xs
xsm
sm
md
lg

ไม่เกี่ยวดรามา “อ๊อฟ” ลั่นปิดฉากสามแยกปากหวาน เราสามคนอยากเลิกนานแล้ว!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“อ๊อฟ ปองศักดิ์” ประกาศปิดฉากพิธีกรรายการสามแยกปากหวานไม่เกี่ยวดรามาไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญ ยันเป็นสิ่งที่คิดนานแล้ว แค่ “ป๊อป ปองกูล” พูดก่อน เลยออกมาซัปพอร์ตอีกฝ่าย แต่ยันคุยกันตั้งนานแล้วทั้งสามคน รู้ตัวไม่เหมาะสมกับงานพิธีกร บอกสุ่มเสี่ยงเกินไป หวั่นคนไม่เข้าใจตัวตน



กลายเป็นประเด็นดรามาเลยทีเดียว หลังจากที่ 3 พิธีกรรายการ สามแยกปากหวาน ประกอบไปด้วย อ๊อฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์, ป๊อป ปองกูล สืบซึ้ง, ว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์ ถูกชาวเน็ตวิจารณ์หนักไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญ “เฟี้ยวฟ้าว์ สุดสวิงริงโก้” โดยเฉพาะหนุ่มป๊อปที่โดนหนักกว่าใคร ถึงขนาดโพสต์ข้อความประกาศขอถอนตัวพิธีกรรายการดังกล่าว ล่าสุดอ๊อฟเลยขอเปิดใจถึงกรณีดังกล่าวในงาน “The one concert : 1035 กระบวนท่าจำ” ณ รอยัล พารากอน ยันคุยกันตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่เหมาะพิธีกร

คือมันเกิดจากที่ว่าพวกอ๊อฟคุยกันตั้งแต่ครั้งแรกแล้วก่อนจะมีรายการว่าพวกเราไม่เหมาะการเป็นพิธีกรอยู่แล้ว ความเป็นพิธีกรของพวกเรา หากต้องไปสัมภาษณ์แขกรับเชิญที่เป็นจริงเป็นจังมันคงยาก แล้วแขกรับเชิญในรายการต้องเข้าใจนิสัยส่วนตัวของพวกเราสามคน วิธีการพูดและวิธีการนำเสนอ ถ้าเกิดเราเชิญคนที่ไม่เก็ตในสิ่งที่เราเป็น ก็จะเกิดการผิดใจกันขึ้นมา พอเรารันรายการมาถึงปีกว่าๆ แล้ว ทำให้เราเจอแขกรับเชิญที่สนิทมาหมดแล้วไง แล้วที่เหลือจากนี้ คือหนึ่งเขาต้องเข้าใจว่าเราเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นเพื่อนที่เคยเจอกันมาก่อน ไม่งั้นบางทีสัมภาษณ์น้องๆ แล้วเขาไม่เก็ตในสิ่งที่เราเป็นไง”

“ซึ่งเราแซวแล้วมันเก็ตหรือไม่เก็ต มันก็ขึ้นกับวาระและเวลาของเทปนั้นๆ แขกรับเชิญแต่ละที่ๆ มา มันมีบ้างนะบางเรื่องนะ แต่โชคดีว่าแขกรับเชิญในทุกๆ เทปนั้นมีความเป็นมืออาชีพและมีความสนุกกันอยู่แล้ว คือเมนหลักๆ ของการเลือกแขกรับเชิญ เราต้องเลือกตามเทรนด์ในกระแสของสังคมอยู่แล้วๆ เลือกตามความสนุกของแขกรับเชิญด้วย เรามาทำการบ้านว่าแขกรับเชิญคนนี้เราจะสัมภาษณ์เขาเรื่องอะไรดี ซึ่งอย่างที่อ๊อฟบอกเมื่อเราทำงานมาปีหนึ่งแล้ว เราเหมือนทำงานเป็นโรบอต”

ยันดรามาไม่ให้เกียรติแขกรับเชิญไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจ แค่กังวลว่าคนจะเข้าใจสิ่งที่เราเป็นรึเปล่า
ไม่เกี่ยวเลยนะ และเรื่องดรามาเป็นเรื่องที่แบบธรรมดานะ สำหรับตัวของอ๊อฟนะ แต่ว่าด้วยความที่เกิดเรื่องดรามามีการด่ากันกัน หยิบยกประเด็นที่เราทั้งสามคนเป็นกังวลตั้งแต่แรกว่าคนจะเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นหรือเปล่า เอาจริงๆ แล้วในรายการซึ่งมีคนดูเยอะมาก มันไม่เหมือนกับคอนเสิร์ตที่เรามีจำนวนจำกัดในแต่ละรอบ ว่า 5 พันคน และกลุ่มคนที่ดูคอนเสิร์ตก็เข้าใจพวกเราอยู่แล้ว แต่ว่าคนที่ดูรายการในออนไลน์ หรือคนดูทั่วประเทศ เราไม่สามารถให้คนดูเข้าใจเราได้หมดไง”

“เพราะฉะนั้นจึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่เราออกมาพูดกัน เพราะว่าพวกอ๊อฟไม่ได้คิดจะออกมาพูด กะว่าให้มันเงียบไป แต่ว่ามันเป็นไทม์ไลน์ของผังช่องมากกว่า พอสุดท้ายแล้วมันเกิดเรื่องพวกนี้มาและคนที่จะพูดมากที่สุดคนแรกส่วนใหญ่จะต้องเป็นอ๊อฟ เพราะว่าปากกับใจมันเหมือนกันอยู่แล้ว แต่ว่าครั้งนี้กลายเป็นพี่ป๊อป (ปองกูล สืบซึ้ง) เป็นคนพูดก่อน ซึ่งเราก็โอเคนะเมื่อพี่เป็นคนพูดก่อน เราซัปพอร์ตในการตัดสินใจของพี่อยู่แล้ว

รับ “ป๊อป” นอยด์หนักตั้งแต่แรก เป็นรายการสุ่มเสี่ยง ไม่เกี่ยวกับสปอนเซอร์น้อย
“เอาจริงๆ แล้วนะ เขานอยด์ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนะ บอกว่าด้วยความที่เราสามคนเป็นรายการที่มีความสุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะว่ารูปแบบรายการมันเป็นอีกทางหนึ่งของเรา รูปแบบรายการมันเป็นการสัมภาษณ์และเป็นวาไรตี้ทอล์กโชว์ แต่พวกเราสามคนเราขายความเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ ขายความเป็นตัวตนของพวกเรา เวลาเราทำงานมันจะยากเมื่อเราทำเสร็จแล้วเราต้องกังวล สิ่งที่เราพูดในรายการมีอะไรบกพร่องไปหรือเปล่า หรือว่าขาดอะไรไปหรือเปล่า หรือแม้แต่ว่าขณะที่เรากำลังถ่ายทำกัน พวกเราและรวมถึงแขกรับเชิญสนุกกันมากๆ แต่ว่าคนดูที่อยู่ทางบ้านหรือทางโซเซียลคิดอย่างไรมากกว่า”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสปอนเซอร์มาลงน้อย ไม่เลย (หัวเราะ) ถ้าเกิดใครเป็นคนทำรายการหรือโปรดักชั่นต่างๆ เขาจะมีช่วงเวลาที่ขายโฆษณา แล้วถ้าเราขายโฆษณาในช่วง 3 เดือน 6 เดือน ปีหนึ่ง มีไทม์มิ่ง ไทม์ไลนกันออกไป ในช่วงท้ายๆ ที่เราถ่ายกันเป็นช่วงที่ลูกค้าไม่ได้ใช้เงิน เขาจะมาใช้กันช่วงต้นๆ อะไรอย่างนี้”

บอกทำงานด้วยกันสนุก แต่มีความกังวลจนรู้สึกอยากเลิก ถึงจะเสียดายแต่มีช่องทางอื่นให้ได้ร่วมงานกันอีกแน่นอน
ทุกครั้งที่เราไปทำงานเราสนุกมากเลยนะ มันไม่เหมือนเราไปทำงานเลยนะ เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกว่า เมื่อเราเริ่มต้นด้วยกันมาตั้งแต่แรก เรารู้สึกกำลังตัดสินใจที่เราจะเลิก มันเลยมีความกังวลอยู่นิดหน่อย ความรู้สึกว่าเสียดายเหมือนกันนะ แต่ว่ามันมีหนทางอื่น ช่องทางอื่น ที่ทำงานด้วยกันและเราคุยกันอยู่ว่าจะมีโปรเจกต์ที่ทำด้วยกัน ทำกันเองสนุกๆ และเป็นไปในแบบที่พวกเราเห็นตรงกันว่ามันเหมาะกับความเป็นเรา ลงยูทิวบ์อะไรอย่างนี้มากกว่านะ"
 
"มันก็จะได้ไม่มีข้อจำกัดเยอะด้วย บางทีรายการในบ้างช่วงที่ตามผังเราออนตอนสามทุ่มแล้วมาสี่ทุ่มแล้วย้ายมาออนตอนสี่โมงเย็น ไทม์มิ่งต่าง กลุ่มคนดูก็ต่าง การนำเสนอของพวกเรามันก็จะเปลี่ยนไปด้วย มันขาดความเป็นตัวเองไปด้วยในบางเทปและบางครั้ง เราต้องคิดเยอะ ถามว่าที่จะทำลงยูทิวบ์จะทำเมื่อไหร่ เรายังไม่รู้เลย ไม่รู้จะทำแบบไหนประมาณไหน แต่คิดว่าหนีไม่พ้นความเป็นพวกเราทั้งสามคน”

(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)





กำลังโหลดความคิดเห็น