xs
xsm
sm
md
lg

10 เต็ม 10!! : Mission Impossible 6

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


นับเป็นแฟรนไซส์ที่ยืนยงคงกระพันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง สำหรับ “มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล” ซึ่งถ้าย้อนกลับไปจริงๆ งานชุดนี้มีอายุไม่น้อยกว่าครึ่งร้อยปี ตั้งแต่เป็นทีวีซีรี่ส์ ก่อนจะกลายเป็นหนังชุดฉายโรงซึ่งมีทอม ครูซ นำแสดง เริ่มตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 1996 จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 22 ปีแล้ว ขณะที่พระเอกของเรื่องก็ยังเป็นคนเดิม

แต่ถึงแม้ว่า วันเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด แต่เชื่อว่า เสน่ห์ของหนังสายลับชุดนี้ก็ยังคงครองใจคนดูผู้ชมได้ไม่สร่างซา โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือฉากแอ็กชั่นลุ้นระทึก ซึ่งหนังทำได้ดีมาตั้งแต่ต้น เรียกว่าแต่ละภาคต่างก็มี “ฉากในความทรงจำ” ที่ติดอยู่ในใจด้วยกันทั้งนั้น

ไล่ตั้งแต่ภาคแรก (Mission: Impossible, 1996) ที่อีธาน ฮันต์ ต้องโรยตัวลงมาจากเพดานโดยมีลวดเส้นเล็กๆ พยุงร่างกายไว้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้คนดูหายใจแทบไม่ออกเพราะลุ้นระทึกไปด้วยก็คือ ตัวของเขาจะต้องห้ามแตะถูกพื้นเป็นเด็ดขาด เพราะมันหมายถึงความเป็นความเป็นความตาย

มาถึงภาคที่ 2 (Mission: Impossible, 2000) ฉากปีนหน้าผา และโหนตัวกับหน้าผา นี่เรียกว่า หวาดเสียวสุดๆ โดยเฉพาะคนที่กลัวความสูง ... พอภาคที่ 3 ปี 2006 กับฉากที่อีธาน ฮันท์ โดนไล่ล่าบนสะพานชนิดที่เรียกว่าเกือบเอาตัวไม่รอด คนดูก็ลุ้นเอาใจช่วยกันสุดฤทธิ์ พอถึงภาค 4 (ปี 2011) นี่ยิ่งไปกันใหญ่ อีธาน ฮันท์ จัดหนักเล่นใหญ่กว่าเดิมอีกหลายเท่า เมื่อเขาต้องปีนตึกที่สูงที่สุดในดูไบ ท้าทายกับความตายอย่างถึงที่สุด

และเมื่อสามปีก่อน กับหนังภาค 5 ที่อีธาน ฮันท์ แสดงความระห่ำอีกครั้งกับภารกิจไต่ตัวเกาะอยู่ภายนอกตัวเครื่องบินราวกับไม่กลัวความตาย แต่ผลลัพธ์นั้นมันเกินคำบรรยาย เพราะทำให้ผู้ชมนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ เพราะลุ้นระทึกไปกับเขา ... และสำหรับภาค 6 มีอะไรยังไงบ้างนั้น สำหรับคนที่ได้ดูแล้วก็คงจะเห็น ... ฉากทิ้งตัวจากเครื่องบินที่ความสูงมากกว่าสองหมื่นฟุต, ฉากขับเฮลิคอปเตอร์ หรือแม้แต่ฉากกระโดดข้ามตึก เรียกได้ว่า หนังมีการตระเตรียมวางแผนให้คนดูได้รู้สึกหวาดเสียวอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

กับความบ้าระห่ำของอีธาน ฮันท์ สายลับ IMF แท้จริงแล้วก็ต้องกล่าวชมว่าเป็นผลมาจากการแสดงของ “ทอม ครูซ” ที่ลงทุนเล่นจริง และเจ็บจริง ในหลายๆ ครั้ง อย่างภาคล่าสุดนี้ (Fallout) เขาก็ลงทุนเล่นฉากกระโดดข้ามตึกข้อเท้าหักไปสองท่อน ฟังแล้วก็คิดถึงนักแสดงชาวเอเชียอีกคนคือ “เฉินหลง” รายนั้นก็เล่นจริงเจ็บจริงจนร่างกายนี่พูดได้ว่า ผ่านการบาดเจ็บมาแล้วทุกส่วน

นี่คือความระห่ำของนักแสดงที่ต้องการ “ความสมจริง” ให้มากที่สุด และทอม ครูซ ก็ไม่เคยทำให้คนดูผิดหวัง กับฉากแอ็กชั่นต่างๆ ที่แสดง

ผมเชื่อว่า นอกเหนือไปจากแอ็กชั่นมันส์ระห่ำในทุกภาค อีกมุมหนึ่งซึ่งถือเป็น “กิมมิค” หรือภาพจำของหนังชุดนี้ก็คือ เรื่องของการปลอมแปลงหน้า จนกลายเป็นว่า ถ้าพูดถึงมิชชั่น อิมพอสสิเบิ้ล ก็มีอันต้องวกไปพูดถึงแง่มุมนี้ และสำหรับภาค 6 หนังก็เล่นกับการปลอมแปลงหน้าอย่างได้ผล และไม่ใช่เป็นเหมือนแค่การ “เล่นกลลวงตา” หากแต่ยังใช้เพื่อภารกิจบางอย่างชนิดที่พอเฉลยออกมาแล้วมีอันต้องอึ้งและทึ่ง

สำหรับภาคที่ 6 ซึ่งใช้ชื่อว่า Mission: Impossible Fallout ตัวเรื่องราวเรียกได้ว่ามีหลายมิติมาก มันมีการขมวดเอาปมหลายๆ อย่างและตัวละครในภาคเก่าๆ ที่ผ่านมา นำมาผสมผูกและเฉลยปมที่ยังค้างคาใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการหายตัวไปของภรรยาของอีธาน ฮันท์ ... ทอม ครูซ เอง ในฐานะโปรดิวเซอร์ของหนังก็ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า มีหลายคนถามถึง “มาเรีย” ภรรยาของฮันท์ที่หายไปตั้งแต่ภาค 3 และครูซก็นำมาบอกกล่าวเล่าแจ้งกับเราในภาคนี้ ขณะที่ตัวละครอดีตสายลับอย่าง “โซโลมอน เลน” จากภาคที่ 4 ก็ถูกนำมาเล่ามาเล่นอีกครั้ง เช่นเดียวกับการกลับมาของสายลับหญิง “อิลซ่า” ก็พูดได้ว่าเธอมีส่วนอย่างมากในการเป็นออร่าของหนังที่ก่อร่างเป็น “ปม” อีกปมหนึ่ง

หลายคนถามว่า ถ้าเราไม่เคยรู้จักตัวละครเหล่านี้มาก่อน หรือพูดง่ายๆ ไม่เคยดูหนังภาคเก่าๆ มาก่อน จะเข้าใจไหม ... ตอบได้ว่า ไม่มีปัญหาครับ เพราะในขณะที่มีการ “เปิดตัว” ตัวละครเหล่านั้น หนังก็มีการเท้าความผ่านบทพูดเพื่อให้ข้อมูลกับคนดูอยู่พอสมควร ซึ่งช่วยให้สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก และทั้งหมดทั้งมวลที่หนังดึงมาใช้ ก็เป็นการเพิ่มเติมเนื้อหาเรื่องราวให้มีความเข้มข้น มีความดราม่ายิ่งขึ้น ผมเชื่อว่า มีบางฉากที่อาจทำให้หลายคนน้ำตารื้นได้เลย

มิชชั่น 6 มีความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่เป็น 2 ชั่วโมงครึ่งซึ่งผ่านไปไวมาก นั่นอาจเป็นเพราะว่าหนังมีความสนุกและฉับไวในการดำเนินเรื่อง ดึงดูดเราได้ชนิดที่เรียกว่าทุกวินาทีของหนัง นอกจากแอ็กชั่นที่ค่อยยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงจุดที่พีคสุดๆ ใช่วงท้ายเรื่อง หนังยังมีอารมณ์ขันที่ช่วยขันเกลียวความลุ้นระทึกอย่างตึงเครียดให้ผ่อนคลายลงบ้าง (จะบอกว่าอารมณ์ขันหรือความตลกทุกฉากนั้น เจ๋งมากๆ) นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องความดราม่าครับ อย่างที่บอก มีซึ้งหนักๆ หนังภาคนี้

สรุปแล้ว ก็คือ นี่เป็นหนังแอ็กชั่นครบรส ทั้งมันส์ระห่ำ ทั้งขำตลก และทั้งมีมุมที่ชวนโศก แต่ก็เป็นโศกที่ชวนซึ้ง เป็นหนังแอ็กชั่นที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งของปีนี้ หรือของโลกนี้ก็ว่าได้ครับ!









กำลังโหลดความคิดเห็น