xs
xsm
sm
md
lg

ละครจบ ปรากฏการณ์ไม่จบ ช่อง 3 เตรียมดันออเจ้า เดอะ มูฟวี่ลงจอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รูดม่านปิดฉากอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับละครแห่งปีอย่าง “บุพเพสันนิวาส” ที่สร้างปรากฏการณ์ออเจ้าทั้งประเทศตลอดระยะเวลาออกอากาศ ด้วยตัวเลขเรตติ้งที่ดีงามพระราม 4 เหลือประมาณ ทั้งเรตติ้งของตัวละครเอง ที่นับว่าสูงสุดในยุคทีวีดิจิทัล โดยเรตติ้งเฉลี่ยทั้งเรื่อง อยู่ที่ 13.384 สูงกว่าละคร “นางชฎา” ช่อง 7 ในปี 2558 ที่ได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 11.465 และ “นาคี” ของช่อง 3 ในปี 2559 ที่ได้เรตติ้งเฉลี่ย 10.902

และยังส่งอานิสงส์มาถึงเรตติ้งรวมของช่อง ที่สามารถพลิกวิกฤติของช่อง 3 ให้ผงาดขึ้นมาเป็นช่องทีวีอันดับ 1 แซงหน้าช่อง 7 ที่ยึดบัลลังก์มายาวนานเป็นผลสำเร็จ หลังจากใช้ความพยายามมานานนับตั้งแต่สมัยทีวีอะนาล็อก

จากความตั้งใจแรกที่วางไว้เพียง 15 ตอนจบ แต่ด้วยกระแสที่รุนแรงเหลือเกิน ทำให้ช่อง 3 มองเห็นหนทางกำไร ก็เลยมีการตัดตอนพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีก 3 ตอน ซึ่งเฉพาะ 3 ตอนพิเศษที่ว่านั้น ปั้นรายได้ให้ช่อง 3 ได้มากถึง 45 ล้านบาท จากการขายเวลาโฆษณานาทีละ 480,000 บาท ละครออกอากาศวันละ 2.30 ชั่วโมง มีเวลาโฆษณา 31.25 นาที เท่ากับมีรายได้ 15 ล้านบาทต่อวัน และถ้ารวมเบ็ดเสร็จตลอดทั้งเรื่อง คาดการณ์ว่าได้รายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยหมายรวมทั้งรายได้จากค่าโฆษณาทางทีวี และออนไลน์ การออกอีเว้นท์ ขายสินค้าลิขสิทธิ์ และสติ๊กเกอร์ไลน์ รวมถึงรายได้จากการขายโฆษณาในช่วงที่จะมารีรีนอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม

และนี่คือความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของวงการบันเทิงไทย เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปี ถึงจะเกิดเช่นนี้อีกครั้ง

ทว่าถึงละครจะจบบริบูรณ์ไปแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าปรากฏการณ์จะไม่จบตามไปด้วย

เพราะล่าสุดมีข่าวว่าช่อง 3 กับบรอดคาซท์ เตรียมแผนจะดันละครออเจ้ามาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว โดยได้รับการสนับสนุน และเงินทุนก้อนใหญ่จากกระทรวงวัฒนธรรม

และแน่นอนว่าพระ-นาง จะเป็นใครไปเสียไมได้นอกจากพี่หมื่น “โป๊ป-ธนวรรธน์” กับออเจ้า “เบลล่า-ราณี” รวมถึงนักแสดงแวดล้อมตัวอื่นๆ ที่น่าจะพาเหรดกันมาลงจอกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาไม่มีตกหล่น

ทว่าสิ่งที่น่าจะต้องพึงระวังก็คือในเรื่องของบท ที่จะต้องขมวดให้จบภายในละครเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ในขณะที่ภาคละครนั้น มีจำนวนถึง 15 ตอน ตอนละประมาณ 2.30 ชั่วโมง การจะเลือกตัดทอนรายละเอียดบางส่วน โดยไม่ทำให้อรรถรสและคุณค่าของเรื่องสูญหายไปนั้น คนเขียนบทน่าจะต้องทำการบ้านอย่างหนักเลยทีเดียว แต่หากว่ายังคงใช้บริการของคนเขียนบทคนเดิมอย่าง “ศัลยา” ก็น่าจะวางใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะรู้ซึ้งถึงแก่นแท้และหัวใจของเรื่องดีอยู่แล้ว

ขณะเดียวกันเรื่องโปรดักชันก็ต้องยิ่งใหญ่ อลังการ และสมจริงมากขึ้น เพราะฉายขึ้นจอใหญ่ย่อมมองเห็นองค์ประกอบของภาพได้ชัดเจนมากกว่าทีวีแน่นอนอยู่แล้ว

ในเรื่องงบประมาณคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะมีแบ็คอัพที่ดีอย่างกระทรวงวัฒนธรรมคอยสนับสนุน ซึ่งงานนี้ทั้ง คอนเฟิร์มและฟันธงได้เลยว่า ปิดประตูขาดทุนแน่นอน เพราะบรรดาสปอนเซอร์ทั้งหลายคงพร้อมใจจะอิงกระแสออเจ้ามาร์เก็ตติ้งกันอยู่แล้ว เอาเฉพาะแค่สินค้าเดิมในช่วงที่ละครกำลังฟีเวอร์ นั่นก็ไม่รู้กี่แบรนด์ต่อกี่แบรนด์แล้ว ไหนจะมีสินค้าใหม่ที่ต้องการจะเพิ่มยอดขาย หรือขยายตลาด ที่พร้อมจะเทงบโฆษณาให้ไม่รู้อีกตั้งเท่าไหร่ ที่สำคัญยังสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้แบบสบายๆ เพราะถือว่าเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่อนุรักษ์ทั้งศิลปะ และวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ไม่ว่าจะเป็นแง่งามชองประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ความวิจิตรตระการตาของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย จารีตประเพณี อาหารการกิน รวมไปถึงโบราณสถานต่างๆ ซึ่งน่าจะสามารถดูดเงินตราจากตลาดโลกเข้ามาบ้านเราได้มากโขอยู่

และถ้ามองในมุมของช่อง 3 ยังสามารถสร้างกระแสต่อเนื่องไปยังละคร “พรหมลิขิต” หรือ “บุพเพสันนิวาส ภาค 2” ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการอีกด้วย

จะตีเหล็กทั้งที ก็ต้องตีกันตอนร้อนๆ แบบนี้แหละ !!!

แต่ในหว่างกลางความสำเร็จของ “บุพเพสันนิวาส” กลับต้องแลกมาด้วยข่าวคราวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในตึกมาลีนนท์ ซึ่งเป็นฐานบัญชาการของช่อง 3 ในปัจจุบัน ซึ่งมีมาให้ได้ติดตามกันแบบต่างกรรม ต่างวาระถึง 2 เรื่องต่อเนื่องกันเลยทีเดียว

เริ่มจากข่าวคราวการออกนโยบายเออลี่ รีไทร์ (early retired) เพื่อลดต้นทุนของการจัดจ้างพนักงานที่สูงลิ่ว ซึ่งส่งผลให้กำไรในปีที่ผ่านมาดิ่งลงเหลือเพียง 61 ล้านบาท ทั้งที่มีรายได้สูงถึง 11,035 ล้านบาท

ว่ากันว่าก่อนหน้านี้พนักงานของช่อง 3 ได้รับโบนัสอู้ฟู่กันมาตลอด จนมา 2 ปีให้หลังนับตั้งแต่ที่กระโจนลงสู่สมรภูมิทีวี ดิจิทัลนั่นเอง ที่เงินในส่วนดังกล่าวถูกระงับไป เหตุเพราะทุนทรัพย์ส่วนใหญ่ถูกระดมไปใช้กับค่าสัมปทานช่องดิจิทัลถึง 3 ช่อง แล้วไหนจะค่าโปรดักชันของการผลิตคอนเทนต์ป้อนแต่ละช่องอีก

นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ช่อง 3 พยายามต่อสู้อย่างสุดแรงเกิดเพื่อที่จะไม่ยอมนำช่อง 3 HD. มาออกอากาศแบบคู่ขนานกับช่อง 3 อะนาล็อกเดิม แล้วอดที่จะสะท้อนใจไม่ได้ เพราะถ้าสมมติว่าการต่อสู้ครั้งนั้นสำเร็จ เท่ากับว่าจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายถึง 4 ช่องเลยทีเดียว ไม่อยากคิดเลยว่าช่อง 3 จะสาหัสกว่านี้สักกี่เท่ากัน

อย่างไรก็ตาม นโยบายเออลี่ รีไทร์ในคราครั้งนี้ ถูกนำมาใช้กับฝ่ายข่าวก่อนเป็นลำดับแรก เพราะจากจำนวนพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 2,000 คนนั้น ปรากฏว่าเป็นพนักงานในส่วนของฝ่ายข่าวอยู่ในราว 600-800 คน เรียกว่าเกือบกึ่งหนึ่งเลยทีเดียว และต้องยอมรับว่าพนักงานในบางตำแหน่งนั้น มีความซ้ำซ้อนกันอยู่ เนื่องจากการแบ่งแยกการบริหารงานของแต่ละช่อง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สามารถแชร์ข้อมูลและวัตถุดิบร่วมกันได้

โดยมีการตั้งเป้าเบื้องต้นไว้ว่าน่าจะมีพนักงานยินดีเข้าร่วมในโครงการไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งแต่ละคนก็จะได้รับเงินชดเชยตามสัดส่วนของอายุงาน มากสุดถึง 10 เท่าของเงินเดือน

และนอกจากจะเป็นการรัดเข็มขัดลดต้นทุนแล้ว ยังเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่า ช่อง 3 เตรียมแผนที่จะลดในส่วนคอนเทนต์ข่าว และหันมาให้ความสำคัญกับรายการประเภทบันเทิง วาไรตี้มากขึ้น

โดยสัดส่วนรายการข่าวปี 2560 อยู่ที่ 38.43% มาในปี 2561 จะปรับลดให้เหลือ 36.61% จากผังรายการทั้งหมด ตรงกันข้ามกับรายการประเภทละคร ที่เพิ่มจาก 20.91% มาอยู่ที่ 26.28% และรายการวาไรตี้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก 21.61% มาเป็น 22.30% ทั้งนี้ทั้งนั้นน่าจะเป็นผลจากการวิเคราะห์ภาพรวมแล้วว่า รายการประเภทบันเทิงนั้น สามารถดึงเงินค่าโฆษณาได้มากกว่ารายการข่าว เพราะเหตุที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ก็ยังนิยมที่จะเสพความบันเทิงเป็นหลักนั่นเอง ซึ่งเมื่อรายการบันเทิงมีเรตติ้ง ก็จะส่งไปถึงภาพรวมของช่องให้ดีตามขึ้นไปด้วย

แต่ข่าวคราวการประกาศนโยบายเออลี่ รีไทร์ ก็ยังไม่น่าสะพรึงเท่ากับข่าวการประกาศขายหุ้นทั้งหมดของอดีตผู้กุมบังเหียนของช่องอย่าง “ประวิทย์ มาลีนนท์” หรือที่บรรดาดารา นักแสดง ผู้จัดละคร ผู้ผลิตรายการทั้งหลาย เรียกขายกันว่า “นาย” นั่นเอง

จากข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่บริษัท บีอีซี เวิลด์ หรือ BEC ที่แจ้งไว้ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในบรรดาชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ไม่มีรายชื่อของครอบครัวในสายของนายประวิทย์เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว

เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญภายในช่อง 3

จากเดิมที่ในปี 2560 กลุ่มครอบครัวนายประวิทย์ ถือหุ้นรวมทั้งหมด 5.88% ประกอบด้วยลูกสาวและลูกชายทั้งหมด 4 คน ถือหุ้นคนละ 1.47% ภายหลังจากการลาออกจากตำแหน่งบริหารใน BEC และบริษัทในกลุ่มช่อง 3 ทั้งหมดของนายประวิทย์ นับตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2559 โดยมีน้องชายคนเล็ก คือ “ประชุม มาลีนนท์” เข้ามาบริหารแทนตั้งแต่ 21 มีนาคม 2560 หลังจากนั้นลูกๆ ในสายของนายประวิทย์ก็ทยอยขายหุ้นในมือตัวเองไปจนหมด

นั่นหมายถึงว่าการการกระจายหุ้นจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกของตระกูลมาลีนนท์ ซึ่งถูกจัดสรรปันส่วนเท่าๆ กันทั้ง 8 คน เหลือคนที่ยังคงถือหุ้นอยู่เพียง 7 คน (ไม่นับนายประวิทย์) โดยถือหุ้นรวมอยู่ที่ 40.25%

เรื่องนี้มองกันได้ 2 แง่

คืออาจจะมองว่าเกิดความร้าวฉานในครอบครัว อาจจะด้วยขัดผลประโยชน์ หรือขัดแย้งในเรื่องอำนาจบริหารใดๆ ก็แล้วแต่ จนเป็นเหตุให้นายประวิทย์ต้องถอยตัวเองออกมา

แต่ถ้าจะคิดว่าเป็นการถอย เพราะนายประวิทย์ไว้วางใจ ว่าพี่น้องคนอื่นๆ จะสามารถบริหาร และนำพาช่อง 3 ให้ไปต่อได้อย่างสง่างาม ก็มองได้เหมือนกัน

เพราะทีมบริหารใหม่ ภายใต้แกนนำของประชุม มาลีนนท์ และคีย์แมนทั้งหลาย ทั้งที่เป็นลูกหม้อเก่า และที่ดึงคนนอกเข้ามาเสริมทัพ ก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นเป็นประจักษ์แล้ว โดยเฉพาะความสำเร็จขั้นเอกอุของละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่จุดกระแสทั้งในเรื่องของในเรื่องของออนแอร์ และออนไลน์ โดยเฉพาะการโหมใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียในการทำมาร์เก็ตติ้ง ที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด

ที่สำคัญก็คือเลือกจังหวะเวลาในการถอยในขณะที่ตัวเองเป็นแชมป์ ซึ่งแน่นอนว่าราคาหุ้นนั้น อยู่ในช่วงที่ถีบตัวสูงขึ้น ถ้าไปเลือกถอยตอนที่ตัวเองกำลังวิกฤต สถานการณ์อาจจะต่างกัน และตัวเลขมูลค่าหุ้นอาจจะไม่ได้งดงามแบบนี้

ก็ต้องมาจับตาดูกันว่า หลังจากนี้ช่อง 3 จะเตรียมทีเด็ดอะไรเพื่อรักษาบัลลังก์แชมป์ของตัวเองไว้บ้าง

ถ้าจะโฟกัสกันเฉพาะในส่วนของละคร แน่นอนว่ากระแสของละครพีเรียดอิงประวัติศาสตร์ที่ “บุพเพสันนิวาส” ปูทางไว้อย่างดีแล้ว ก็จะถูกส่งต่อไปยัง “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” ของค่ายทีวีซีน ต่างกันที่ยุคนสมัยของเรื่องราวในเรื่องนี้ จะเกิดในราวสมัยอยุธยาตอนปลาย หลังการเสียกรุงครั้งที่ 2 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้เอกราชและสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี สร้างจากบทประพันธ์จากปลายปากกาของ “วรรณวรรธน์” ผู้แต่งคนเดียวกับ “ข้าบดินทร์” ที่ถูกนำมาสร้างเป็นละครก่อนหน้านี้แล้ว

เรื่องนี้เป็นการพบกันครั้งแรกของ “เจมส์-จิรายุ” กับ “แต้ว-ณฐพร” ซึ่งดูจากฟอร์มของทีมงานสร้าง และนักแสดงนำแล้ว ถือว่ามีภาษีพอๆ กับ “บุพเพสันนิวาส” อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากกระแสที่ถูกปูไว้ให้อย่างดีแล้ว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่น่าจะเป็นละครอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับช่อง 3 และทีวีซีนในฐานะผู้ผลิต เพียงแต่ไม่อยากให้คาดหวังว่าจะต้องลบสถิติของออเจ้าฟีเวอร์ เพราะเอาจริงๆ เรื่องแบบนี้ มันอยู่นอกเหนือการกำหนดกฎเกณฑ์จริงๆ และบังเอิญยังมาเจอกับละครฟอร์มแข็งอย่าง “เล็บครุฑ” ของช่อง 7 ที่ดูจะถูกโฉลกกับละครแนวบู๊แอ็คชั่นเป็นที่สุด หนำซ้ำยังมี “สายรัก สายสวาท” ละครพีเรียดยุครัตนโกสินทร์ แนวอิจฉา ริษยา ตบตี แย่งชิง ทางถนัดของช่องวัน ระดมนักแสดงทั้งใน และนอกค่ายมาประชันกันล้นจอ แถมยังออกอากาศแบบลากยาว 4 วันรวด ตั้งแต่วันจันทร์ – พฤหัสบดี อีกต่างหาก

ในส่วนของโปรแกรมวันจันทร์-อังคารนั้น เป็นหน้าที่ของ “ณเดชน์-ญาญ่า” จากละคร “ลิขิตรัก” ผลงานการสร้างของ “แอน ทองประสม” ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นการแก้มือครั้งสำคัญของคู่จิ้นเบอร์หนึ่งของช่อง 3 หลังจากที่เจอพลิกล็อกจากละคร “เล่ห์ลับสลับร่าง” ที่เรตติ้งดิ่งเหวจนน่าใจหาย

ขณะที่โปรแกรมศุกร์-อาทิตย์ ในล็อตหน้านั้น คาดหมายว่าจะเป็นละครแนวโรแมนติกคอเมดี้ อย่าง “เสน่ห์รักนางซิน” ของผู้จัด “คิง-สมจริง ศรีสุภาพ” ซึ่งนำกลับมารีเมกใหม่จากเวอร์ชันเดิมที่โพลีพลัสผลิตให้กับช่อง 7 ซึ่งก็จะชนกับละครรีเมกอย่าง “สัมปทานหัวใจ” ของช่อง 7 ที่มีพระเอกเบอร์หนึ่งอย่าง “เวียร์-ศุกลวัฒน์”นำแสดง และคาดหมายว่าจะดังเปรี้ยงปร้างไม่แพ้เวอร์ชันก่อน

งานนี้ถือว่าช่อง 3 มีเดิมพันที่สูงมาก เพราะไหนจะต้องระดมสรรพกำลังและมันสมองเพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์ที่กว่าจะได้มาก็เรียกว่าต้องสู้กันยิบตา ไหนจะต้องเป็นการท้าพิสูจน์ความสามารถภายใต้ทีมบริหารใหม่ ในยุคที่ไร้นายประวิทย์เป็นแกนนำอีก

บอกเลยว่าศึกครั้งนี้ไม่หมูแน่นอน !!!

นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 439 21-27 เมษายน 2561


กำลังโหลดความคิดเห็น