เป็นเวลาร่วมๆ 20 ปี จากเวอร์ชั่นแรกที่แองเจลิน่า โจลี่ แสดงไว้ในภาคหนึ่งเมื่อปี 2001 และภาค 2 เมื่อปี 2003 ภาพยนตร์ซึ่งมีที่มาจากวิดีโอเกมที่ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1996 เรื่องนี้ ก็ได้รับการรีบู๊ตอีกครั้ง และอาจพูดได้ว่าเป็นการทำซ้ำที่ไม่ย่ำอยู่กับที่ และมีความดีงามเฉพาะตัวมากเลยทีเดียว
สำหรับใครที่เคยได้ดูเวอร์ชั่นก่อนหน้าที่โจลี่เล่นไว้ ก็จะพบครับว่า ตัวละคร “ลาร่า ครอฟท์” นั้น แทบจะพูดได้ว่าเป็น “คนเหล็ก” บวกกับ “โทนี่ สตาร์ค” ผสมกันมาเกิด เพราะเพียงแค่เปิดตัวมา เธอก็ทั้งเก่งและแกร่ง แถมมั่งคั่งร่ำรวย ตัวช่วยมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า คุณสมบัติข้อแรกนั้นดูจะตอบโจทย์กับการเป็นตัวละครในเกมส์
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกม “ทูม เรเดอร์” ได้รีบู๊ตัวเองอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ.2013 ภาพยนตร์เวอร์ชั่นล่าสุดก็ดูจะปักหมุด “เล่าเรื่องใหม่” ตามเกมเวอร์ชั่นใหม่นี้ด้วย อย่างน้อยที่สุดคือการ “ลดอายุ” ของตัวละครลง พร้อมกับพาคนดูไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของเธอว่า เธอได้กลายมาเป็น “ลาร่า ครอฟท์” ที่น่าชื่นชมได้อย่างไร
พูดง่ายๆ ก็คือ ขณะที่เวอร์ชั่นของโจลี่ เราได้น้อมรับความเก่งกาจสุดยอดของลาร่า ตั้งแต่เปิดเรื่อง แต่เวอร์ชั่นใหม่ที่มี “อลิเซีย วิกันเดอร์” แสดงนี้ หนังไม่ได้ออกสตาร์ทแบบนั้น แต่ทำให้เธอเป็นเหมือนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนกับเรา (เพียงแต่อาจจะมีทักษะด้านชกมวยเก่ง) เราคนดูก็พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับตัวละคร ทั้งเห็นพัฒนาการของเธอและลุ้นเอาใจช่วยไปด้วย
เนื้อเรื่องในเวอร์ชั่นนี้ เล่าถึง “ลาร่า ครอฟท์” ซึ่งดูเป็นวัยรุ่นๆ อยู่ และถึงแม้เธอจะเป็นทายาทของ “ลอร์ดริชาร์ด” นักโบราณคดีที่ถือได้ว่ามั่งคั่งมากที่สุดคนหนึ่ง แต่ด้วยปมทางใจเกี่ยวกับการหายไปของพ่อ (ซึ่งลึกๆ เธอก็มีความรู้สึกว่าพ่อทิ้งเธอ) ทำให้เธอไม่ตกลงเซ็นสัญญาเพื่อรับทอดมรดกตกทอดเสียที กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อความคิดถึงพ่อและความสงสัยสุกงอมเต็มที่ เธอจึงเริ่มปฏิบัติการด้วยตนเองเพื่อสืบว่า พ่อของเธออยู่ไหนกันแน่ โดยมีตำนานลึกลับเกี่ยวกับจักรพรรดินีในเกาะลึกลับแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเป็นหมุดหมายปลายทางที่เธอจะต้องไป
อย่างที่บอกครับว่า ลาร่าในเวอร์ชั่นใหม่ ยังไม่ใช่หญิงเก่งหญิงแกร่งมาแต่อ้อนแต่ออก หรือเรียนสูงๆ เหมือนลาร่าเวอร์ชั่นโจลี่ และสิ่งนี้ก็ถือเป็น “แต้มต่อ” อีกจุดหนึ่งซึ่งทำให้ลาร่าดูมีเสน่ห์ เพราะความธรรมดาของเธอ ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิด ไม่เก่งเว่อร์จนเกินไป แม้ว่าในท้ายที่สุด เราจะเห็นภาพของของความ “รอด” ทุกสถานการณ์โหดหิน แต่ส่วนหนึ่งนั้นก็เพราะความ “อึด” “ถึก” “ทน” มากกว่าที่จะเห็นว่าเป็นความ “เก่งเว่อร์”
อีกจุดหนึ่งซึ่งผมเห็นว่า หนังทำได้ดีมากก็คือการสื่อถึงความรักความผูกพันระหว่างพ่อลูก การปลูกฝังแนวคิดบางอย่างที่ทำให้ลาร่าเติบโตอย่างคนไม่ยอมแพ้ต่ออะไรๆ โดยเฉพาะช่วงต้นเรื่องที่เราจะได้เห็นสาวน้อย “สู้ชีวิต” อย่างไม่ยอมจำนน ... ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องพ่อลูกนี้ ถือได้ว่าเติมความดราม่าความซึ้งให้กับหนัง
อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งซึ่งดูจะไม่พูดถึงไม่ได้เด็ดขาดก็คือบทบาทการดาราสายเลือดเอเชีย “แดเนียล วู” นักแสดงลูกหลานชาวจีนที่เกิดและเติบโตในอเมริกา นับได้ว่า ในหนังเรื่องนี้ เขาได้รับบทที่โดดเด่นมากๆ มีเหตุมีผล และเชื่อมโยงกับตัวละครลาร่า ครอฟท์ ได้แบบแนบเนียน และเท่าๆ กับที่เชื่อว่า ทูม เรเดอร์ จะต้องมีภาคต่ออีกแน่นอนนั้น ... แดเนียล วู ก็จะมีบทที่เด่นขึ้นไปอีกตามลำดับ คือดูทรงแล้ว ก็พอจะเป็นพระเอกตัวจริงของลาร่า ครอฟท์ ได้เลยเชียวล่ะ
สรุปว่า การกลับมาครั้งใหม่นี้ ไม่มีผิดหวังครับ จากหนังซึ่งสร้างมาจากเกมส์ที่เปิดโอกาสให้โม้ให้แฟนตาซีได้เต็มที่ เหมือนอย่างภาคที่โจลี่เล่นไว้ ... แต่หนังพยายามทำให้ดูใกล้เคียงกับ “ความสมจริง” ความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้จะบอกว่า ความแอ็กชั่นของหนังไม่มีหรือไม่มันส์นะครับ ในทางตรงกันข้าม แอ็กชั่นลุ้นระทึกแบบถูกใจคอหนังแนวนี้แน่นอน!