xs
xsm
sm
md
lg

ทิ้งงาน-ทิ้งเงินเพื่อลูก “แอนนี่” หวิดช็อก “น้องฑี” ขาดความรัก เกือบเป็นโรคสมาธิสั้น!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“แอนนี่ บรู๊ค” เลิกรับงานเมืองนอก ตัดใจย้าย “น้องฑี” เข้าโรงเรียนสองภาษาแทนโรงเรียนอินเตอร์ลดค่าใช้จ่าย โทษตัวเองห่วงแต่เรื่องเงินมากเกินไป ทำลูกขาดความรัก เกือบเป็นโรคสมาธิสั้น ด้านลูกชายหลุดลั่นถูกพี่เลี้ยงโมโห พูดคำหยาบใส่

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยต้องบินมาบินไประหว่างเมืองไทยและเมืองนอก เพื่อไปรับงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูกชาย “น้องฑีฆายุ” ล่าสุด “แอนนี่ บรู๊ค” ก็เปิดใจระหว่างมาร่วมงานเก็บภาพบรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายทำ Red rose lip set ของขวัญวันแม่แทนใจ ภายใต้สินค้าแบรนด์ Cathydoll ณ สตูดิโอ Rattanasinsok Studio บอกย้ายลูกชายจากโรงเรียนอินเตอร์มาเป็นโรงเรียนสองภาษาแทน ทุ่มเวลาให้ลูก จนไม่รับงานเมืองนอก ทำให้รายรับน้อยลง

“น้องฑี 8 ขวบแล้วค่ะ เรียนที่โรงเรียนยุวฑูตศึกษา ชั้นป.3 ค่ะ เมื่อก่อนหน้านี้แอนให้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ แต่ช่วงนี้แอนไม่ได้บินแล้ว ก็เลยลดลงมาเหลือเป็นโรงเรียนสองภาษา เพราะพอเราไม่ได้บินแล้วรายรับมันก็น้อยลง รายจ่ายมากขึ้น แต่โรงเรียนสองภาษาก็โอเคอยู่นะคะ อย่างบางคนคิดว่าสองภาษาจะไม่ค่อยดี แต่จริงไม่ใช่ มันอยู่ที่เราที่เราจะคอยสอนเขาหลังจากเลิกเรียนด้วย”

“ถามว่ามีปัญหามั้ย ตอนนี้ต้องเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้นค่ะ เพราะถ้าเป็นสองภาษาต้องเรียนภาษาไทยเยอะกว่าอินเตอร์เยอะเลย หลังเลิกเรียนก็เลยให้เขาเรียนพิเศษภาษาไทยเพิ่มเติมค่ะ”

ปลื้มภาษาอังกฤษดีแต่อ่อนภาษาไทย
ภาษาอังกฤษดีค่ะ แต่ภาษาไทยจะอ่อนนิดนึง (หัวเราะ) ก็ต้องเรียนพิเศษเพิ่มค่ะ เพิ่งย้ายโรงเรียนได้ประมาณ 2 เดือนค่ะ ถือว่าเข้ากลางคัน แต่เพราะตอนนี้โรงเรียนอินเตอร์ปิดอยู่ แต่โรงเรียนสองภาษาเปิดตั้งแต่พฤษภาคม ของน้องเพิ่งเข้าตอนเดือนกรกฎาคมค่ะ”

“เวลาพูดกับลูก เราก็พูดทั้งไทยและอังกฤษค่ะ เพราะตอนเรียนอินเตอร์เขาต้องพูดภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่ตอนนี้ต้องพูดไทยเยอะขึ้น พอกลับมาบ้านก็จะพูดภาษาอังกฤษกับเขา เพื่อเขาจะได้ไม่ลืม”

เผยลูกถูกตามใจจนสมาธิสั้น แต่ยังไม่เข้าข่ายหนัก ให้เวลาลูกมากขึ้น ใช้ธรรมะช่วย
“เมื่อก่อนนี้มีคนช่วยเลี้ยงค่ะ แต่ตั้งบอกว่าเมื่อก่อนตั้งแต่น้อง 3 ขวบ ตอนนี้ 8 ขวบ ก็ช่วง 5 ปีที่แอนไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย ไปเมืองนอกตลอด อยู่กับลูกน้อยมาก แล้วเราก็ให้ที่บ้านเลี้ยงคนแก่เขาเลี้ยงเขาก็รักมากนะ แล้วก็อาจจะตามใจ น้องก็เลยเหมือนเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ของน้องฑียังไม่เข้าข่ายว่าหนัก แต่ก็เริ่มมีอาการบ้างแล้ว”

“แอนเลยไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่าอาจจะเพราะเขาต้องการเรา เรียกร้องความรัก เรียกร้องความสนใจ การที่เขาดื้อหรือซนบางทีเพราะเขาอยากให้เรากอด มานัวเนียอยู่กับเขามากๆ แต่ถ้าคนที่ไม่เข้าใจก็อาจจะรำคาญว่าทำไมลูกเป็นแบบนี้ แต่นี่ดีที่ได้คุณหมอดีและคุณหมอก็แนะนำ คือน้องเพิ่งมาอยู่กับแอนได้เดือนกว่าๆ ก็กำลังปรับตัวเข้าหากัน”

“แอนก็พยายามปรับตัวตามวิถีที่คุณหมอบอก ก็คือให้เขาเล่นเกมน้อยลง ให้ทำกิจกรรมเยอะขึ้น พาเข้าสังคม ตอนนี้ก็ยังมีงอแงอยู่บ้าง เรียกร้องความสนใจอยู่บ้าง แต่ว่าดีขึ้นเยอะแล้ว เป็นเมื่อก่อนนี่เขาวิ่งออกไปข้างนอกถนนแล้วนะคะ ตอนนี้คือดีขึ้นเยอะมากแล้ว นิ่งขึ้นเยอะ เพราะแอนก็ใช้ธรรมะเข้าช่วยด้วย คือเวลาอยู่บ้านก็จะให้เขานั่งสมาธิ สวดมนต์”

แจงเหตุต้องพบหมอเพราะไม่ได้เลี้ยงเอง แถมคนที่เลี้ยงก็ตามใจลูกมากเกินไป เปิดใจต้องอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชม. อยู่ในช่วงปรับตัว
“คือเมื่อก่อนนี้แอนไม่ได้เลี้ยงน้อง แต่คนที่เลี้ยงก็รักน้องแหละ รักมาก แต่บางครั้งก็จะเป็นคุณตา คุณยายซินโดรม คืออย่างเรารักมาก เราก็ให้ทุกอย่างมากจนเกินไป หรือไปไหนก็ยื่นมือถือให้เขา พอกลับมาบ้านก็ให้เล่นเกมคอมพิวเตอร์อย่างเดียว อันนี้ไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความที่รักก็เลยอาจจะตามใจเขามากเกินไป แต่ว่าตอนนี้พอแอนเอาน้องมาอยู่กับแอนทุกอย่างจะเป็นเวลา เขาก็จะหันมาสนใจเรามากขึ้น อาจจะเรียกร้องความสนใจนิดหน่อย แต่เราก็ได้ให้ความรักกับเขาเต็มที่ แล้วเขาก็จะค่อยๆ เรียนรู้ไปเองว่าแม่ไม่ได้ไปไหน ไม่ทิ้ง ไม่ต้องเรียกร้องความสนใจขนาดนั้น”

“ตอนนี้อยู่ด้วยกันตลอด 24 ชม.เลยค่ะ คือไม่ใช่ว่าอยากจะให้มองว่าน้องไม่ปกตินะคะ น้องปกติดี แต่อยู่ในขั้นตอนของการปรับตัว อย่างเมื่อก่อนนี้เล่นเกมเยอะมาก บางทีก็มีอารมณ์ที่ติดมาจากในเกม ติดกิริยาบางอย่างออกมา แต่ตอนนี้ถือว่าดีขึ้นเยอะแล้ว เริ่มเล่นอย่างอื่น เริ่มอ่านหนังสือ เริ่มวาดรูปได้ วาดสวยด้วยนะคะ เพราะบางทีแอนก็จะอัปรูปให้ดูผ่านเฟซบุ๊กผ่านไอจีให้เห็นว่าพัฒนาการของน้องดีขึ้นนะ”

“จากเมื่อก่อนที่ไม่ใช่แค่ไม่ฟัง แต่วิ่งออกไปข้างนอกเลย คือเขาไม่สนใจเสียงแอนเลย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่หันกลับมา แต่ตอนนี้ที่เห็นนั่งอยู่ด้วยกันได้นี่ถือว่าโอเคแล้วค่ะสำหรับแอนนะ ก่อนหน้านี้ทุกคนจะเห็นเลยว่าไม่ใช่แบบนี้ เพราะตั้งแต่แอนเอามาอยู่ด้วยก็จะไม่บังคับเขา ไม่ตี ไม่ดุ ไม่ด่า แต่มีบ้างที่ต้องเตือนกัน เพราะความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ”

น้องฑีฆายุ : “แต่ว่าสิ่งที่คนที่เลี้ยงผมทำก็คือโมโหใส่แม่ผม แล้วก็พูดจาคำหยาบ

แอนนี่ : “ไม่เป็นไรครับ เอาออกไปจากหัวซะ เขาก็จะมีความคิดของเขา บางทีเขาก็จะพูดอะไรกับแอนแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว วันนี้เราอยู่ด้วยกันสองคนแล้ว”

โทษตัวเองห่วงเรื่องเงินจนห่างลูก ไม่ได้รับความรักจากตน
“เขาพูดในความใส ความบริสุทธิ์ของเขา ว่าเขาเป็นยังไง เขารู้สึกยังไง กับตอนช่วงที่เราไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาก็มาเล่าให้แอนฟัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแอนไม่โทษใคร ไม่อะไรทั้งสิ้น โทษตัวเองว่าในวันนั้นที่เราคิดอย่างเดียวว่าอยากจะให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ได้สังคมดีๆ จนตัวเองต้องไปหาเงินที่เมืองนอก เพราะมันหาเงินได้เยอะ แต่มันก็ไม่ได้มีเก็บหรอก เพราะพอกลับมามันก็หมด”

“ที่สำคัญเลยคือเราไม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกเลยจนเขาต้องเรียกร้องความรักจากเรา เพราะช่วงที่มันเกิดอะไรขึ้นเราไม่เห็น เราไม่รู้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนที่เขาดูแลน้องฑีพื้นฐานมาจากความรักทั้งนั้น เราก็ไม่โทษใคร เขาก็ให้ความรักเต็มที่ แต่บางทีรักมากเกินไปมันก็อาจจะกลายเป็นทำร้ายน้องก็ได้ ถามว่าเครียดมั้ยก็ไม่ถึงกับเครียด ก็บอกกับลูกว่าไม่เป็นไรนะลูก เอาออกไปจากหัวซะ มันเป็นอดีตแล้ว”

เผยเป็นจุดเริ่มต้นของสมาธิสั้น ไม่ได้เป็นออทิสติก ต้องใกล้ชิดลูกให้มากที่สุด
“น้องยังเป็นแค่เริ่มต้นค่ะ ไม่ได้เป็นสมาธิสั้น หรือออทิสติกอะไรแบบนั้น แต่เป็นสมาธิสั้นช่วงเริ่มต้น แต่ตอนนี้ 8 ขวบยังทัน ไม่ต้องกินยา ถ้าเกิดว่าคุณแม่สามารถที่จะหากิจกรรมให้น้องทำก็ยังทันอยู่ค่ะ แต่ที่ตัดสินใจหาคุณหมอ เพราะตอนแรกแอนก็คิดว่าไม่ใช่หรอก น้องคงเป็นอาการร่าเริงปกติ และไฮเปอร์ แต่คนรอบตัว อย่างน้องผู้จัดการหรือคนที่ทำงานด้วย แม้กระทั่งพี่ๆ นักข่าวก็จะบอกว่าจะบอกแอนว่ามันยังไงๆ นะ น้องฑีไม่นิ่งเลย แอนเลยตัดสินใจไปหาคุณหมอ และพอทดสองแล้วคุณหมอก็เลยบอกว่าเป็นแค่อาการเริ่มต้นของอาการสมาธิสั้น ทางที่ดีก็คือให้เอาน้องมาอยู่ใกล้ๆ กับแอน ก็คือต้องเปลี่ยนงานนั่นแหละ ซึ่งถ้าแอนเปลี่ยนงาน ไม่ไปบินแล้ว รายรับน้อยลง ก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียน”

เลือกจะทิ้งรายได้ มาดูแลลูกแทน ตัดความฟุ่มเฟือยทั้งหมด สังคมให้น้อยที่สุด ลดค่าเทอมจากเดือนละหลายแสน เหลือเทอมละหมื่น
“มันต้องเลือกแล้วค่ะ นอกจากจะทิ้งรายได้ก็คือความฟุ่มเฟือยทุกอย่างตัดหมดเลย เพื่อนแทบจะไม่มีคบอยู่แล้วเนี่ย (หัวเราะ) สังคมส่วนตัวจะน้อยมาก ไปกินเที่ยวนี่ไม่มีเลย ตัดออกหมดเลย เสื้อผ้าเครื่องสำอางไม่ซื้อเลย ทุกอย่างก็จะประหยัดให้มากที่สุด เอาไว้เป็นค่าหนังสือ ค่าเรียนเขา แต่พอเราเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนสองภาษาจากค่าเรียนเทอมละหลายๆ แสน ตอนนี้เหลือแค่เทอมละหมื่น ลดไป 5-6 เท่าตัวเลย เพราะฉะนั้นการทิ้งเงินตรงนั้นไปมันก็ยังพออยู่ได้ ไม่ได้ถึงขั้นลำบากมาก”

รายได้ตอนทำงานที่เมืองนอกก็แสนอัปค่ะ ไม่ถึงเดือนด้วย บางที 15 วัน 20 วันก็แสนอัป 3-4 แสนต่อเดือนบางทีก็มีเหมือนกัน แต่กลับมาก็ใช่ว่าจะพอ เพราะ 3-4 เราเอามาจ่ายค่าเทอมก็หมดแล้ว แต่ถ้าตอนนี้เรามีน้อยใช้น้อยและค่าใช้จ่ายมันน้อยลงก็พออยู่ได้”

รายได้หลักมาจากซิตคอม และขายของออนไลน์ เล็งเปิดร้านอาหารอีสาน
“รายได้หลักก็มาจากซิตคอมทางช่อง 3 ค่ะ โกดังมหาสนุก แล้วก็มีขายของออนไลน์ด้วยค่ะ และมีออกงานต่างๆ บ้าง เดินแบบบ้าง ถ่ายแบบบ้าง ถามว่าพอมั้ย จริงๆ รายได้ต่อเดือนมันก็ไม่ได้เยอะ ตกแล้วไม่กี่หมื่น แต่ถ้าเรากินอยู่ประหยัดก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้กำลังดูอยู่ว่าอยากจะเปิดร้านอาหาร เพราะแอนเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว อาหารอีสานแอนก็ทำเป็นอยู่แล้ว ถ้าเกิดไม่มีลูกน้องก็ทำได้ ก็มองๆ อยู่ค่ะ”

ซิตคอมนี่ก็เล่นมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ ก็ถือว่าเป็นรายได้หลักประจำ ก็ต้องขอบคุณพี่นก วนิดาด้วย เพราะแกดึงเข้ามาเล่นค่ะ และเป็นทางที่แอนถนัดอยู่แล้ว ซิตคอมเรื่องนี้ก็วางคิวยาวไปถึงปีหน้าเลยค่ะ ก็ถือเป็นรายได้หลัก”

เมินข่าว ตม. ล็อกตัวห้ามออกนอกประเทศ น่าจะเข้าใจผิด
ไม่น่าจะใช่นะคะ เพราะถ้าโดนตม.ล็อกนี่น่าจะค้ายาเสพติด หรือมีอะไรผิดแปลกในการขนส่งสินค้า เพราะว่าตอนนี้แอนไม่มีแพลนที่จะไปเมืองนอกด้วยค่ะ เลยไม่ได้ติดต่อกับกงสุลหรือตม.อะไรเลย ไม่ได้ไปสุวรรณภูมิเลย ก็เลยไม่รู้ว่าเขาล็อกหรือไม่ล็อก (หัวเราะ) แต่ไม่น่าจะใช่หรอกค่ะ เพราะเราไม่ได้ไปไหนช่วงนี้ ไม่ได้ออกต่างประเทศมา 7-8 เดือนแล้วค่ะ”

(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)






กำลังโหลดความคิดเห็น