ถ้าเปรียบชีวิตคือละคร ชีวิตของ "แอน กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ" ก็คงเป็นละครดรามาเข้มข้นเรื่องหนึ่ง...
ย้อนกลับไป 20 กว่าปีก่อน เธอคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นดารานางแบบลูกครึ่งที่ฮอตมาก มีผลงานมากมายทั้งงานละคร เดินแบบ และถ่ายแฟชั่น
ด้านชีวิตรัก เธอแต่งงานกับนักแสดงหนุ่มสุดฮอตในช่วงนั้นอย่าง “เจค ศตวรรษ ตุลยวิจิตร” ก่อนมีทายาทด้วยกัน 2 คน คือ “ภีม ภาคิน จิกิตศิลปิน” ที่เคยมีผลงานการแสดงอยู่พักหนึ่ง และลูกสาวอีกหนึ่งคน
อย่างไรก็ตาม ชีวิตครอบครัวที่ดูเหมือนจะสวยงามก็ไปไม่รอด มีเรื่องมีราวทำร้ายร่างกายกันจนถึงขั้นต้องขึ้นโรงขี้นศาล และชีวิตคู่ก็จบลงในที่สุด
หลังจากเป็นซิงเกิลมัมอยู่หลายปี งาน-เงินที่มีก็เริ่มถดถอย ทำให้เธอเลยต้องหวนกลับมาถ่ายเซ็กซี่อีกครั้ง รวมถึงต้องขายบ้านที่ธนาคารจะยึดเพื่อจะนำเงินมารักษามะเร็งที่มดลูกกระทั่งหายขาด ทว่าโชคร้ายยังไม่หมด ปี 2553 เธอก็ต้องมาป่วยเป็นโรควัณโรคกระดูก ต้องรับการผ่าตัดถึง 6 ครั้ง และใส่เหล็กดามขาไว้
วันนี้อดีตสาวเซ็กซี่ในวัย 51 ปีเดินได้แบบกะโผลกกะเผลก ใช้ชีวิตอยู่กับแมว 3 ตัวในบ้าน(เพื่อน)ที่กำลังจะถูกยึด โดยมีเงินใช้จ่ายที่ลูกสาวให้เดือนละประมาณ 3 พันบาท และนี่คือเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเธอ...
"ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย ตั้งแต่ปี 53 แล้วค่ะ บ้านก็ขายไปเมื่อปีที่แล้ว ที่ขายเพราะว่าแบงค์เขาจะยึด เพราะเราไม่ได้ผ่อนแบงค์มา 2-3 ปีแล้ว ก็ขายได้แล้วเอาเงินไปใช้หนี้แบงค์ทั้งต้นทั้งดอก เหลือนิดหน่อยก็เอาไปไถ่ที่คืนให้แม่ เพราะมีช่วงหนึ่งเอาที่แม่มาจำนอง เพื่อจะเอามาไปจ่ายค่าเรียนให้ลูก"
"ที่เหลือติดตัวก็ไม่เยอะ ก็ตามใช้หนี้เรื่อยเปื่อยไป คือช่วงดาวน์ของชีวิตมันจะมาเป็นช่วงๆ เลยนะ อย่างช่วงแรกซื้อคอนโดแถวพระราม 9 มันก็มีเรื่องให้เราต้องผ่าตัด ก็ต้องขายคอนโดทิ้ง มาซื้อบ้าน เพราะเราอยากได้บ้านอยู่แล้วด้วย ก็ขายแบบถูกๆ สรุปเงินก้อนนั้นก็ไม่ได้มาซื้อบ้าน ก็แค่ดาวน์บ้าน แล้วที่เหลือก็มารักษาตัว"
"สมบัติที่มีทั้งหมดก็ขายใช้ไปหมด เพราะต้องผ่าตัดมะเร็งปากมดลูกครั้งนั้นเลย ก็เอามารักษาตัวเอง เพราะต้องคีโม ฉายแสงอะไรต่างๆ นานา ตอนนั้นหมดเลย เพชร ทอง หมดเลย ทองประมาณ 10 บาท แหวนเพชร สร้อยที่สะสมมา ตอนแรกจะเก็บไว้ให้ลูกสาวก็ต้องเอามาขายหมด"
แล้วบ้านหลังนี้ของใคร?
"ตอนแรกคิดว่าตังค์ที่ขายบ้านจะเหลือ ก็กะว่าจะไปเช่าคอนโดอยู่กับลูก แต่สุดท้ายไม่เหลือ ก็ถามเพื่อนว่าบ้านหลังนี้เพื่อนเขาไม่ได้อยู่ เขาก็เลยให้มาอยู่ จริงๆ ก็จะโดนแบงค์ยึดแล้วเหมือนกัน (หัวเราะ) โดนยึดแล้วด้วย แบงค์ก็มาสำรวจว่าเราเป็นอะไรกับเจ้าของบ้าน เราก็บอกเป็นเพื่อน"
"เขาก็ถามว่าทราบมั้ยว่าบ้านหลังนี้โดนยึดแล้วนะ เราก็ถามว่าอยู่ได้มั้ย เขาบอกว่าอยู่ไปก่อนก็ได้ แล้วแบงค์จะส่งเอกสารมาให้อีกทีหนึ่ง ไปถามข้างบ้านเขาก็บอกว่าให้เราอยู่ไปก่อนเถอะ เพราะถ้าแบงค์ยังไม่เอาป้ายมาติดเราก็ยังอยู่ได้...คือย้อนไป ตอนเลิกกับพ่อของภีมเราก็ไม่มีเงินสักบาทเลยนะ"
"จากคนที่ไม่คิดว่าจะต้องมาถ่ายเซ็กซี่ ก็ต้องมาถ่ายเพื่อลูก เหมือนมันล้มมาตลอด ล้มครั้งแรกก็ต้องขายสมบัติหมด ล้มครั้งที่สองสมบัติก็ไม่เหลือ"
เผยความรู้สึกหลังรู้เป็นโรคร้าย ไม่ได้คิดถึงเรื่องตาย แต่นึกอะไรไม่ออก
"ตอนที่หมอพูดนึกอะไรไม่ออกเลย ความรู้สึกคือเราจะได้อยู่กับลูกมั้ย ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อนะ ไปหาหลายโรงพยาบาลเลย จนหมอบอกว่าต้องผ่าแล้วนะ จะเข้าขั้น 3 แล้วนะ ก็เลยแอดมิทไม่บอกใคร ไม่บอกลูก ไม่บอกแม่ ไม่บอกใครว่าเราเป็นอะไร ยังบอกคุณหมอเลยว่าถ้าเป็นข่าวก็ขอบอกว่ามาผ่าที่ปีกมดลูก คือเราไม่ต้องการให้มามองว่าเป็นโรคมะเร็ง ให้ใครมาสงสาร"
"หลังจากผ่ามาก็หายค่ะ กลับไปทำงานรับละครเหมือนเดิม ผ่านไป 10 กว่าปีก็มาเป็นเรื่องกระดูกนี่แหละ ก็มีเหตุให้ต้องขายทรัพสินท์อีก"
สุดรันทดช่วงผ่าตัดรักษาขาไม่มีเงินแม้กระทั่งจ่ายค่าหมอ
"ผ่าครั้งแรกใช้สิทธิ 30 บาท พอเป็นข่าวออกไปก็มีคนเข้ามาช่วย แต่พอครั้งที่สองที่ล้มเราก็ต้องจ่ายเอง คุณหมอเขาก็ช่วยคนละครึ่ง ช่วงนั้นน้องภีมเขาก็เริ่มมีงานละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ เขาก็ไปขอเงินจากพี่หน่อง (อรุโณชา ภานุพันธุ์) มารักษาแม่ กว่าหมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลก็ 2 เดือนกว่า แล้วก็ผ่านมาจนถึงครั้งที่ 6 ก็บอกหมอไปตรงๆ ว่าไม่มีเงินจะผ่าแล้ว รอให้มีเงินก่อนได้มั้ยแล้วค่อยมาผ่า"
"หมอบอกว่าผ่าเถอะ เดี๋ยวหมอคุยกับผอ.ให้ เรื่องผ่าตัดกระดูก คุณหมอก็ช่วยเรื่องยา ยาบางตัวมันแพง คุณหมอก็เลยไปเอามาจากโรงพยาบาลราชวิถีให้ จะได้ไม่ต้องไปเสียตัวที่มันแพงให้กับโรงพยาบาลหลัก คุณหมอก็ช่วยจนเราเกรงใจ ไม่มีเงินผ่า หมอเขาก็คุยกับผอ.ให้"
"เอาเงินที่มูลนิธิมะเร็งโรคกระดูก ที่โรงพยาบาลเลิศสิน สำหรับคนไข้ที่ไม่มีเงิน ก็เอาเงินตรงนี้มาช่วย เราก็เลยคิดว่าถ้าเราเดินได้และมีงานทำ เราก็อยากแบ่งปันบางส่วนช่วยมูลนิธิบ้าง เพราะตอนนี้เราก็ยังไม่ได้คืนคุณหมอสักเท่าไหร่เลย (หัวเราะ) 250,000 บาท ยังไม่ได้คืนเขาเลย ก็เลยอยากจะตอบแทนบ้าง ก็ช่วยบริจาคให้บ้าง อย่างเคสที่เหมือนเราน่ะ ให้เขาได้รับโอกาสเหมือนเรา”
บอกเจ็บปวดยิ่งกว่าผ่าคลอดลูก!
"ผ่าแต่ละครั้งก็เสียเลือดเยอะ ครั้งล่าสุดนี่ก็ต้องนอนไอซียู ครั้งแรกเคยคิดนะว่าอาจจะไม่ฟื้น เพราะหมอเขาก็พูดว่าผ่าอาจจะไม่ฟื้นนะ หรือฟื้นแล้วตาอาจจะมองไม่เห็น เพราะนี่คือผ่าตัดใหญ่ มันใช้เวลาและต้องเสียเลือดเยอะด้วย ตอนนั้นเราเป็นโลหิตจางด้วย ก่อนจะผ่าเราก็ต้องอัดยาบำรุงเลือดก่อน ยังร้องไห้อยู่กับเพื่อนเลยว่าจะตายมั้ยเนี่ย จะได้เห็นหน้าลูกมั้ย ลูกก็ไปหลบร้องไห้กันในรถกับยาย"
"ผ่าครั้งแรกน่ะกลัว แต่พอครั้งที่ 2-3 ก็ไม่กลัวแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไป ปลงแล้ว แต่กว่าจะเสร็จแต่ละทีทรมานมาก แล้วผ่าครั้งล่าสุดมันไปโดนเส้นประสาท มันก็จะชาไปหมด อยากจะบอกกับทุกคนว่าครั้งนี้แหละทรมานยิ่งกว่าผ่ากระดูกอีก เพราะเราผ่าถี่มาก 3 เดือนผ่าที หมอก็ยังบอกว่ากลัวจะโดนเส้นประสาท เพราะมันเป็นจุดรวมเส้นประสาทเลย หมอบอกว่าเขาก็จะทำเต็มที่นะ แต่ครั้งนี้มันสุดวิสัยก็เกี่ยวไปนิดหนึ่ง"
"นี่แหละยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถึงกับขอยาจากหมอเลยว่ามียาอะไรที่มันแก้ปวดได้มากกว่านี้มั้ย ไม่ไหวจริงๆ เหมือนมีเข็มเป็นพันเล่มทิ่มอยู่ที่ขาเรา มันทรมานมาก นอนไม่ได้เลย หมอฉีดยาแก้ปวดให้ก็ยังไม่อยู่ เป็นอยู่ประมาณ 2 เดือนได้มั้ง มันเจ็บมากจริงๆ เจ็บกว่าผ่าตัดคลอดลูกอีก ทั้งปวด ทั้งระบม ตอนนี้ขาก็พอเดินได้ แต่เดินไม่ค่อยถนัด เหมือนเส้นทุกอย่างมันยึด"
"เพราะเราไม่ได้เดินมา 3 ปี เส้นมันก็ยึด ตอนแรกๆ หมอก็นัดเข้าไปเช็คทุกเดือน แต่ตอนนี้ 6 เดือนครั้ง ก็ยังเดินได้บ้างค่ะ แต่ส้นเท้าลงได้ไม่เต็มเท้าเลยทำให้เราเดินไม่ถนัด และด้วยความที่เรารักสวยรักงามด้วยนะ (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่าเดินแบบนี้เราก็ไม่อยากให้ใครมามองหน้าแล้วมองขา หมอก็บอกว่าต้องใช้เวลาค่ะ เพราะมันเกี่ยวกับเส้นประสาท แต่คิดว่าถ้าได้นวดบ่อยๆ น่าจะดีขึ้นนะ"
รายได้หลักมาจากลูกสาวที่ตอนนี้ทำงานธนาคารเพื่อรอสอบเป็นแอร์โฮสเตส
"ลูกสาวเงินเดือนก็ได้ประมาณหมื่นกว่าๆ โดนหักค่าประกันสังคม เขาก็ให้แม่ได้นิดหน่อย เดือนไหนเขาไม่พอเขาก็ยืมเพื่อน เขาก็ให้แม่ได้แค่ 2-3 พันบาท ก็ถือว่าเยอะนะ เขาจะคอยไลน์มาถามว่าแม่มีเงินใช้มั้ย ด้วยความเป็นแม่เราก็ไม่อยากไปรบกวนลูก และบางทีแม่เราโทรมา เราก็ต้องแบ่งให้เขาบ้าง บางทีไม่มีให้เขาเราก็เครียดนะ เพราะเขาเองก็ไม่สบาย เขาอยู่กับหลานและน้องชายที่โคราช"
"เขาก็เป็นเส้นเลือดในสมองตีบ เป็นคอลเลสเตอรอลในเส้นเลือด ตอนนี้เขาก็เดินไม่ค่อยไหว บางทีเขาโทรมาเราก็เครียด เพราะเราแบ่งให้เขาไม่ได้ เราก็ไม่กล้าไปยืมใคร ส่วนน้องภีมตอนนี้ก็เรียนจบแล้ว ก็ไปอยู่กับเพื่อน เขาเป็นคนชอบมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ เพื่อนเขาเปิดร้านบิ๊กไบค์ เขาก็ไปช่วยเพื่อนก็ได้เงินนิดๆ หน่อยๆ ไปเรียนซ่อมมอเตอร์ไซค์ เขาบอกว่าถ้ามีตังค์เขาจะซื้อมาขับ เขาชอบ"
"ถามว่าพอเลี้ยงตัวเองมั้ย ภีมเขาก็ได้นิดๆ หน่อยๆ เขาก็เอามาให้บ้าง ก็ได้ใช้ในแต่ละเดือน แต่ส่วนใหญ่ลูกสาวจะเป็นคนให้ เพราะภีมเขาก็ให้ได้ไม่เยอะ ตอนนี้เขาก็เลยไปอยู่กับเพื่อนเขาที่ทำงาน ความหวังก็อยู่ที่ลูกสองคนนี่แหละ ลูกสาวก็อยากเป็นแอร์ น้องภีมก็อยากเป็นสจ็วตนะ แต่ก็บอกให้เขาไปลดความอ้วนก่อน เพราะเขาเป็นตามใจปาก และเป็นคนโครงใหญ่ พอไปออกกำลังกายมันก็ไปกันใหญ่ ก็ต้องคอยเตือน ก็หวังแค่นี้แหละ"
"สักวันก็อยากมีบ้านเดี่ยวเป็นของตัวเองนะ ตอนนี้ก็เหมือนบ้านแตกอยู่คนละทาง มันก็เศร้าแหละ อยู่บ้านดูทีวีบางทีก็เบื่อ ก็ออกไปอุ้มแมวเล่น ข้างบ้านก็มาคุยด้วย แต่เราอยู่ได้อยู่แล้ว เพราะเราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงด้วย (หัวเราะ) ก็โอเค ถ้าลูกสาวมาก็จะพาไปกินข้าวข้างนอกกัน ลูกชายก็มาแว้บๆ ตามประสาผู้ชาย ถามว่าทุกวันนี้ชีวิตอยู่เพื่ออะไรก็ยังถามตัวเองอยู่นะ อยู่เพื่อลูกเหรอ อยู่เพื่อความหวังว่าสักวันเราต้องเดินได้ เราต้องกลับมาทำงานให้ได้ ก็ให้กำลังใจตัวเองแหละ"
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่https://mgronline.com/entertainment)
ภาคความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
"อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ เราเชื่อว่าเราโดนของ คิดว่าไปโดนลมเพลมพัดมาก่อนที่เวียดนาม เมื่อปลายปี 53 ตอนนั้นยังเดินได้ปกติ ชีวิตก็ดี มีงาน มีเงิน พอไปเวียดนามกลับมาขาก็เริ่มเจ็บ แล้วก็เดินไม่ได้..."
"เรื่องของเรื่องเริ่มจากที่ป่วยก่อน คือไปถึงแล้วเป็นไข้ ก็ไปกินข้าวกับเพื่อน ด้วยความที่เป็นไข้ก็กินไม่ค่อยลง ก็ไปนั่งรอเพื่อนข้างหน้าร้าน แล้วหน้าร้านก็มีต้นไม่ใหญ่ๆ อยู่ แล้วเขาก็เผากระดาษที่เขาเผาให้คนตายน่ะ น้องคนหนึ่งก็เดินมาบอกว่าเดี๋ยวต้องไปแลกเงิน เงินเวียดนามเขาหมดแล้ว เราก็เลยบอกว่าไปทำไม นี่ก็มี เราก็ไม่คิดอะไร เสร็จเราก็ขอโทษนะ แต่กลับมาถึงเดินไม่ได้เลย"
"ตอนนั้นพูดไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เพราะมันมีเด็กมาเดินขายของอะไรเหมือนบ้านเราแหละ เราก็นึกว่าเป็นของเล่นเด็ก แต่เห็นว่าเขาเผาอยู่ เราก็รีบขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พอเย็นนั้นเดินไม่ได้เลย เส้นแข็งไปหมด เดินแล้วเจ็บ ขยับก็เจ็บ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าโดนของ ก็คิดว่าป่วยปกติ ถามว่าเชื่อเรื่องพวกนี้มั้ย ก็ไม่เชื่อนะ แต่ไม่ได้ลบหลู่"
"ก็พอตกเย็นวันนั้นที่เวียดนามเดินไม่ได้ กลับมาก็เลยรีบกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลรามคำแหง เขาก็บอกว่าเส้นเอ็นอักเสบ ก็ฉีดยาเข้าเส้น เขาบอกว่าประมาณ 2-3 วันก็จะดีขึ้น เราก็เอายากลับมา ผ่านไป 3-4 วันก็ยังเดินกระเผลกๆ อยู่ แล้วก็มีอาจารย์ที่บอกว่าทักเรื่องโดนของน่ะ มาบอกกับลูกว่าแม่เราไปตีขาช้างนะ ทำให้ขาเขาเจ็บ"