ในขณะที่คอละครส่วนใหญ่พุ่งความสนใจไปที่การชิงไหวชิงพริบ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ คือช่อง 7 และช่อง 3 สังเกตจากเวลาจัดอันดับเรตติ้ง ก็มักจะนำละครในช่วงเวลาเดียวกันของ 2 ช่องดังกล่าว มาพินิจพิเคราะห์กัน ถึงผลแพ้-ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นช่อง 7 ที่ถือไพ่เหนือกว่า นานครั้งหรอกที่ช่อง 3 จะมาแรงแซงขึ้นมาได้
แต่อีกช่องหนึ่งที่แม้ว่าเรตติ้งละครอาจจะไม่ได้ถึงกับรั้งอันดับ 1 หรือ 2 อยู่ตลอดเวลา แต่ก็เรียกว่าน่าจับตามองอยู่ไม่
น้อยเหมือนกันนั่นก็คือช่องวัน ของ “คุณหนูบอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ”
ถ้าช่อง 3 มี “บุพเพสันนิวาส” ที่เป็นปรากฏการณ์ระดับประเทศ ช่องวันก็เคยมี “พิษสวาท” ที่สร้างกระแสถล่มทลาย กลายเป็น #พิษสวาทกันทั้งเมือง มาแล้วเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดว่าช่องวัน คือช่องที่ทั้ง 7 และ 3 จะประมาทไม่ได้นั้น ก็เห็นจะไม่เกินเลยความจริงเท่าไรนัก
ยิ่งเฉพาะตอนนี้ ได้ทุนจากกลุ่มปราสาททองโอสถมาเสริมความแข็งแกร่งด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถึง 50% บอกได้เลยว่าเป็นช่องที่ถึงพร้อมในทุกๆ องค์ประกอบในการที่จะเขยิบตำแหน่งขึ้นมาเพื่อเบียดบัลลังก์แชมป์ได้ตลอดเวลา
แต่ก่อนสมัยที่ยังไม่มีช่องดิจิทัลเป็นของตัวเอง ละครของเอ็กแซ็กท์อาจจะเป็นมวยนอกสายตา เพราะเวลาออกอากาศส่วนใหญ่อยู่ที่ช่อง 5 ที่ไม่ค่อยอินังขังขอบกับเรื่องการปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง อาจจะด้วยความที่เป็นช่องทหาร ก็เลยทำอะไรไม่ได้มากมายนัก
และนั่นก็อาจจะเป็นจุดอ่อนของละครเอ็กแซ็กท์ เพราะเมื่อละครอยู่ในช่องที่ไม่มีกระแส เร็ตติ้งก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่ช่างนั้น จึงไม่แปลกที่จะถูกดาราใหญ่ๆ มองข้าม
ละครของเอ็กแซ็กท์ ในยุคนั้น ดูเหมือนจะมีเพียง “สินจัย เปล่งพานิช” คนเดียวเท่านั้น ที่มีชื่อชั้นในฐานะเป็นนักแสดงระดับท็อปฟอร์มของวงการ นอกนั้นก็จะเป็นนักแสดงในสังกัดที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ไม่กี่คน เช่นว่า ป้อง-ณวัฒน์ , บี-น้ำทิพย์ ,อ้อม-พิยดา , กัปตัน-ภูธเนศ แล้วก็ไหลเรื่อยมาสู่ยุคของ สน-ยุกต์ , วิว-วรรณรท รวมถึงนักแสดงที่มาจากเวทีประกวดเดอะ สตาร์ทั้งหลาย โดยเฉพาะ บี้-สุกฤษฎิ์
แต่พอมีช่องทางเป็นของตัวเอง นั่นหมายถึงว่าจะอยู่กันแบบผ่านไปวันๆ เหมือนเดิมคงไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งมีช่องเพิ่มมากขึ้น ก็เท่ากับว่าตัวหารมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าทำละครไม่โดน ไม่มีเรตติ้ง สปอนเซอร์ที่ไหนจะมาลงโฆษณา ในขณะที่ช่องเองก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ไหนจะต้นทุนในเรื่องของค่าสัมปทาน ไหนจะต้นทุนค่าผลิตคอนเทนต์ และค่าบริการจัดการอื่นๆ ในฐานะเจ้าของช่องทีวี ไม่ใช่เป็นแค่เพียงผู้รับจ้างผลิตเหมือนก่อนเก่า
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือละครในยุคหลังๆ ของช่องวัน ดูมีสีสัน มีความจัดจ้าน และในขณะที่บางเรื่องบางคราว ก็สามารถไล่บี้เรตติ้งขึ้นมาชนิดไม่เกรงใจช่องใหญ่กันเลยทีเดียว
ด้วยความที่ละครของช่องวันเริ่มถูกจับตามอง มีกระแส มีคนพูดถึง และมีเรตติ้งที่ไม่ได้น้อยหน้าช่อง 7 กับช่อง 3 จึงไม่ใช่ช่องที่ถูกดาราใหญ่ๆ มองข้ามเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
และด้วยความที่ไม่ได้มีดาราในมือมากมายเท่าช่องใหญ่ ที่จะต้องป้อนงานให้กับเด็กของตัวเอง จนหลายครั้งหลายคราวกลายเป็นการยัดเยียด และซ้ำซากจำเจในที่สุด
จากจุดอ่อนในเรื่องของการมีดาราในสังกัดไม่มากมายนัก กลายเป็นจุดแข็งในเวลานี้
เพราะช่องวันสามารถเลือกนักแสดงคนหนึ่งคนใดที่ไม่มีพันธะสัญญากับช่องอื่น แต่มีความสอดคล้องและเข้ากับ คาแรกเตอร์ของตัวละครในแต่ละเรื่องได้แบบไม่จำกัด
ผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่ตามมา ก็คือสามารถสร้างความฮือฮา และทำให้หน้าละครมีความน่าสนใจ ทั้งยังสามารถขายประเด็นข่าวว่าดาราคนนั้นคนนี้ข้ามช่องมาประเดิมละครกับช่องวันได้อีกต่างหาก
ก่อนหน้านี้ ก็มี “นุ่น-วรนุช” ที่พอหมดสัญญากับช่อง 7 และประกาศตัวเป็นนักแสดงอิสระ ก็มาประเดิมเปิดหัวแหวนให้กับช่องวัน ด้วยละครพีเรียดเรื่อง “อีสา รวีช่วงโชติ” ที่แม้ว่าอาจจะไม่ได้ฮือฮามากเท่ากับบทของ “อีลำยอง” จาก “ทองเนื้อเก้า” ที่เจ้าตัวข้ามไปเล่นให้ช่อง 3 ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันก็ตาม
แต่เมื่อมีเรื่องแรก ก็ย่อมมีเรื่องที่ 2 ตามมา และเรื่องที่ 2 นี่เอง ที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้กับละครของช่องวัน ที่มีเรตติ้งถล่มทลายตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นก็คือเรื่อง “พิษสวาท” ที่เกริ่นไว้เมื่อตอนต้นนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในละครระดับมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของนุ่น ถัดจาก “แม่อายสะอื้น” เมื่อครั้งอยู่ช่อง 7 และ “ทองเนื้อเก้า” ของช่อง 3
จากนุ่น ก็มาถึง “ใหม่-ดาวิกา” ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าจากการประเดิมข้ามจากช่อง 7 ไปเล่น “เพลิงนรี” ให้กับช่อง 3 ด้วยตัวเลขเรตติ้งที่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ แต่ก็สามารถกลับมากอบกู้ชื่อเสียงได้จากละครคอเมดี้เรื่อง “ชายไม่จริงหญิงแท้” ของช่องวัน และยังมีกระแสต่อด้วยข่าวรักนอกจอกับพระเอกในเรื่อง อย่าง “เต๋อ-ฉันทวิชช์” อีกต่างหาก
และที่เพิ่งคว้ารางวัลไนน์ เอ็นเตอร์เทนอวอร์ดไปหมาดๆ ก็คือบทที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของ “หมิว-ลลิตา ปัญโญภาส” ในละครเรื่อง “ล่า” กับบท “มธุสร” ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของ 7 ทรชนที่รุมขืนใจอย่างทารุณ พร้อมกับลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ และเมื่อกฎหมายไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับเธอได้ เธอจึงต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง ด้วยการล่าพวกมันให้ตายตกไปตามกัน ซึ่งบทเดียวกันนี้ ก็เคยส่งให้ “สินจัย เปล่งพานิช” คว้ารางวัลโทรทัศน์ทองคำมาแล้วในเวอร์ชันก่อนหน้านี้
เรียกว่าช่องวันเดินมาถูกทางแล้วก็คงไม่ผิด เพราะกลยุทธ์การดึงนางเอกนอกช่องมาร่วมงานด้วย ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งเรื่องของกระแส เรตติ้ง รวมถึงการคว้ารางวัลจากหลากหลายสถาบัน
จึงไม่แปลกที่ละครในล็อตต่อจากนี้ ช่องวันจะเดินตามเกมกลยุทธ์ดังกล่าวอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ที่เริ่มโปรโมทแล้ว ก็คือละคร “บางกอกนฤมิต” กับการประเดิมละครช่องวันของ “ปู-ไปรยา” ซึ่งถูกวางตัวให้รับบทนำ บทเดียวกับที่ “พลอย-เฌอมาลย์” ปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ และถือเป็นละครหลังข่าวเรื่องแรกในรอบ 3 ปีของเจ้าตัว หลังจากที่บอกปัด “สัมปทานหัวใจ” เพราะตั้งใจจะไปเอาดีทางการเป็นนักแสดงระดับอินเตอร์ ที่สำคัญยังถือเป็นการชี้ชะตา และอนาคตในวงการละครว่าจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ เพราะดูเหมือนที่ผ่านมา ปู-ไปรยา จะถูกประมาสมาตลอดว่า เป็นนางเอกละครมาหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยมีละครปังๆ และเป็นที่จดจำเลยซักเรื่อง
“บางกอกนฤมิต” บอกเล่าเรื่องราวของโรงละคร “บางกอกนฤมิต” เมื่อครั้งถูกไฟเผาวอด จนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า แท้จริงแล้วไฟที่ไหม้โรงละครแห่งนี้ หาใช่เป็นเพียงไฟธรรมดา แต่มันคือไฟแค้นของ “มาลัยวรรณ” อดีตนางเอกของคณะละครบางกอกนฤมิตนั่นเอง ตำนานแห่งละครร้องและความอาฆาตแค้น กำลังจะถูกปลุกขึ้นอีกครั้งจาก “การันต์” ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ที่ตั้งใจจะเนรมิตโรงละครบางกอกนฤมิต ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าหายนะกำลังจะเดินทางมาถึงตัวเขา และผู้ที่เกี่ยวข้องโดยที่ไม่รู้ตัว
โดยในเรื่องนี้ เป็นการประชันบทบาทกับพระเอกมาดเซอร์อย่าง “เป้-อารักษ์” และนางเอกเด็กสร้างของช่อง อย่าง “วิว-วรรณรท”
ถัดจาก “บางกอกนฤมิต” ที่เตรียมจะลงจอในโปรแกรมหน้านี้แล้ว ก็ถึงคิวของละครรีเมกเรื่อง “มายาพิศวาส” ซึ่งเรื่องนี้ก็จุดประกายให้ละครดูน่าสนใจ ตั้งแต่เปิดเผยชื่อนักแสดงนำ ว่าเป็น “ซูซี่-สุษิรา” เด็กปั้นของค่ายบรอดคาซท์ แห่งช่อง 3 ที่เพิ่งกลับมาโด่งดังกับบท “ท้าวทองกีบม้า” ในละคร “บุพเพสันนิวาส”
“มายาพิศวาส” หรือตำนานเมดูซ่าเมืองไทย ละครแนวดราม่า-แฟนตาซี เรื่องราวของปีศาจสาวที่มีงูอยู่บนหัว ซึ่งเคยสร้างไว้เมื่อ 11 ปีก่อน โดยผู้ที่รับบทปีศาจงู ก็คือ “แป้ง-อรจิรา” ซึ่งครั้งนี้เป็นการปัดฝุ่นกลับมาทำใหม่ และเป็นการต้อนรับการข้ามช่องครั้งแรกของซูซี่ กับบทที่ถือว่าท้าทายความสามารถเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะต้องรับบทเป็นเจ้าแม่งูปีศาจแล้ว ในขณะเดียวกันก็จะต้องรับบทเป็นหญิงสาวผู้อ่อนหวานอีกด้วย โดยจะต้องประชันบทบาทกับ 2 พระเอก คือ “แดน-วรเวช” และ “เจษ-เจษฎ์พิพัฒน์”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข่าวที่ได้รับการยืนยันออกมาแล้วว่า ช่องวันยังเตรียมแผนที่จะรีเมกละครเรื่อง “บาปรัก” เรื่องราวความรักต่างวัยของสาวใหญ่ กับผู้ชายขายบริการ ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาเมื่อครั้งเป็นละครทางช่อง 5 เมื่อปี 2542 ด้วยการประชันบทบาทเข้มของ 3 นักแสดง “สินจัย เปล่งพานิช” , “กัปตัน-ภูธเนศ” และ “นพพล โกมารชุน”
และการรีเมกใหม่ครั้งนี้ นางเอกที่ถูกเรียกมารับบทบาทเดียวกับสินจัย ก็คือ “กบ-สุวนันท์ ปุณณกันต์” ที่เพิ่งผ่านการโชว์ฝีมือระดับขึ้นหิ้งจากละครดรามาเชือดเฉือนในเรื่อง “น้ำเซาะทราย” ให้กับช่องที่ตัดสายสะดือแจ้งเกิดในวงการอย่างช่อง 7 มาหมาดๆ ซึ่งในเรื่องนี้นี่เอง ที่ถือเป็นผลงานที่โชว์ให้เห็นว่า กบ-สุวนันท์ สามารถก้าวผ่านจากนางเอกแนวแบ๊วๆ ใสๆ มาสู่นักแสดงรุ่นใหญ่ ที่สามารถโชว์ของในบทดรามาเข้มๆ แบบนี้ได้สบายๆ และ “บาปรัก” ถือเป็นละครเรื่องที่ 2 ที่เธอถูกวางตัวให้รับบทเดียวกับที่สินจัยเคยแสดงมาก่อน เช่นเดียวกับในเรื่อง “น้ำเซาะทราย”
ส่วนบทของผู้ชายขายบริการ เป็นหน้าที่ของสามีแห่งชาติ “ฌอห์น จินดาโชติ” ขณะที่บทของสามีจอมเจ้าชู้ ตกอยู่ในมือของ “วิลลี่ แมคอินทอช” กำกับการแสดงโดย “ปลา-พีรพล เธียรเจริญ” อดีตผู้กำกับคู่บุญของค่ายโพลีพลัส
ล่าสุดยังแว่วมายังมีการเจรจาทาบทามนางเอกเด็กสร้างของช่อง 7 อีกคน อย่าง “ยุ้ย-จีรนันท์ มโนแจ่ม” ข้ามมาเล่นละครเรื่องใหม่ ในบทที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิตการแสดงอีกด้วย
ถ้ามองแบบนักการตลาด ก็ต้องบอกว่า นี่คือการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญเพื่อขยายสู่ตลาดแมสของช่องวัน โดยการยืมมือนักแสดงที่มีฐานแฟนๆ อยู่แล้วมาเป็นอาวุธในการที่จะทำผลงานให้บรรลุตามเป้า แทนที่จะใช้บริการแต่นักแสดงซ้ำหน้าในช่อง ซึ่งแน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่มากขึ้น โดยเฉพาะค่าตัวดารา ที่จะต้องมากพอที่จะดึงดูดให้นักแสดงเบอร์ใหญ่ๆ เหล่านี้ยอมที่จะข้ามช่องมาร่วมงานด้วย แต่ก็อย่างที่บอกว่าช่องวันมีเงินถุงเงินถังจากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างกลุ่มปราสาททองโอสถเป็นแบ็คอัพอยู่แล้ว จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวล
ขณะที่ถ้ามองจากมุมของคุณหนูบอย นี่คือการดิ้นรนที่จะเอาตัวรอดจากสมรภูมิสงครามทีวีดิจิทัล เพราะขืนยังดันทุรังอยู่กับรูปแบบการทำงานเดิมๆ กลุ่มเป้าหมายเดิมๆ ตำแหน่งผู้บริหารช่องอาจจะโดนถอดได้ง่ายๆ เพราะคงไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คนไหน ยอมที่จะสูญเงินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ อยู่ตลอดเวลา
ทุกวันนี้ที่ช่องวันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร ก็เพราะผลงานของคุณหนูบอยที่สามารถเดินเกมรุกกระทั่งนำพาให้เรตติ้งของช่องกระเตื้องขึ้นมาจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยที่สุด ก็รั้งอยู่ในอันดับ Top 5 ไม่ได้ร่วงกราวเหมือนช่องพี่ช่องน้องอย่าง Gmm 25 ที่เป็นเหตุให้ตำแหน่งผู้บริหารของ “เจ๊ฉอด-สายทิพย์” ถูกเปลี่ยนมือ จนต้องอพยพตัวเองพร้อมด้วยมือขวาคนสนิท อย่าง “เอส-วรฤทธิ์” และทีมงานบางส่วนออกไปเปิดบริษัทใหม่อย่างที่รู้ๆ กัน
จึงตอนนี้หลายคนกำลังรอการพิสูจน์ฝีมือของ “ปุ๊ก -พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์” ที่ ”อากู๋-ไพบูลย์” ฝากความหวังไว้ ด้วยการเลือกมารับตำแหน่งดูแลสายการผลิตละครของช่อง Gmm25 แทน ถึงขนาดที่เจ้าตัวยอมทิ้งหน้าที่ผู้กำกับละครเรื่อง “ลิขิตรักข้ามดวงดาว” ของช่อง 3 เพื่อมารับตำแหน่งสำคัญนี้เลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าการรีสตาร์ทเครื่องใหม่ เปลี่ยนทีมบริหารแบบยกเซ็ต จะสามารถกระตุ้นเรตติ้งของช่อง และนำพาอากู๋ไปถึงฝั่งฝันได้หรือเปล่า !!???
นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 447 16-22 มิถุนายน 2561