้องนักแสดงและนางแบบผู้แจ้งเกิดมาจากรายการอเมริกันไอดอลซีซั่น 3 ซึ่งเคยได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมมาแล้วจากบท “เอฟฟี่ ไวต์” ในเรื่อง Dreamgirls เมื่อปี 2006
เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน กับบทบาท “คอร์ทนี่ย์ คล้าร์ก” หญิงสาวผู้แบกความฝันเต็มเปี่ยมมาจากอะล้าสก้า เธอมีผู้เสียงร้องเพลงเหมือนกับนกและนางฟ้ากำลังคลอดลูก (อันนี้เป็นคำเปรียบเปรยของเว็กซ์เลอร์ 555) ดังนั้นความไพเราะเพราะพริ้งไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว และหนังก็ทำเพลงประกอบออกมาได้เจ๋งมากๆ เหมาะสมกับดาราที่มารับบทซึ่งมีดีกรีเป็นถึงศิลปินนักร้อง อย่างเพลง Mr.DJ ที่ส่งให้คอร์ทนี่ย์กลายเป็นที่รักของคนทั่วโลก รวมถึงเพลงหวานๆ ซึ้งๆ อย่าง Butterfly ที่แม้จะไม่เต็มเพลง แต่ทว่ากินใจทั้งเนื้อร้องและเสียงร้องที่ทรงพลังของเจนนิเฟอร์ และมีคนดูผู้ชมจำนวนมากถึงกับไปคอมเมนท์เรียกร้องในช่องของเน็ตฟลิกซ์ว่าอยากให้ทำเพลงเวอร์ชั่นเต็มออกมาและจะรอซื้อ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับหนังเรื่องนี้ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน กับบทคอร์ทนี่ย์ เธอคือส่วนที่เข้ามาเติมเต็มมิติด้านความโรแมนติกให้กับหนังได้อย่างงดงาม ทำให้ชีวิตเว็กซ์เลอร์เหมือนกับมีผีเสื้อหลายร้อยตัวโบยบินอยู่ในหัวใจ...
เอาเข้าจริง สิ่งที่ผมคิดว่าตนเองจับต้องได้มากที่สุดจากการดูหนังเรื่องนี้ คือชีวิตของคนๆ หนึ่งซึ่งแม้จะดูคล้ายไม่ค่อยเต็ม แต่หัวจิตหัวใจของเขา “เต็ม” มากๆ โดยเฉพาะกับคนที่เขาต้องรับผิดชอบหรือเป็นผู้จัดการให้ ทุกคนต่างก็ยอมรับว่า เว็กซ์เลอร์ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับคนในครอบครัว ดูแลอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถ
Sandy Wexler คือหนังฟีลกู๊ดที่พูดถึงมนุษย์ดีๆ คนหนึ่ง ซึ่งดูแล้วยากจะลืมลง เหมือนกับใครที่ได้พบกับเว็กซ์เลอร์แล้วลืมไม่ได้ แนะนำให้ดูครับ