“ก้อย นฤมล” สุดแค้น ถูกบริษัทเพื่อนสนิทหลอกให้ถ่ายภาพนิ่ง ได้เงินแค่หลักพันถึงหมื่น แต่ถูกนำภาพไปโฆษณาขายสินค้า เผยยืดเยื้อมา 2 ปีทั้งเหนื่อยทั้งท้อ ร้องสื่อช่วย ซัดคนแบบนี้ไม่ควรลอยหน้าอยู่ในสังคม อัดจะเอาให้เข็ด เตรียมขึ้นศาล ฟ้องเรียกค่าเสียหายหลักล้าน
งานงอกเลยทีเดียว สำหรับนักแสดงสาว “ก้อย นฤมล พงษ์สุภาพ” ซึ่งถูกนำภาพถ่ายที่ไปทำพิธีกรให้บริษัทหนึ่งไปโฆษณาขายสินค้า จนบริษัทดังกล่าวมีรายได้เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ได้รับอนุญาต เคยส่งทนายดำเนินการไปแล้วแต่ก็ยังทำอีก จนเป็นคดีความติดต่อกันนานนับปี โดยก้อยได้ตั้งโต๊ะแถลง ณ ร้านอาหารโทคุเซ็น เซ็นทรัลพระราม 9 ว่าตลอดระยเวลา 2 ปีที่ผ่านมาทั้งเหนื่อยทั้งท้อ และต้องเสียโอกาสในเรื่องงาน วอนสื่อมวลชนช่วยเหลือด้วย
“วันนี้ที่ก้อยออกมา เพราะว่าพรุ่งนี้ก้อยจะขึ้นศาลแล้ว คือก้อยมีเรื่องตั้งแต่ปี 2558 ก้อยโดนคนละเมิดสิทธิ์ โดยการเอารูปก้อยไปใช้โดยไม่บอกก้อย ต้องเล่าก่อนว่าในปี 2558 ก้อยได้ไปถ่ายรูป ซึ่งก้อยไปทำพิธีกรให้บริษัทๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนกันและคิดว่าเขาก็คงเอารูปเราไปใช้ปกติ ตอนนั้นเป็นพิธีกร แล้วเขาบอกว่าวันรุ่งขึ้นเขาบอกว่าให้มาถ่ายรูปภาพนิ่งและเซ็น เหมือนกับว่าก้อยเซ็นให้กับบริษัทนี้ว่าก้อยมาถ่ายให้จริง แล้วเขาก็นำรูปนั้นไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของเขา โดยที่ก้อยไม่รู้เลย มันเป็นสบู่ผลไม้อย่างหนึ่ง ทีนี้ก้อยเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน วันนั้นได้รับเงินเป็นค่ารถ 5 พันหรือ 1 หมื่นบาทไม่แน่ใจ แล้วหลังจากนั้นเห็นในห้างดัง เราก็เลยงงว่าทำไมเอารูปเราลงไปแล้วยังมีลายเซ็นอีก”
“คือพูดตรงๆ เหมือนหลอกเราไปทำแบบนี้ ตอนไปเป็นพิธีกรได้น้อยมาก แล้วหลังจากนั้นที่เราเห็นที่ห้างเราเสียความรู้สึกนะ เรามีความรู้สึกว่าทำไมทำกับเราแบบนี้ เราไม่เคยทดลองของใช้เลย ตอนนั้นเป็นสบู่ผลไม้สีส้มอย่างเดียวก่อน จนวันหนึ่งในปี 2558 ตอนนั้นก้อยสาวกว่านี้มันมีรายการครีมบำรุงผิวติดต่อมา เพราะนอกจากเป็นนักแสดงแล้วก้อยยังรับพูดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้วย รับเรื่อยมา แล้วพอดีมีคนติดต่อว่าเป็นเซรั่มตัวหนึ่ง แล้วจะให้ก้อยเซ็นสัญญา เราไปบอกบริษัทนี้ว่าช่วยเอารูปเราลงหน่อยได้มั้ย เพราะว่าเราจะต้องรับงานอันนี้ ยอดเงินมันเยอะเราก็อยากรับนะ เขาบอกว่าไม่ได้เขาทำไปแล้ว เราก็เลยส่งให้ทนายความคุยกันและตกลงเงินกันเรียบร้อย แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะทำลายของ ประมาณเดือน พ.ค . - มิ.ย. แล้วเขาบอกว่าขอขายไปถึงสิ้นปีได้มั้ย เราก็ยอม แต่ต้องรีบหน่อยเพราะไม่รู้ว่าพอปี 2559 เขาจะยังจ้างเราอยู่หรือเปล่า เขาก็โอเคตกลงกันเรียบร้อย”
“ปรากฏว่าไปเจออีกไปเจอเขาทำอีกแล้ว แล้วก็ไม่จบไม่สิ้นนะ ปรากฏว่าออกมากเยอะมาก ไม่ใช่แค่สบู่สีส้มอย่างด้วย แล้วพอไปสืบก็รู้ว่าเขาขายดีมากค่ะ ในเว็บไซต์ เราไม่รู้เลย แล้วคนที่ใช้ก็ไม่รู้หรอก ว่านี้เป็นของ ก้อย นฤมล หรือว่าก้อยเป็นพรีเซ็นเตอร์ คือเราไม่สามารถรู้ได้เลยค่ะ แล้วเราก็รู้สึกเสียใจ เราก็เลยให้ทนายส่งคำเตือนก่อนที่จะฟ้องศาลไป ก็ไม่ได้รับการติดต่อ”
สุดทนโดนเอาเปรียบ คนแบบนี้ต้องไม่อยู่ในสังคม
“วันนี้เหมือนกับโดนเอาเปรียบมาก แล้วก้อยไม่อยากให้คนแบบนี้อยู่ในสังคม คุณประกอบกิจการ ทำไมคุณไม่ทำโดยตรง แล้วพอเรื่องมันถึงทนายความ เขาสืบไปได้ถึงงบดุลของบริษัท ปรากฏว่าในปี 2558 สมมติว่างบเดิมเขาหลัก 20 ล้าน แต่พอปี 2559 ที่มีก้อยขึ้นมา งบเขาขึ้นอีก 10 กว่าล้าน เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่มีเราเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือเปล่า หรือเป็นเพราะอะไร แต่งบคุณขึ้น แต่คุณไม่ยอมจ่าย คุณนิ่งเฉย คุณเอาเปรียบ แล้วเขาโกหกที่ศาลด้วยว่าติดต่อก้อย แต่ก้อยติดต่อไม่ได้เลย ไม่รับโทรศัพท์ ถ้าติดต่อก้อยไม่ได้ คุณติดต่อทนายความก็ได้ เพราะว่ายังไงคนที่ส่งจดหมายไปให้คุณก็คือทนายความอยู่แล้ว เขาก็พูดแบบนี้ เราก็รู้สึกว่ากล้าทำมาก”
“เราโชคดีเป็นนักแสดงได้เจอนักข่าว แต่ถ้าสมมติว่าเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา แล้วโดนเอาไปทำรูปให้เหลือแต่เสื้อสายเดี่ยว แบบที่ทำกับเรา เอารูปเราไปทำหน้าขาวหน้าดำมันไม่ใช่ แล้วที่สำคัญคือความปลอดภัยมีหรือเปล่า แล้วของๆ เขา เขาไม่เคยมาให้ฟรี หรือให้ทดลองใช้ เผลอๆ ต้องไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาลองใช้เองด้วยซ้ำ แล้วก็สามารถสืบได้นะคะว่าเขาไม่เคยมาให้ใช้ฟรี ไม่เคยติดต่อให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ถึงวันนี้ก็ยังเงียบอยู่ วันพรุ่งนี้วันที่ 8 มี.ค. ก้อยต้องไปศาลแล้ว เขาก็ยังเงียบ แล้วก้อยมีความรู้สึกว่าคงต้องขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนแล้ว ก้อยไม่อยากให้คนแบบนี้อยู่ในสังคม คุณประกอบการแบบไหนกัน แล้วที่สำคัญเห็นว่าไม่ได้ขายแค่ในประเทศ”
“ซึ่งก้อยมีความรู้สึกว่า รายได้คุณขนาดนี่คุณเอาเปรียบผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูก เป็นเพื่อนของลูก ลูกก็ไม่โอเค แบบว่าทำไมเป็นแบบนี้ ไม่มีน้ำใจเลย เราไม่เคยเอาเปรียบใคร แล้วทำไมเอาเปรียบเราแบบนี้ ไปเจอทีไรก็หน้าชื่นตาบาน แต่พอถึงเวลาทำไม โทร.มาสักกริ๊งหนึ่ง ก็ไม่ควรนะเอาเปรียบกันแบบนี้ และสิ่งที่เราเรียกไป ไม่ใช่เป็นล้าน สิบล้านอะไร แค่หลักแบบเอามาเถอะ แค่คุณได้เสียเงินซะบ้าง แค่ให้คุณได้รู้สึกว่ามีการลงทุนบ้าง คุณประกอบการแบบนี้จะอยู่ในสังคมได้ยังไง วันนี้เขาทำกับก้อย ถ้าวันนี้คนแบบนี้อยู่ในสังคม แล้วทำกับคนอื่น ผู้หญิงสาวผิวพรรณดี แล้วกลัวเป็นข่าว กลัวจะโดนฟ้อง และการฟ้องก็ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วปัญหาคือไม่ใช่แค่วันสองวันนี้ นี่มันสองปีแล้วค่ะ สองปี สามปีแล้ว ก้อยไม่ไหวแล้ว”
“และไหนจะก่อนหน้านี้อีกที่เขาเอาไปขายโดยที่ก้อยไม่รู้ จนถึงปี 2558 ก้อยเรียกร้องครั้งแรก จนมาถึงเรียกร้องครั้งที่ 2 ที่ไปเจอมาเองตอนปี 2559 เราก็เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ต้องขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนให้เห็นใจนักแสดงคนหนึ่งว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนอื่นๆ และอยากเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ ได้ลุกขึ้นมาสู้เวลาโดนเอาเปรียบ อย่ายอมโดนเอาเปรียบ ถึงแม้ว่าจะต้องมีเรื่องมีราว ขึ้นโรงขึ้นศาล ก็ต้องอย่ายอม เพราะว่าเหมือนเอาเปรียบคน คือวันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียวนะ มันเสียความรู้สึก และก้อยมีความรู้สึกว่าทุนหลายร้อยล้าน แต่คุณเป็นแบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
สุดแค้นกล่าวหาไม่รับโทรศัพท์ ไลน์ไม่ตอบ บอกไม่อยากมีเรื่อง และไม่เคยทำตัวเสื่อมเสีย
“ครั้งนี้ครั้งที่ 2 ครั้งแรกไกล่เกลี่ย คือครั้งแรกเรียกร้องสำเร็จแล้ว แล้วเขาบอกว่าจะไม่ทำอีก จะไม่ขายอีก คุยกับเรียบร้อยแล้ว และมีสัญญากับทนายความเรียบร้อย จนปี 2559 เราไปเจอร้านขายสมุนไพรนี่แหละ พอเจอเราก็อ้าว เอาอีกแล้วเหรอ มันเหมือนโกงกัน เราก็เลยไปเปิดเว็บไซต์ดู ในเว็บไซต์ก็ขาย และขายเยอะกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีแบบเดียว ขายเยอะมาก แล้วส่งจดหมายไปก็ไม่ได้รับการติดต่อ แล้วยังพูดในศาลว่าติดต่อก้อยไม่ได้ ก้อยไม่รับโทรศัพท์ อันนี้คือสิ่งที่แค้นที่สุดคือมาหาว่าก้อยไม่รับโทรศัพท์ ก้อยไม่ไลน์ตอบ ก้อยถามหน่อย เราอยากให้มันจบ เราไม่อยากมีเรื่อง”
“ทุกคนก็ทราบว่าก้อยอยู่วงการมา ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย และก็ดำรงชีวิต ดำรงอาชีพ โดยไม่เคยขาดลามาสาย ถามผู้จัดได้ว่าไม่เคยทำเรื่อง ไม่เคยมีปัญหากับใครเลย เพราะฉะนั้นครั้งนี้มันสุดจริงๆ แล้วมันนานเกิน เราเสียเวลาทำมาหากิน ถึงจะเป็นร้านแค่นี้เราก็ต้องบริหาร ต้องใช้เวลา แค่ไปรับละครที่เรารัก เราก็เสียเวลาแล้ว เราต้องคอนเซ็นเทรดกับตรงนั้น และต้องมาเสียตรงนี้อีก เราก็เลยออกมาเรียกร้อง ออกมาเรียกสิทธิ์ ก็เลยอยากให้สื่อมวลชนช่วยค่ะ”
จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
“มันที่สุดถึงที่สุดแล้วค่ะ ตอนต้นปีที่สุดไปแล้วไกล่เกลี่ยจะจ่าย 6 หมื่นบาท ยอมมั้ยคะ เอาง่ายๆ แค่ค่ารถค่าทนายความมันก็ไม่ได้แล้ว”
ยันไม่ได้เซ็นสัญญา แค่หลอกให้ถ่ายภาพนิ่ง อ้างจะทำโบรชัวร์
“ครั้งนั้นไม่มีการเซ็นสัญญานะคะ เขาบอกว่ามาถ่ายภาพนิ่งเพิ่มเติมเพื่อทำเป็นโบรชัวร์แล้วก็เซ็นว่าเป็นก้อย นฤมลตัวจริงแค่นั้น ไม่เคยบอกว่าเอาไปไว้ในสบู่ส้ม ที่สำคัญตอนนั้นก็ยังไม่มีสบู่ส้มออกมา แต่เขามีแพลนจะทำสบู่ของเขาอยู่แล้ว เรียกว่าไม่ได้บอกจุดประสงค์กับเราตั้งแต่แรก”
ลั่นจะฟ้องให้ถึงหลักล้าน
“ตอนนี้อยู่ที่ทนายความว่าจะยังไง แต่ก็คงหนักเลยเป็นล้านแน่ๆ เพราะยังต้องคำนวณและไกล่เกลี่ยเพราะเรื่องนี้เป็นคดีแพ่งมันไกล่เกลี่ยได้ จริงๆ ถ้าไกล่เกลี่ยได้และเขายอมจ่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้อยเรียกไปเดือน พ.ย.60 ซึ่งตอนนั้นทนายเป็นคนไป ก้อยเรียก 3 แสนบาทเองก็จบแล้ว แต่วันที่ 8 มี.ค.61 ก้อยจะขึ้นศาลครั้งที่ 2 ที่ศาลมีนบุรี เวลา 09.00 โมง ก้อยไปเอง ซึ่งก้อยไม่อยากเสียเวลาแล้ว ถ้าเขาบอกจะให้ 6 หมื่นก็ได้แต่สิ่งที่คุณทำคุณพูดคืออะไร ถามว่าแจ้งเขาไปกี่ข้อหา อันนี้ไม่ทราบนะ มีละเมิดและผิดสัญญาแน่นอน 2 ข้อหานี้”
“เรื่องเขาเอาไปขายในอินเตอร์เน็ต อันนี้ทนายความต้องจัดการให้ค่ะ วันนี้อยากจะมาบอกว่า 1. เราถูกละเมิด 2. ไม่ได้รับความเป็นธรรม เอาเปรียบคนคนหนึ่งที่เขาคิดว่าเป็นแค่นักแสดง จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เป็นพริตตี้ เป็นนักแสดง ก็เป็นคนเหมือนกัน อย่ามาทำแบบนี้กันเลย พูดคุยกันได้ก็พูดคุย แต่ว่าถ้าเกิดพูดคุยกันไม่ได้คุณทำแบบนี้ก็ไม่ถูกคือนิ่งเลย ฉันทำธุรกิจ ฉันไม่จ่ายก็ได้อะไรแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ไม่ควรจะอยู่ในสังคมนี้ค่ะ คือมันหลายปีแล้ว เราเหนื่อย เราท้อสุดๆ แล้วนะ”