“ฌอห์ณ” ชื่นใจจัดนิทรรศการประมูลภาพถ่ายเพื่อช่วยเหลือคนแก่ที่บ้านพักคนชราบางแคยอดทะลุเกิน 1 แสน แอบสะท้อนใจภาพคนแก่ถามหาลูกหลาน รวมกลุ่มกับเพื่อนจัดตั้งบริษัท “Cross Walk X Jinda” นำเงินมาสนับสนุนโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อสังคม ฝันอยากสร้างมูลนิธิ รัก “ยิปซี” ยังแฮปปี้ ไม่ได้ห่าง แม้มีเวลาแชตคุยกันแค่อาทิตย์ละครั้ง
ชื่นชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ จนในที่สุดหนุ่ม “ฌอห์ณ จินดาโชติ” ก็ได้นำสิ่งที่ตัวเองถนัดคือการถ่ายรูป รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ จัดนิทรรศการภาพถ่าย “เล่าเรื่องเก่าที่เราแคร์ ผ่านชุมชนบางแคที่เราเห็น” เพื่อประมูลภาพ โดยนำเงินดังกล่าวไปไปช่วยเหลือคนชาที่บ้านพักคนชราบ้านบางแค งานนี้ทำเอาเจ้าของโปรเจกต์ปลื้มเพราะได้ยอดประมูลดีเกินที่คาดไว้
“ดีครับ ได้ยอดมาเกินแสนกว่า และเราก็หักค่าทุนค่าอะไรนิดหน่อย ซึ่งก็ถือว่าได้มาเยอะเลย และเดี๋ยววันเสาร์นี้ผมกับทีมก็จะนำเงินไปให้ที่บ้านบางแค รวมถึงชุมชนโดยรอบทางเพชรเกษม ที่เราเลือกให้ความใส่ใจกับผู้สูงอายุเพราะเรามีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย และคุณปู่ผมก็เข้าสู่วัยชราเหมือนกัน รวมถึงกลุ่มเพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ก็อยู่แถวบางแคกันเยอะ ดังนั้นเราเลยรู้สึกว่าถ้าหากเราจะทำอะไรทั้งที เราก็อยากจะมอบให้กับถิ่นที่อยู่ที่เพื่อนๆ ของผมเกิดและโตมา จึงทำให้ตัดสินใจเลือกที่นั่น บวกกับพอได้เข้าไปหาข้อมูลจากบ้านพักคนชรา ถึงได้ทราบว่าเขาเองก็ยังขาดอะไรอีกเยอะ ทั้งความเข้าใจ ปัจจัย อีกทั้งผมมองว่าเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ห่างกับผู้ใหญ่เยอะ ก็เลยอยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาจากการทำสิ่งนี้ดีกว่า”
“ผมมองว่าเรื่องเงินเป็นอันดับ 2 แต่เรื่องแรกคือเรื่องของเวลา คือทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่จัดเวลาหรือให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวน้อยมาก ไม่มีใครหรอกครับอยากอยู่บ้านพักคนชรา ทุกคนอยากใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอยู่ที่บ้านและครอบครัวตัวเอง แต่ในเมื่อไม่มีคนดูแล และอาจจะกลัวว่าเป็นภาระ ทุกคนก็เลยต้องหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งตอนที่ผมไปถึงบ้านพักคนชรา ผู้ใหญ่ทุกคนก็จะถามว่าเจอลูกเขามั้ย เจอหลานเขามั้ย ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้จักลูกหลานเขา มันก็เลยทำให้ผมเกิดความรู้สึกกับตัวเองว่า ถ้าหากยังมีพ่อแม่ปู่ย่าอยู่ เราก็ดูแลเขาเถอะครับ ให้เขาได้อยู่กับเรา อยู่ในสายตาเราดีกว่าให้เราเอาเขาไปฝากกับคนอื่น”
เผยกำลังเตรียมโปรเจกต์ใหม่ มีนายทุนเข้ามาช่วยสนับสนุน โดยตนได้ตั้งบริษัทออแกไนเซอร์ร่วมกับเพื่อนชื่อว่า “Cross Walk X Jinda” เพื่อนำเงินมาสนับสนุนโปรเจกต์ต่างๆ
“ตอนนี้เริ่มทำโปรเจกต์ที่2แล้วครับ และก็มีนายทุนมาให้โอกาสกับทีมเดิมของเราด้วย ซึ่งตอนนี้ก็คุยกับพ่อแม่และพี่สาวเหมือนกันว่าในเมื่อเรามาทางนี้แล้ว ทำไมเราไม่ตั้งทีมทำอะไรเพื่อสังคมซะเลย เพราะมันอาจจะช่วยให้คนอื่นๆ ได้เห็นแล้วอาจจะมองเราเป็นแรงผลักดันในการทำเพื่อคนอื่นบ้าง ซึ่งผมคิดว่าโปรเจกต์ต่อไปน่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนตาบอด ก็คิดไปถึงว่าอยากจะทำมูลนิธิเลยครับซึ่งผมก็ไม่รู้เนอะว่าชีวิตการเป็นนักแสดงของผมจะอยู่ไปได้ยาวแค่ไหน แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำได้ก็คืองานที่ผมผลิตเอง มันก็เลยเป็นเหตุผลให้ผมคุยกับเพื่อนๆ ว่าเรามาทำด้วยกันมั้ย ถึงแม้เราจะไม่ได้เงินหรือรายได้มาก แต่มันก็ยังดีกว่ากว่าตรงที่เราได้นำเอาวิชาความรู้ของเราไปช่วยเหลือสังคม ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนก็โอเค อีกอย่างผมจบปริญญาตรีด้านนี้มาโดยตรงด้วย ด้านสังคมวิทยา”
“ตอนนี้เป็นการเก็บข้อมูลภาคสนามครับ เกี่ยวกับการหาข้อมูลของคนตาบอดทั้ง เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และคนชรา ว่าพวกเขามีการใช้ชีวิตยังไง หรือคนที่เกิดมาและตาบอดกับคนที่เพิ่งจะตาบอดเขาดูแลตัวเองยังไง รัฐบาลช่วยเหลือควบคุมยังไงบ้าง รวมถึงเราต้องมาฝึกอ่านภาษาเบลล์ด้วยเหมือนกัน เพื่อที่จะได้รู้ถึงแก่นจริงๆ ว่าการผลิตอักษรเป็นยังไง ตัวแท่นผลิตราคาเท่าไหร่ และเขาขาดเหลืออะไรกันบ้าง ซึ่งตอนนี้เราวิ่งหาข้อมูลกันทุกๆ วันหยุดเลยครับ เพื่อนที่จัดตั้งบริษัทอยู่เขาก็เปิดเป็นร้านกาแฟอยู่แล้วครับ คือจดเป็นนามบริษัทอยู่แล้ว เพียงแต่เรามองว่าจะใช้ชื่อต่อจากนั้นเป็นนามเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อสำหรับทำงานออแกไนซ์แบบนี้ ซึ่งชื่อก็คือ Cross Walk X Jinda”
“เรียกว่ามีการลงทุนของเราไปด้วย ดังนั้นก็ขอเรียนเชิญนายจ้างนะครับ เชิญผมไปงานอีเวนต์ได้ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ เรื่องการทำบริษัทหรือธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ยังไงเราก็ต้องใช้ทุนตัวเองก่อนครับ บวกกับโปรเจกต์ต่อไปก็เป็นโปรเจกต์ใหญ่ ดังนั้นเราก็อาจจะต้องขอความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่มาช่วยเป็นสปอนเซอร์สำหรับความช่วยเหลือครับ”
ดีใจสิ่งที่ตนทำคนตอบรับและให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อการที่ตนเป็นคนมีชื่อเสียงมีส่วนช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น
“ผมดีใจตั้งแต่ตอนแรกที่คิดว่าจะทำแล้วครับ เหมือนเราคิดถึงตัวเองน้อยลงและคิดถึงคนอื่นมากขึ้น แต่มันก็ดีใจกว่าตรงที่มีคนคอยสนับสนุนเรา ทั้งๆ ที่งานนี้สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเขียนข่าวเอง ไม่เคยทำจดหมายขอความอนุเคราะห์ต่างๆ เพราะอาชีพนักแสดงปกติแล้วมันจะมีแต่คนหยิบยื่นให้ แต่พอตอนนี้เราอยากจะเป็นผู้หยิบยื่นบ้างเราก็จำเป็นจะต้องหาวัตถุดิบดีๆ ซึ่งผมโชคดีตรงที่เพื่อนๆ และคนรอบตัวผมทั้งในและนอกวงการคอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนครับ”
“การที่เราเป็นคนมีชื่อเสียงทำให้การประชาสัมพันธ์ต่างๆ มันก็มีส่วนทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ครับ โอเคคนรับรู้ได้ง่ายขึ้นจริง แต่ความเชื่อถือมันอยู่ที่ตัวเราเองแล้วแหละ เพราะบางคนอาจจะทำผ้าป่าหรือทอดกฐิน แต่ไม่ค่อยได้ยอดก็มี ซึ่งมันเป็นความน่าเชื่อถือของแต่ละคน ซึ่งเราอาจจะโชคดีตรงที่เรามีเพื่อนที่คอยสนับสนุนและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเรา”
นอกจากโครงการช่วยเหลือชมชุนแล้วตนยังทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคโลหิต
“ตอนนี้ถ้าเป็นส่วนของหน่วยงานราชการ น่าจะเป็นเรื่องของการบริจาคโลหิตนะครับที่เรากำลังคุยกันอยู่ เนื่องจากผมไปบริจาคบ่อย และทำให้ได้ข้อมูลมาว่าเขามีเกล็ดเลือดกับพลาสมาที่ขาด เพราะคนไปบริจาคโลหิต 1 ครั้ง แล้วจบ จากนั้น 3 เดือนกลับมาใหม่ ซึ่งอาจจะมีเลือดเสียค่อนข้างเยอะเพราะคุณนอนน้อยและกินของทอดมา ซึ่งผมก็อาจจะสานต่อโครงการกับเขาและแคมเปญต่างๆ นอกจากความรู้ที่หน่วยราชการช่วยเหลือแล้ว ยังไม่มีความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ครับ ด้วยผู้ใหญ่หลายท่านอาจะยังไม่ทราบว่าเราจริงจังกันแค่ไหน และผมเองก็ยังไม่อยากที่จะขอความช่วยเหลือจากภาครัฐขนาดนั้น เพราะผมและเพื่อนๆ เราก็ยังพอมีแรงสนับสนุนอยู่”
ในส่วนของความรักกับสาว “ยิปซี คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์” นั้น ยังเหมือนเดิมแม้จะมีโอกาสเจอกันน้อยก็ตาม
“เจอกัน แต่เราก็ยังโทรศัพท์และก็แชตหากันอยู่ คืออาทิตย์หนึ่งอาจจะสัก 1 วัน หรือสองอาทิตย์เจอกันสักครั้ง เพราะงานละครบางวันเราก็เลิกดึก และเราเองก็ต้องนอนให้พอ ซึ่งเขาก็เข้าใจดี ไม่ได้ห่างกัน ก็อย่างที่บอกถ้าหากเราไม่ได้เจอเราก็จะโทร.คุยโทร.ถามกันปกติว่าเราทำอะไรอยู่ มันอยู่ที่ว่าความห่างอันนี้เราต้องดูด้วยว่าเราทำอะไรในระหว่างที่ห่างกัน ถ้าผมนอนอยู่บ้านไม่ได้อัปเดตอะไรกับเขาเลย อันนี้สิถึงเรียกว่าห่าง แต่ถ้าหากผมอัปเดตกับเขาตลอดว่าผมกำลังทำอะไร เขาก็จะไม่รู้สึกเลยว่าเราห่างกันเพราะเขาจะรู้สึกว่าเขามีตัวตน และที่ไหนที่เขารู้สึกมีตัวตนที่นั้นก็จะเป็นที่ที่เหมาะสม”
“ถามว่าเขามาช่วยโปรเจกต์มั้ยเป็นการช่วยแบบรับฟังมากกว่าครับ อาจจะไม่ได้ลงแรง เพราะงานนี้เป็นงานผู้ชายจริงๆ มันก็ลงพื้นที่ภาคสนาม และถ้าหากมีนักแสดงมากกว่า 1 คนมันจะต้องวุ่นวายแน่นอน อีกอย่างเราเป็นผู้ชายการถึงเนื้อถึงตัวบ้างมันอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะลำบากครับ”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)