นับย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เราๆ ท่านๆ มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับ “นิชคุณ หรเวชกุล” ในฐานะนักร้องชาวไทย เชื้อชาติไทย-จีน ซึ่งไปโด่งดังในฐานะศิลปินวงบอยแบนด์ที่โด่งดังไปทั่วเอเชีย ในนามวง “2PM” สังกัดค่ายเจวายพีเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงบทบาทหน้าที่ในฐานะพิธีกรในรายการโทรทัศน์ของเกาหลีอีกหลายรายการ
ทำไมเด็กผู้ชายในวัย 17 ปี (เกิด พ.ศ.2531) คนนี้ ถึงสามารถไปสร้างชื่อเสียงระดับอินเตอร์ได้ ?
งานนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของจังหวะ โอกาส หมายรวมถึงความสามารถ และบุคลิกภาพส่วนตัวที่โดดเด่น สะดุดตา จนได้รับการชักชวนจากค่ายเจวายพี ซึ่งเป็นต้นสังกัดของศิลปินชื่อดังอย่าง “เรน” ให้เข้ามาออดิชันเพื่อเป็นศิลปินในสังกัด
ในครานั้น นิชคุณเป็นเด็กไทยคนแรก และเป็นเพียงคนเดียว ที่สามารถทำการออดิชันผ่านจากผู้เข้าออดิชันทั้งหมด 11 ประเทศทั่วโลก โดยมีการเซ็นสัญญาไว้ 8 ปี และจะต้องเข้าคอร์สฝึกเข้ม ทั้งการร้อง การเต้น และการพูดภาษาเกาหลี ก่อนจะมีซิงเกิลแรกออกอากาศทางเอ็ม เคาน์ดาวน์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551 กับซิงเกิ้ลที่ชื่อ "Hottest Time of the Day" มีเพลง "10 out of 10" เป็นเพลงเอก
จากนั้นก็มีผลงานตามออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีรายชื่ออยู่ในอันดับ 17 จากการจัดอันดับ 100 ไอดอล ของคนเกาหลี ประจำปี 2552 ของเว็บไซต์วงการบันเทิงเอ็มเน็ตส์ , อันดับ 9 ของการจัดอันดับหนุ่มน่ารักของเกาหลี และอีกหลายๆ โพลสำรวจ ที่ล้วนมีชื่อของนิชคุณติดอยู่ทั้งสิ้น รวมไปถึงได้ลำดับที่ 2 จากการจัดลำดับดาราชาวต่างชาติที่กำลังได้รับความนิยมทั้งในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ในเกาหลีใต้ ของรายการ “Section TV Entertainment” ทางสถานีโทรทัศน์ MBC ในปี 2553
และเครดิตที่ไม่พูดถึงไม่ได้แล้ว ก็คือการติดอันดับ 3 ใน 7 ไอดอลที่รวยที่สุด อายุไม่เกิน 30 ปี
โดยประมาณการตัวเลขรายได้ในปี 2551 คาบเกี่ยวมาถึง 2552 ซึ่งเป็นปีแรกของการเดบิวต์ในฐานะคนไทยคนเดียวที่เป็นสมาชิกของวงไอดอลเกาหลี นิชคุณสามารถทำรายได้มากถึง 100 ล้านบาท
ในปี 2553 ซึ่งถือเป็นปีทองที่วง 2PM โด่งดังถึงขีดสุด จากความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาแบบไม่มีหยุด ทำให้นิชคุณมีรายได้ตลอดทั้งปีนั้นประมาณ 165 ล้านบาท
ปี 2554 หลังจากปล่อยอัลบั้ม Hand Up และมียอดขายถล่มทลาย มีคิวแสดงคอนเสิร์ตต่างประเทศเข้ามาไม่ขาดสาย จึงไม่แปลกที่จะทำให้นิชคุณมีรายได้ตลอดทั้งปีถึง 274 ล้านบาทเลยทีเดียว
และที่พีคสุดๆ ก็คือในปี 2555 ซึ่งนับเป็นการก้าวย่างครั้งสำคัญของวง 2PM กับการบุกตลาดญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเป็นปีที่นิชคุณโกยรายได้สูงถึง 400 ล้านบาท มีโฆษณาไม่ต่ำกว่า 30 ชิ้น และยังมีโอกาสได้กลับมาแสดงภาพยนตร์ไทยเป็นครั้งแรก ในเรื่อง “รัก 7 ปี ดี 7 หน”
นั่งคำนวณตัวเลขรายได้เฉพาะแค่ในระยะเวลา 3 ปีเศษๆ ของการเดบิวต์เป็นศิลปินวงดังของเกาหลี เท่ากับว่านิชคุณมีรายได้เหยียบๆ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว !!!
ยังไม่นับรวมถึงการขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อโลก ในขณะที่มีอายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น ตามเป้าหมายของงต้นสังกัดที่ต้องการจะผลักดันให้เป็นไอดอลของคนทั้งโลก
เรียกว่าความสำเร็จของนิชคุณ ถือเป็นการเปิดหัวแหวน ประกาศักดาความสำเร็จของเด็กไทย สู่ถนนสาย K-Pop ได้อย่างงดงาม และกลายเป็นไอดอลต้นแบบของเด็กที่มีความฝัน ที่จะโด่งดังระดับอินเตอร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ล่าสุดกำลังจะมีภาพยนตร์ไทยมาให้สาวๆ ได้กรี๊ดกร๊าดกันอีกครั้ง ในเรื่อง “น้องพี่ที่รัก”
จากนิชคุณ แห่งวง 2PM มาถึง “แบมแบม - กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” หนึ่งในสมาชิกวง GOT7 สังกัดเจวายพีเช่นเดียวกัน ซึ่งนับเป็นเด็กไทยคนที่สองที่ได้เดบิวต์เป็นศิลปินในสังกัดนี้
สำหรับแบมแบมต้องบอกว่าฉายแววว่าจะต้องเติบโตขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์โดยแท้ เพราะคลั่งไคล้การเต้น Cover เพลงเกาหลีมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยมีเรนเป็นไอดอล และมีโอกาสได้เข้าประกวด Rain Cover Dance In Thailand ในปี 2550 ขณะมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น ผ่านการผลักดันของคุณแม่ ซึ่งเป็นสาวกของเรน และมีเหตุบังเอิญว่าลูกชายคนโตที่ตั้งใจจะส่งเข้าประกวดประสบอุบัติเหตุที่ข้อเท้า คุณแม่จึงเปลี่ยนแผนมาส่งลูกชายคนเล็กลงประกวดแทน
และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของแบมแบม ก็มาถึง เมื่อเด็กหนุ่มมีโอกาสได้เข้าแข่งขันในรายการ LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก ของ “หนุ่ม-กิตติกร เพ็ญโรจน์” ที่ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ในปี 2552 ถัดจากที่นิชคุณเดบิวต์เป็นศิลปินของวง 2PM เพียงปีเดียว ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักของรายการนี้ ก็คือเปิดโอกาสให้เด็กไทย ทั้งชาย ทั้งหญิง มีเวทีให้ได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรี ทั้งร้อง ทั้งเต้น ไม่ว่าจะเป็นเดี่ยว หรือกลุ่มก็ตามที โดยมีสังกัดเพลงของเกาหลีอย่างเจวายพี มาเป็นผู้ฝึกอบรม โดยผู้ชนะนอกจากจะได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังมีโอกาสที่จะเป็นศิลปินของค่ายเจวายพีด้วย
“รายการ LG Enteratiner ไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กไทย กลายเป็นศิลปินเกาหลี สิ่งที่เราต้องยอมรับเรื่องแรกคือ ศิลปินเกาหลีมีคุณภาพดีเยี่ยมในการร้องการเต้น และการแสดงบนเวทีจริงๆ และนั่นยังเป็นสิ่งที่ศิลปินไทยต้องพัฒนาให้ทัดเทียม แต่ LG Entertainer จะมอบประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้ชนะ ให้เขารู้ว่า ที่ดาราเกาหลีเขาดังกันได้ เพราะเขาผ่านการฝึกซ้อมอย่างไร พูดง่ายๆ ว่า มันคือการพาไปฝึกอบรมต่างประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง และเป็นตัวอย่างแก่วงการ มันคงจะดีถ้ามีศิลปินไทยที่สร้างไทยฟีเวอร์ในต่างประเทศบ้าง”
ครั้งนั้นแบมแบมในวัย 12 ปี เป็นหนึ่งในสมาชิกของวง WE ZAA COOL ซึ่งแม้จะได้เป็นเพียงรองแชมป์ในรายการ แต่ก็ถูกหมายตาจากค่ายเจวายพี ที่ต้องการจะปั้นเป็นศิลปินในสังกัด จึงได้รับโอกาสให้บินไปเทรนการเป็นศิลปินที่ประเทศเกาหลี ใช้เวลาบ่มเพาะอยู่ถึง 4 ปีเต็มๆ กว่าจะได้เดบิวต์ผลงานออกมาในนามวง GOT7 ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกหลากหลายเชื้อชาติทั้งหมด 7 คนด้วยกัน คือ เจบี ,จินยอง, ยองเจ และ ยุคยอม จากเกาหลี , มาร์ค จากสหรัฐฯ , แจ็คสัน จากฮ่องกง และแบมแบม จากประเทศไทย ในปี 2557 เท่ากับว่าตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปี โดยมิวสิกวิดีโอเพลงแรก "Girls Girls Girls" จากมินิอัลบั้มชื่อ 'ก็อตอิต? (Got it?) ถือว่าประสบความสำเร็จแรง และเร็วเกินคาด ด้วยยอดวิวที่ทะลุหลัก 1 ล้านภายในเวลาเพียง 2 วัน และทะยานขึ้นสู่ท็อป 5 ในชาร์ตเพลงขายดีของเกาหลีตั้งแต่สัปดาห์แรกเลยทีเดียว
ปลายปีเดียวกัน GOT7 ยังได้เซ็นสัญญากับโซนีมิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์เจแปน และได้เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นเพื่อเปิดตัว ซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น ชื่อว่า "อะราวน์ เดอะ เวิลด์" ก่อนจะกลับมาที่เกาหลีใต้เพื่อออกสตูดิโออัลบั้ม ”ไอเดนทิฟาย” ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของวง โดยมีเพลงไทเทิลชื่อ “Stop Stop It” และยังคงมีผลงานเพลงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยมินิอัลบั้มที่ 7 มีชื่อว่า “7 FOR 7” ซึ่งมีคอนเซ็ปท์เกี่ยวกับมิตรภาพของทั้ง 7 คน และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีม
ไม่เพียงจะมีผลงานในฐานะศิลปินวง GOT7 เท่านั้น แต่แบมแบมยังมีโอกาสได้โชว์ความสามารถทั้งในเรื่องของการแสดงละคร และภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง รวมถึงการเป็นพิธีกรรายการทีวีอีกด้วย
ในเรื่องของตัวเลขรายได้ แม้ว่าอาจจะยังไม่สามารถแซงหน้าวงพี่อย่าง 2PM ที่หยั่งรากฝังลึกมานานกว่า แต่ก็ถือว่ารั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของต้นสังกัด และเป็นศิลปินที่ค่ายเจวายพีจัดคอนเสิร์ตสเกลใหญ่ๆ ให้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะคอนเสิร์ต “GOT7 1st CONCERT “FLY IN BANGKOK” ที่จัดแสดงไป 2 รอบ บัตรก็ขายหมดเกลี้ยงทั้ง คนดูก็แน่นทั้ง 2 รอบเลยทีเดียว รวมไปถึงยังมีแบรนด์สินค้าของไทยที่ดึงตัว GOT7 มาเป็นพรีเซนเตอร์หลายต่อหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น It’s Skin Thailand เครื่องสำอางเกาหลี, Bausch + Lomb คอนแทคเลนส์ , เถ้าแก่น้อย ,ไส้กรอกซีพี และล่าสุดกับการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้น้ำอัดลมชื่อดังอย่าง EST Cola ซึ่งค่าตัวคร่าวๆ ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาทต่อหนึ่งแบรนด์
อย่างไรก็ตามส่วนตัวของแบมแบมเอง ก็สามารถซื้อบ้านหลังใหม่ให้กับครอบครัว สนนราคามากกว่า 10 ล้านบาท ด้วยรายได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองในขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี
ข้ามจากค่ายเจวายพีมาที่ค่ายเอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อีกหนึ่งในค่ายเพลงผู้ทรงอิทธิพลของเกาหลีต้นสังกัดของบอยแบนด์ดังอีกวงหนึ่ง นั่นก็คือ NCT ซึ่งถือเป็นศิลปินเบอร์ใหม่ในรอบ 4 ปีของค่ายนี้ ซึ่งชื่อ NCT นั้น ย่อมาจากคำว่า Neo Culture Technology (นีโอ คัลเชอร์ เทคโนโลยี)
โดยแผนการผลักดันวง NCT นั้น ไม่มีการกำหนดจำนวนสมาชิกที่ตายตัว ทว่าจะมีการเดบิวต์เพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยในเฟสแรกของการเดบิวต์นั้น คือ NCT U (เอ็นซีที ยู) ซึ่งมีหนึ่งในสมาชิกเป็นเด็กไทย ชื่อว่า “เตนล์ (TEN) - ชิตพล ลี้ชัยพรกุล” ที่จะต้องร่วมทำงานกับสมาชิกอื่นอีก 5 คน คือแทยง , แจฮยอน , โดยอง, มาร์ค และ แทอิล
และแน่นอนว่าจุดโฟกัสที่จะพูดถึงวงนี้ ก็คือเตนล์
ต้องบอกว่าเส้นทางกว่าจะมาโลดแล่นในฐานะหนึ่งในบอยแบนด์วงดังของเกาหลีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะเรียนร้อง เรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก โดยเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของ “แพม-ลิตา ตะเวทิกุล” ตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งยังเป็นผู้บริหารโรงเรียนสอนดนตรีและศิลปะการแสดง “ซูเปอร์สตาร์ อะคาเดมี่” ซึ่งด้วยความที่มีคร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน และมีคอนเน็กชันกับค่ายเพลงเกาหลีหลายต่อหลายค่าย แพมจึงส่งคลิปร้อง และเต้นของเตนล์ไปเสนอค่ายเพลงต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีค่ายใดตอบรับ อาจจะด้วยเพราะว่าตอนนั้นความสามารถยังไม่ถึงเกณฑ์ อีกทั้งรัศมีความเป็นสตาร์ยังไม่เปล่งประกายเท่าที่ควร
แต่เตนล์ก็ไม่ละทิ้งความฝัน และหันมาทุ่มเทกับการฝึกร้อง ฝึกเต้นเพิ่มเติม กระทั่งสามารถเป็นผู้ชนะในรายการ “Teen Superstar” ซึ่งเป็นรายการเรียลิตี้ประกวดร้องเพลง ตอนนั้นใช้ชื่อในการประกวดว่า “ทีเอ็นที” โดยกติกาสำหรับผู้ชนะ ก็เป็นลักษณะเดียวกับรายการ LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก ก็คือมีโอกาสได้เป็นศิลปินในสังกัดสตาร์ชิป เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ต้นสังกัดของเกิร์ลกุ๊ป อย่าง Sistar
ปรากฏว่าพอถึงเวลาที่จะต้องเดินทางเพื่อไปเข้าค่ายฝึกอบรมที่เกาหลี กลับกลายเป็นว่าครอบครัวไม่อนุญาตให้ไป ทั้งที่ก่อนประกวดก็รับทราบในเงื่อนไขดีอยู่แล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นดรามาถึงขนาดที่ต้องมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันเลยทีเดียว ดีที่ยังไม่บานปลายถึงขนาดฟ้องร้อง เพราะทางค่ายสตาร์ชิปก็เข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
แต่ความฝันที่อยากจะโด่งดังเป็นศิลปินเกาหลีของเตนล์ก็ไมได้มอดดับไปพร้อมกับการสูญเสียโอกาสครั้งสำคัญนั้น เพราะหลังจากว่างเว้นจากวงการบันเทิงไปพักใหญ่ ก็ปรากฏมีชื่อเป็นหนึ่งในศิลปินวงบอยแบนด์ของค่ายเอสเอ็ม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ดังกล่าว โดยผ่านการคัดเลือกในโครงการ SM Global Audition in Thailand 2013 และเปิดตัวครั้งแรกในต้นเดือนเมษายน ปี 2559 โดยผลงานเพลงแรกของเขา ในบทบาทสมาชิก NCT U ก็คือ The 7th Sense เพลงสไตล์ฮิพฮอพเบสหนักๆ ซึ่งเจ้าตัวก็แสดงความสามารถ ทั้งการร้องและการเต้นได้อย่างยอดเยี่ยม และมีพัฒนาการอย่างโดดเด่นเห็นได้ชัดในผลงานเพลงลำดับถัดไป
ความสามารถของเตนล์ได้รับการยอมรับว่าไม่ธรรมดา โดนเฉพาะการเต้นที่ต้องจัดว่าเทพมากๆ ถ้าเทียบกับอายุอานามเท่านี้ พิสูจน์ได้จากการคว้าแชมป์ในรายการแดนซ์วาไรตี้ Hit the Stage ซึ่งในวันที่ถ่ายทำรายการนั้น ทิ้งห่างจากวันเดบิวต์ผลงานเพลงเพียง 87 วันเท่านั้น
และนี่คือเรื่องราวและเส้นทางสู่ความสำเร็จของ 3 นักร้องสายเลือดไทย ที่ไปดังไกลในแดนกิมจิ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และเป็นต้นแบบของการพยายามไล่ล่าความฝัน และสามารถผลักดันตัวเองไปถึงจุดหมาย
ที่สำคัญยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กไทย ว่าไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ
นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 438 14-20 เมษายน 2561