xs
xsm
sm
md
lg

“หนูแหม่ม” แถลงความจริง ถูกถอด “ศึก 12 ราศี” เพราะไม่เซ็กซี่! โต้เกาเหลาหมอดูดัง ลั่นงานน้อยลงแต่สุขมากขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“หนูแหม่ม สุริวิภา” เคลียร์ทุกเรื่อง อายุเยอะขึ้น เลือกงานที่สนุก ไม่ยึดติดพิธีกรช่วงไพรม์ไทม์ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่เวลาที่ดีและไม่ได้เรียกเรตติ้งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ไม่น้อยใจถูกถอดจากรายการศึก 12 ราศี รับไม่ผ่านเงื่อนไขของทางสถานีที่ต้องการพิธีกรเฟรซและเซ็กซี่ เข้าใจวัฎจักร ปัดเกาเหลา “หมอลักษณ์” ไม่ปฏิเสธโอกาสร่วมงาน “แหม่ม คัทลียา” แต่ต้องไม่ใช่ทอล์กโชว์ในรูปแบบเดิมเพราะไลฟ์สไตล์ต่างกัน ยันชีวิตทุกวันนี้สุขมากขึ้น งานน้อยลง แต่เงินไม่ลดลง ไม่ยึดติดความดัง



ถือว่าเป็นตัวแม่พิธีกร สำหรับ “หนูแหม่ม สุริวิภา กุลตังวัฒนา” ยิ่งเมื่อก่อนแฟนๆ เห็นหน้าเจ้าตัวกันถี่ แต่ปัจจุบันนี้ งานน้อยลง แต่ก็ยังคงมาตรฐานในการทำงาน โดยเจ้าตัวเปิดใจในงาน Exclusive Meet & Eat ร่วมรับประทานอาหารพร้อมเปิดตัว 2 รายการอาหารสุดเด็ด “เมนูเมียสั่ง My wife rules Thailand” และ “เซฟทัวร์ ครัวติดดิน street chefs” บอกถึงจะมีงานน้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ชีวิตมีความสุขมากขึ้น พร้อมเคลียร์ถูกถอดจากรายการ “ศึก 12 ราศี”

“เราเลือกงานแบบที่เราอยากทำ เอาที่เรารู้สึกสนุกแล้วก็ไม่ดึงเวลาเรามามากเกินไป เพราะว่าอายุเราเยอะแล้ว จะไปทำที่มันเยอะๆ มันก็นะ แต่บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้นะคะ มันก็ต้องยอม บางรายการมันอาจจะดึกบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เราจะเลือกที่เราอยากสนุก อยากทำ”

“การเป็นพิธีกรเราใช้พลังเยอะ หน้าที่พิธีกรคือรวบรวมเอาความฝันของรูปแบบรายการของทั้งโปรดิวเซอร์ ครีเอทีฟ ของทุกคน ที่เขาประชุมกันเสร็จแล้ว เขาต้องเตรียมข้อมูลทั้งหมดไว้แล้ว เราเป็นแต่คนเอามาย่อยเรียงลำดับให้เป็นภาพที่เห็นในทีวี เพราะฉะนั้นเราจะขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ เราก็ทำงานส่วนของเรา เพราะฉะนั้นการลำดับ ก็คือการเอาทุกอย่างมาย่อยให้ทุกคนได้เห็นภาพ ก็ถือว่าถ้าไม่ได้คิดว่ามาแล้วทำให้มันเสร็จๆ”

“ถามว่าทำให้เสร็จๆ ทำได้มั้ย แต่มันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการทำงานของเรา เพราะฉะนั้นเราไปถึง เราก็อยากให้ทุกคนพอใจกับทุกส่วน โปรดิวเซอร์เลือกเรามาแล้วเขาก็ต้องอยากได้อะไร เพราะฉะนั้นก็ต้องใส่ให้มันเต็มที่ แล้วการที่อัดไปแล้วเซฟเสียงไว้ เพื่อที่จะอัดเทปต่อไป เพราะบางทีเราไม่ได้อัดแค่เทปเดียว เซฟเสียงไว้ เซฟแรงไว้ เราทำไม่เป็น มันต้องปล่อยหมด ความเหนื่อยมันก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

บอกเมื่อก่อนเขาจ้างก็ทำ อาทิตย์หนึ่ง 7-8 รายการจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
เมื่อก่อนอะไรที่เขาจ้างมาเหมือนเลือกไม่ได้หรอก ถ้าว่างตรงกัน งานมันเหมาะสมกับรูปแบบที่เขาจ้างก็ทำเลย เราก็ทำหมด เยอะมาก 7-8 รายการเลยอาทิตย์หนึ่ง ตอนนั้นเวลาส่วนตัวไม่มีเลย แต่ปัจจุบันสบาย มีเวลาวิ่ง มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาส่งสามีไปเรียนทำอาหาร มาทำกินกัน”

ถามว่าอะไรทำให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องงาน รูปแบบการใช้ชีวิต พอเราอายุมากขึ้น เรามีความพร้อมในบางส่วน เรามีความพอในบางจุด มันก็ดึงเราไปอยู่ในจุดที่เลือกทำอันที่มันเหมาะสม ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป เราจะมานั่งพูดเจื้อยแจ้วเหมือนเมื่อก่อนมันก็ไม่ใช่ จริงๆ คนดูเขาก็ดูออก อายุ 50 แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งบุคลิกที่เป็นตัวเรา ความสนุก ยังสนุกอยู่ ยังสัมภาษณ์แบบเป็นทางการได้อยู่”

“ทางผู้จัดเป็นคนเลือก แล้วเราก็เป็นคนเลือก จริงๆ งานต้องเกิดจากผู้จัดก่อน ผู้ว่าจ้างต้องการรูปแบบแบบไหน ความเหมาะสมของพิธีกรที่เขาเลือกมาเป็นใคร ถ้าเขาจิ้มมาแล้วว่ามันใช่ เราก็โอเค อย่างของพี่แหม่ม พี่เขาให้เกียรติมากเลย พอเลือกเราแล้ว เราก็มานั่งดูเทปรายการของต่างประเทศว่ามันน่ารัก เราทำได้นะพี่ เราชอบ”

ไม่ยึดติดต้องเป็นพิธีกรช่วงไพรม์ไทม์ ยันช่วงเวลาดังกล่าว ก็อาจไม่ใช่เวลาที่ดีเสมอไป ไม่ใช่เวลาที่เรียกเรตติ้งได้แบบเมื่อก่อน
ถ้าเราไปติดอยู่กับเวลา ว่าไม่ฉันต้องทำแต่ไพรม์ไทม์ ความสนุกที่มันเกิดขึ้นในเวลาอื่นๆ เราก็จะไม่ได้สัมผัสมันเลย เราก็จะไม่รู้เลย แล้วอีกอย่าง รูปแบบการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปเยอะมาก พอเขาเปลี่ยนไปไลฟสไตล์เปลี่ยนไป อย่างเราเอง เรายังไม่มีเวลาที่จะกลับไปเปิดทีวีดู ดูอันโน้นอันนี้ บางทีก็ดูย้อนหลังบ้าง รูปแบบมันเปลี่ยนไป”

แต่เดี๋ยวนี้รายการที่เป็นไพรม์ไทม์ ก็ไม่ได้เป็นเวลาที่ดีเสมอไป ก็ไม่ใช่เป็นเวลาที่เรียกเรตติ้งได้แบบเมื่อก่อนเสมอไป คือไลฟสไตล์คนดูมันเปลี่ยน รายการทรงคุณค่าอยู่ เวลาทรงคุณค่าอยู่ แต่คนดูเขาไม่ดูก็ไม่รู้จะทำให้ใครดู เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำตามผู้บริโภค ทำตามคนดู ว่ามันไหลไปทางไหน ทุกคนมีพื้นที่ของตัวเอง มีไลฟ์ของตัวเอง มีความสนุกของตัวเอง ทีนี้เราก็ต้องทำนั่งเลือก ว่าเราสนุกกับอะไรก็ทำอันนั้น มันเป็นตัวเรามากที่สุด ไม่ต้องมาฝืน ไม่ต้องมาเหนื่อย”

หลังจากที่มาทำรายการ “เมนูเมียสั่ง My wife rules Thailand” ออกอากาศตอนบ่ายโมง วันพุธ - พฤหัสบดี ฟีดแบ็กเป็นอย่างไร แตกต่างจากการที่ทำก่อนหน้านี้หรือไม่ หนูแหม่มเปิดใจว่า
“ไม่เลย ไม่แตกต่าง เพราะว่าเราทำรายการกลางวันก็เยอะอยู่ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นรายการที่เป็นประเภทสั้นๆ อันนี้แค่ครึ่งชั่วโมง รายการค่อนข้างสั้น แต่ก็แบ่งเป็น 2 วัน เพราะฉะนั้นการทำงาน ฟีดแบ็กเนี่ยคือแม่จะชอบมาก เพราะว่าเขาจะไม่ต้องนอนดึก ไม่ต้องตั้งตารอดูลูก เปิดมาบ่ายโมงมีเวลาให้ผู้ใหญ่ทำโน่นนี่ เขาก็จะทักว่านี่ไงๆ แม่ก็แฮปปี้มาก”

“กลุ่มแฟนๆ ของเรา เขาก็โตตามเรา สังเกตง่ายๆ ตอนไปวิ่งกับพี่ตูน บอดี้สแลม เมื่อไหร่ที่พี่ตูนวิ่งผ่านตลาด เสียงจะเงียบกริบ กับเวลาเราวิ่งผ่านถ้าเป็นกลุ่มแฟนคลับนักร้องก็จะเงียบ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราวิ่งผ่านตลาด แทบดึงแทบทึ้ง จนพวกน้องๆ ที่คอยดูแลเขาถามว่าพี่เป็นอะไรมั้ย เราก็บอกพี่ไม่เป็นไร คือมันเป็นแบบนี้แหละ กลุ่มคนคนดูมันชัดเจน ถ้าเป็นรุ่นเด็กๆ ที่รู้จักเรา เขาก็จะขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ แม่หนูชอบ ถ่ายรูปไปให้แม่”

แฮปปี้เป็นขวัญใจคนทุกรุ่น โดยเฉพาะรุ่นผู้ใหญ่
หนูแหม่มแฮปปี้ค่ะ เพราะว่าปู่ย่าตายาย พอเห็นเราก็อยากจะจับ หรือแม่ๆ ที่เดินในตลาด เราก็ชื่นใจ ยังบอกกับบ๊อบบี้ว่าแฟนคลับเรากลุ่มนี้เลยนะ เขาก็บอกผมรู้แล้ว เวลาผ่านโรงเรียน ผ่านสถานศึกษาจะเงียบเชียว เราก็บอกไม่ตกใจเขาไม่รู้จักเรา แต่ถ้าเขารู้จักแสดงว่าเขาดูกับแม่”

สบายใจเลือกงานที่อยากทำ ยันละครไม่ใช่ทาง นับถือความอดทนของทุกคนที่รับละคร
“การเลือกรับงานของเราทุกวันนี้เราสบายขึ้น มีเวลาเยอะขึ้น เพราะหนึ่งเราไม่ใช่สายละคร เมื่อก่อนเล่นละครเพราะเราเลือกไม่ได้ มันคืองาน มันคืออาชีพที่ต้องเลี้ยวครอบครัวเรา มันก็ทำ แต่ว่าก็ไปสุดทางมันได้แค่นั้น ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้อีกเลย เพราะคนไม่รู้สึกเชื่อ ที่ไม่รู้สึกเชื่อเพราะหนูแหม่มก็ไม่เชื่อว่าหนูแหม่มทำได้”

“เราเป็นพิธีกร พิธีกรมันมีเวลาของมัน พอทำรายการเสร็จกี่โมงๆ แล้วเลิก เราไม่ต้องมาว่า 6-8 เดือน ต้องอยู่กับความรับผิดชอบในเรื่องหนังเรื่องละครนั้นๆ ต้องบอกเลยว่านับถือคนที่รับละคร เขามีความอดทนมาก พวกเราก็มีเวลาที่หยุด แล้วก็ไม่ใช่อัดๆ ทุกวัน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพัก เดี๋ยวอีกอาทิตย์อัด บางรายการเดือนหนึ่งอัด 2 ครั้ง ก็สบาย”

บอกเมื่อก่อนงานพิธีกรเยอะเพราะตัวเลือกไม่มาก ปัจจุบันงานน้อยลงแต่อย่างน้อยได้รายการที่เหมาะกับวัยมากที่สุด
“ส่วนใหญ่เราจะไม่ปฏิเสธ (คนเลือกเราไปทำรายการเยอะมากเลยมั้ย?) เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เยอะขนาดนั้น เมื่อก่อนจะเยอะมากเพราะตัวเลือกมันไม่มาก แต่ตอนนี้ตัวเลือกมันเยอะ น้องใหม่เกิดขึ้นมาเยอะแยะ เขาก็ถูกเลือกเหมือนกัน ความเหมาะสมก็แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นของเราก็จะได้รายการที่เหมาะสมกับวัย กับความสามารถ กับสถานการณ์ที่เป็นเรา”

“ซึ่งผู้จัดเขาก็เข้าใจ หลังๆ เราก็เริ่มมีระเบียบ ซึ่งก็ต้องตกลงกันก่อนว่าเลิกกี่โมง ของเราเลิกได้ไม่เกิน 4 ทุ่ม เขาก็ถามว่า 4 ทุ่มไหวมั้ย เราก็บอกไหวแต่ถ้าเป็นปีเราไม่ไหว มันก็จะไม่อยากทำ ถ้าสมมุติเป็นปี แล้ววันรุ่งขึ้นเรามีงาน เจ้าของงานคนต่อไป เขาไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องไปแบบไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็ต้องคาดหวังให้เราไปงานเขาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเขาไม่ต้องมารับผิดชอบหรือมารับรู้ว่าเมื่อวานเราทำอะไร เมื่อวานเราเหนื่อยแค่ไหน มันไม่ใช่หน้าที่ของเขา เราต้องเป็นคนรับผิดชอบตัวเราเองว่าเราได้แค่นี้นะ ถ้ามันสุดขีดจริงๆ ห้ามเกินเที่ยงคืนนะ อะไรแบบนี้”

เป็นพิธีกรอยู่ในสายเลือด ไม่ต้องทำการบ้าน แก้ไขตามสถานการณ์เฉพาะหน้า
“มันอยู่ในสายเลือดแล้ว นับห้ามันมาแล้ว เป็นออโต้แล้ว นับห้าทุกคนจะเงียบเลย ถามว่าสร้างคาแรคเตอร์ยังไงไม่ให้ซ้ำกัน อืม...รายการมันไม่ได้มีคาแรคเตอร์อยู่ที่พิธีกรอย่างเดียว รูปแบบของรายการมันมีลายเซ็นของโปรดิวเซอร์แต่ละคนอยู่แล้ว ถามว่าเหมือนมั้ย มันก็อาจจะมีที่มันคล้ายกันบ้าง เป็นรายการกิน รายการเที่ยว แต่ว่าเราก็พยายามที่จะไม่ให้มันเยอะอยู่แล้ว”

“เราไม่ต้องทำการบ้านเลย แต่บางทีปรับไม่ทันก็มี เอารายการนี้มาใส่รายการนี้ แต่มันก็ไม่ได้รุนแรงเพราะมันเป็นรายการอัดเทป เราสามารถแก้ไขได้ แต่บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับแขกรับเชิญด้วย ทุกคนมีส่วนหมดเลย ถ้าแขกมาสนุกเต็มร้อย เราทำงานแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เอง”

ทุกๆ วันนี้ ใครก็เป็นพิธีกรได้ ก็เพราะทุกคนมีพื้นที่ของตัวเอง ส่วนจะมืออาชีพมั้ยก็คงตัดสินให้ใครไม่ได้ว่าเขาเป็นมืออาชีพหรือไม่เป็น เราว่าคนดูจะเป็นคนตัดสินเขาเอง ว่าเขาสบายตามั้ย สบายหูมั้ย”

ถูกยกเป็นต้นแบบเพราะในวันที่เริ่มต้นไม่มีอะไรง่าย มาตรฐานบังคับให้อดทน
“อาจจะเป็นเพราะว่าในวันที่เราเริ่มเป็นพิธีกร เรามีคนรอบข้างที่เข้มงวด แล้วอีกอย่างการสอบใบผู้ประกาศมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหน้าที่พิธีกร กว่าจะไปสอบใบผู้ประกาศได้ต้องซ้อมที่บ้านเป็นเดือน ซ้อมอ่านหนังสือ ซ้อมพินเสียงดังๆ เพื่อที่จะออกเสียง ข่าวพระราชสำนัก ข่าวกีฬา ข่าวต่างประเทศ เพื่อที่จะไปสอบใบผู้ประกาศ และทุกคนก็บอกว่ามันไม่ง่าย ถ้าไม่ผ่านก็ต้องสอบใหม่”

“มาตรฐานตอนนั้นมันบังคับให้พวกเราจำเป็นต้องอดทนเพื่อที่จะทำให้มันออกมาดีที่สุด แต่มาตรฐานที่มันถูกยกเลิกไปในบางข้อบางกรณี มันอาจจะทำให้คุณภาพของหน้าที่ที่คุณต้องการ มันอาจจะไม่เหมือนเดิม หรือรูปแบบของการเสพของการดูเปลี่ยนไป ไม่ได้อยากได้อะไรที่พูดชัด พูดตรง บางทีพูดแบบเหยาะๆ แหยะๆ คนก็ชอบแล้วก็มี มันเดาไม่ถูกว่าคุณจะชอบแบบไหน แต่สำหรับเรา เราดันมาเดินอยู่ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ”

รับงานน้อยลง แต่รายได้ไม่น้อยลง วางแผนรายรับค่อนข้างดี
“มันก็ไม่น้อยนะ เราเป็นคนที่วางแผนเรื่องรายรับค่อนข้างดี ถ้ามีอะไรที่หายไป เราก็จะรับอันอื่นเพิ่ม เพราะว่าที่ผ่านมามีบางอันที่เรารับเพิ่มไม่ได้ก็มี เนื่องจากมันเต็มแล้ว เวลาไม่ได้ ถามว่าเสียดายมั้ยก็ไม่ เราไม่เสียดาย เรารู้สึกว่าจังหวะที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่มันเหมาะสมนั่นแหละ เขาจ้างเราตอนนี้คือจังหวะที่ดีที่สุด รอได้ จะวนกลับมาอีกก็ได้ เรารู้สึกว่าถ้าเรามีความสามารถแล้วผู้จ้างเขารู้สึกอยากใช้ ทุกอย่างเดี๋ยวมันก็วนกลับมาเอง”

“การทำงานของเราก็คือการเป็นตัวเอง เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนมันเยอะ ทุกคนเป็นพิธีกรได้ ทีนี้ทุกคนจะเป็นพิธีกรคุณก็ต้องมีความแตกต่างจากคนอื่น บางคนต้องเป็นตลก เป็นสนุก แล้วแต่ ทุกคนจะบ้าบอ รั่วอะไรก็ว่าไป ครีเอตขึ้นมาเพื่อที่จะโดดเด่นมากที่สุด เพราะว่าคนมันเยอะ อย่างของในรุ่นพี่มันไม่เยอะเลย คนน้อยมาก กว่าจะเกิดได้ต้องเคี่ยวเข็ญแล้วเคี่ยวเข็ญอีก”

แจงกรณีออกจากรายการศึก 12 ราศี หลังทำมาเป็นสิบปี เพราะไม่ผ่านเงื่อนไขทางสถานี ที่ต้องการพิธีกรเฟรซ และเซ็กซี่
เนื่องจากว่าทางสถานี อันนี้เป็นคำตอบจากทางผู้จัดนะ ทางสถานีต้องการเปลี่ยนรูปแบบบางจุด เลยมาเปลี่ยนที่พิธีกรผู้หญิง เพราะเขารู้สึกว่าอยากได้ที่มันเฟรซ ที่มันเซ็กซี่ (หัวเราะ) เราไม่ผ่านเงื่อนไข พอพูดคำว่าเซ็กซี่ก็เลยต้องจอด เป็นเรื่องที่สถานีต้องการเปลี่ยน

“เรารู้สึกยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก บางคนอาจจะรู้สึกตกใจ เป็นอะไรไป เพราะว่าพวกเราโบราณ พวกเรายึดติด พิธีกรสมาคมชมดาวต้องเป็นคู่นี้ รายการนี้ต้องเป็นคู่นี้ นั้นเป็นเพราะพวกเรายึดติด จริงๆ รูปแบบของคนรุ่นใหม่เขาไม่แคร์หรอก จะเปลี่ยนเอาใครออก เอาใครเข้า เขาไม่ได้สน เขาจะดู เขาจะเช็กดวง เราเองเลยรู้สึกว่าเราสบายด้วยซ้ำ เพราะว่าเราทำเหมือนเดิมอยู่ทุกครั้ง เราเปลี่ยนทำอย่างอื่นบ้างก็ได้”

“เราไม่น้อยใจเลย ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะเป็นเราก็เป็นพี่สุ่ย พรนภา คือเมื่อก่อนเลยเป็นหมอลักษณ์ ถึงเป็นพี่สุ่ย แล้วก็เป็นเรา เราทำมาร่วม 10 ปีแล้ว ส่วนที่คนมองว่าไม่ถูกกับอาจารย์ลักษณ์ ไม่ๆ อาจารย์ลักษณ์รักเรามาก อาจารย์ลักษณ์เป็นอาจารย์ เรายังถือพานไปจะเรียนดวงกับแกเลย”

เข้าใจวัฏจักรวงการบันเทิงในยุคทีวีดิจิตอล บอกรายการผลิตในช่วงเวลาสั้นๆ ไปไวมาไว ในขณะที่ตนทำรายการนับสิบปี  
“เมื่อก่อนนะเวลาเปลี่ยนพิธีกรทีพวกเราก็จะตื่นฮือ แต่เดี๋ยวนี้การเปลี่ยนเป็นปกติมาก จะยกตัวอย่างให้ฟังเมื่อก่อนรายการหนึ่งรายการ จะเปลี่ยนสถานี หรือจะย้ายเวลา หรือจะเปลี่ยนพิธีกรก็จะเป็นเรื่องใหญ่มาก พวกเราไปยึดติดกับอายุ เมื่อก่อนเราเคยเป็น พอมายุคดิจิตอลมาใหม่ๆ มาขอเราเซ็นสัญญา 3 เดือน 6 เดือน เราไม่รับนะ ตอนดิจิตอลมาใหม่ๆ เราไม่รับงานเลย เพราะทุกคนมา 3 เดือน 6 เดือน หมดเลย เราเลยตกใจว่าทำไม เราไม่เคยทำงานที่อายุมันสั้นแบบนี้ ทำไมไปไวมาไว เราเคยทำรายการที่มัน 10 ปีหมดเลย ก็กลับมานอนคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ แต่พอดิจิตอลมันเริ่มรันของมัน รายการไหนที่เปิดมาพอไม่ใช่ก็ถอด ไม่ใช่ก็ถอยหรือบางทีก็รีรัน เราก็อ๋อ รูปแบบมันเปลี่ยนไป การดูของคนก็เปลี่ยนไป ช่องที่เยอะขึ้น มันมีผลกับการใช้ชีวิตของพวกเราแบบไหน มันเกี่ยวเนื่องกันหมดเลย มานั่งคิดดูว่าจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เป็นซีซั่นสิง่าย ฉันเองจะได้ไปไหนก็ได้”

“ซึ่งเมื่อก่อนถ้าเราทำรายการประจำจะไปต่างประเทศไม่ได้เลย ซึ่งค่อนข้างยากมาก จะต้องสต็อกถ่ายไว้ เราเองเลยรู้สึกว่า ขอบคุณนะที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นในช่วงที่เรากำลังอายุเยอะมากขึ้น พอหลังๆ มา 3 เดือนเหรอได้ 3 เดือนนะแฮบปี้ ยกตัวอย่างรายการหนึ่งเราไปทำ เซ็นสัญญา 6 เดือน แล้วมันไม่ใช่เพราะว่าเป็นรายการสด เป็นรายการเช้า เรานะกลับบ้านมานอนก็ไม่ได้ ไม่หลับแล้ว จะบอกเลิกก็ไม่ได้ เพราะด้วยกฎกติกาและมารยาทห้ามบอกเลิกกับผู้จ้างจนกว่าผู้จ้างจะเป็นคนบอกเลิกเอง”

“เพราะฉะนั้นอย่าตกใจเวลาใครมาบอกเลิกเรา บางทีเราอาจจะอยากเลิกแล้วก็ได้แต่ด้วยจรรยาบรรณของการทำงาน เราห้ามเด็ดขาด และเมื่อถึงเวลาผู้ว่าจ้างอยากจะบอกเลิก มันแฮบปี้ทั้งสองฝ่าย ใช่หรือเปล่า เดี๋ยวนี้เราต้องถามว่าเป็นซีซั่นหรือเปล่า 13 เทปนะเราแฮบปี้ ปีหนึ่งกี่ครั้ง สองครั้ง โอเคอย่าเยอะกว่านั้นนะ (ยิ้ม) มีรายการที่เราไปทำพอผู้บริหารใหม่มา เขาขอปรับผังใหม่ทั้งหมด เขาขอเริ่มใหม่เรานี่รีบไปถามเลยว่าเอารายการออกด้วยเลยมั้ย”

“เขาบอกเอาออกด้วยครับ เราเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวทั้งตึกเลย โอปอล์ (ปาณิสรา อารยะสกุล) เลี้ยงขนมคนทั้งตึกเลย เพราะว่าลูกเขาจะต้องไปเรียนแล้ว แล้วเขาต้องไปส่งลูก เขาบอกว่าหนูกำลังจะต้องขาดช่วงวัยในการไปส่งลูก จะต้องกลายเป็นหน้าที่พี่โอ๊ค (สมิทธิ์ อารยะสกุล) แน่เลย แล้วหนูก็จะหายไปจากหน้าลูกตอนเช้า นั่นคือเขากังวล ส่วนเราเองพอเสร็จรายการกลับบ้าน มันนอนใหม่ไม่ได้แล้วทั้งปิดม่านก็แล้ว ที่ปิดตาก็แล้ว มันนอนไม่ได้ เพราะเราตื่นไปแล้ว ถึงได้รู้ว่าถ้ารายการสดตอนเช้าไม่ต้องจ้าง(หัวเราะ) เราไม่ได้ตื่นสายแต่เราตื่นตี 4 ไม่ไหว”

ไม่มีรายการที่อยากทำแล้ว เหลือแค่เลือกเพราะสนุก
“ไม่มีแล้ว ทำมาหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่สนุกๆ รายการแหม่มบ๊อบทางจีเอ็มเอ็ม25 เหมือนทำเอาสนุกแล้ว แต่ก็เลี้ยงชีวิตเราได้”

โอกาสร่วมงาน “แหม่ม คัทลียา กระจ่างเนตร์” มีแน่ แต่คงไม่ใช่ทอล์กโชว์ในรูปแบบเดิมๆ อีกแล้ว
“ยัง(ยิ้ม) ถ้ามีโอกาสก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถามว่าอยากกลับไปบรรยากาศแบบเดิมๆ มั้ย เราว่ากลุ่มคนดูหรือแฟนหรือน้องๆ เด็กรุ่นใหม่เขาอาจจะอยากดูอะไรใหม่ๆ ที่เฟรซกว่าก็ได้ รูปแบบที่เราเคยทำด้วยกันเป็นทอล์ก ซึ่งใครๆ ก็ทำไปแล้ว ใครๆ ก็ทำได้ เลยรู้สึกว่าถ้าจะทำแบบเดิมก็จะไม่สนุก แต่ว่าถ้าจะออกแบบมาแบบใหม่ก็ยังมองไม่ออกว่าจะประมาณไหน เพราะว่าช่องก็เยอะรายการก็แยะ เราเลยคิดว่าถ้าทุกอย่างมันลงตัวหรือเหมาะสม ถามว่าเป็นไปได้มั้ยเป็นไปได้มั้ย ก็ไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าตอนนี้จะกลับไปทำเลยมันเหมาะหรือยัง คิดว่าน่าจะมีรูปแบบที่เหมาะสำหรับเราซึ่งดูแล้วว่าจะยังไม่เหมาะพอ”

ก็ยังขอบคุณสำหรับคนที่ยังรักเรา บางทีกลุ่มแฟนน้องก็จะรักน้อง กลุ่มแฟนเราก็จะรักเรา แต่กลุ่มนี้อาจจะแฮปปี้แค่กลุ่มเดียว ยังไม่รู้ว่าแฮปปี้ทุกกลุ่มหรือเปล่า ยังยากที่จะทำให้แฮปปี้ทุกคน แต่ว่าเอาที่เหมาะดีกว่า ที่เหมาะสมทั้งวัยเรา ทั้งรูปแบบ สถานการณ์ อีกอย่างตอนนี้ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างต่างไปแล้ว อีกคนอาชีพแม่ อีกคนอาชีพเมียนักท่องเที่ยว แล้วยังจะอยากไปเล่นกีฬาอีก ยังได้ชวนเลยว่าน้องไปวิ่งกับพี่มั้ย น้องบอกว่าไม่ไหวหนูไม่สู้ สามีทำอาหารให้กินอยู่จะให้สามีทำแบบไม่อร่อยได้ยังไงใช่เปล่า(ยิ้ม)”

คลั่งออกกำลังกายหนักมาก ยอมรับเมื่อก่อนไปตรวจสุขภาพ แต่ละปีมีแต่แย่ลง หวั่นเกษียณแล้วจะไม่มีแรงทำกิจกรรมที่อยาก
ตอนนี้บ้ามาก แต่ซิกแพ็กอย่ากะพริบตานะ ดื่มน้ำแล้วหายเลย(หัวเราะ) ตอนนี้จริงจังมาก กำลังรู้สึกว่าเราไม่ได้มีลูกหลานมากที่จะมาดูแล หรือมีลูกหลานแต่เขาจะมาดูแลหรือเปล่าเรายังไม่รู้ เราบอกอนาคตไม่ได้ เลยรู้สึกว่าเรามีกันสองคนผัวเมีย เอายังไงดีไปตรวจร่างกายประจำปีแต่ละทีมีแต่เลวลงๆๆ แล้ววันที่เราจะเกษียณเราจะทำอะไร มีแพลนยังไง อีกคนบอกว่าผมจะทำนั่นทำนี่ ผมจะเดินทางจะเล่นกีฬา แรงคุณพอมั้ยเนี่ย ถ้าอยู่อย่างนี้แรงจะพอหรือเปล่า”

“ก็เลยกลับมานั่งดูตัวเอง คิดกันว่าถ้ารอเกษียณแล้วจะทำกิจกรรมนั้นได้อย่างไร แรงไม่มีแล้ว 55-60 จะมาตีเทนนิส มาวิ่ง มันจะสายเกินไปแล้ว เราเลยกลับมาปฏิวัติตัวเองว่าทุกปีเราจะเล่นกีฬาที่ท้าทายความสามารถเรา เราจะฝึกฝนหนึ่งอย่างทุกปี เราจึงเริ่มต้นกัน เราเริ่มมาจากโยคะ แล้วก็มาสโนว์บอร์ด วิ่ง เวท พอทำได้เราก็รู้สึกภูมิใจ สโนว์บอร์ดเล่นยากแค่ไหน ต้องไป 2 ซีซั่น กว่าจะไปเล่นได้ จึงรู้ว่าสโนว์บอร์ดไม่ได้เหมาะกับผู้หญิงวัย 50 กว่าๆ อย่างเรา มันเหมาะสำหรับเด็ก 8 ขวบ (หัวเราะ) ทีแรกไม่รู้ไง นี่เลยกลายเป็นว่าทุกปีต่อไปนี้เราจะต้องหันมาดูแลตัวเอง เพราะมันไม่มีใครดูแลแล้ว

มันก็เป็นเสพติดการออกกำลัง ถ้าไม่ได้เล่นสัก 2-3 วัน จะรู้สึกประหลาด เพราะว่าวู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) เอา 60 เดย์ชาเรนจ์มาใส่ให้เรา เลยเป็นว่า 60 วันไปแล้วจะเลิกไม่ได้ แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ(ยิ้ม)”

(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)




กำลังโหลดความคิดเห็น