อาจจะพูดได้ว่า เป็นบทที่ท้าทายมากๆ สำหรับนักแสดงสาวชื่อดัง “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์” ที่ด้วยบทบาท นอกจากจะโดดเด่นจนเป็นเสมือนหนึ่งผู้ที่ต้องแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่เธอต้องลงทุนเปลือยกายให้กับการแสดงบนจอภาพยนตร์
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ในหนังเรื่องนี้ รับบทเป็น “โดมินิก้า” สาวนักเต้นบัลเลต์ชาวรัสเซียที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการแสดงและมีแววว่าจะไม่ได้ไปต่อบนเส้นทางสายนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบแน่นอน ไม่เฉพาะต่อชีวิตของเธอ แต่ยังรวมไปถึงแม่ที่เธอดูแลอยู่ด้วย และในระหว่างที่กำลังไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อกับชีวิต ก็มีญาติสนิทคนหนึ่งซึ่งทำงานกับรัฐบาลและเป็น “อา” ของเธอ มายื่นข้อเสนอบางอย่างที่เป็นทั้ง “ทางออก” และ “ทางอับ” ที่ทำให้โดมินิก้าต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
ครับ, โดยแก่นสารข้อเสนอนั้น สั้นๆ ก็คือ การให้เธอไปช่วยทำหน้าที่เป็น “นกต่อ” ล่อพวกสายลับให้เข้ามาติดกับ และจากภารกิจแรกที่ดูเหมือนง่าย กลับกลายเป็นผลักให้เธอต้องถลำเข้าไปอีก จะไม่ทำก็ไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกส่งไปเข้าคอร์สฝึกสุดโหดในโรงเรียนสแปร์โรว์ ...
เจสัน แม็ทธิวส์ อดีตซีไอเอของสหรัฐฯ นั้นเล่าว่า โรงเรียนสแปร์โรวนี้มีอยู่จริงในสหภาพโซเวียต โดยเป็นโรงเรียนสอนหญิงสาวให้รู้จักศิลปะของการล่อลวงและยั่วยวนเพื่อแบล็คเมลเป้าหมายในงานสายลับ หญิงสาวจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้ปรนเปรอทางเพศ และพวกเธอจะถูกเรียกว่า ‘สแปร์โรว์’ (นกกระจอก) ...
เจสัน แมทธิวส์ เขาคือบุคคลต้นขั้วของเรื่องราวเนื้อหาในเรด สแปร์โรว์ เพราะหลังจากเกษียนจากการเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอแล้ว เขาได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งเขียนนิยายเรื่องนี้ที่ตีพิมพ์และวางจำหน่ายในปี ค.ศ.2013 และขายดีมากจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนิยายไตรภาค โดยมี Palace of Treason เป็นภาคที่สอง และ The Kremlin’s Candidate กำลังจะตามมา
สำหรับเนื้อหาในเรด สแปร์โรว์ นั้น ทางผู้กำกับ “ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” (ซึ่งเคยกำกับ “เดอะ ฮังเกอร์ เกมส์” มาทั้งสามภาค) ยอมรับเช่นกันว่า มันมีรายละเอียดบางจุดที่ค่อนข้างล่อแหลม ทั้งในเรื่องเพศและความรุนแรง เช่น การเปิดเผยเนื้อหนังมังสาแบบโจ๋งครึ่ม หรือฉากเซ็กส์ที่คุกคามรุนแรง ไปจนถึงฉากการทรมานร่างกายหรือฉากการต่อสู้ที่ดูหวาดเสียว (แต่ที่ผมเห็นว่ามันน่าสะพรึงแบบสุดๆ คือคอร์สการสอนในโรงเรียนสแปร์โรว์นั่นล่ะครับ เพราะแม้แต่โดมินิก้าเองก็ยังยอมรับว่ามันแทบไม่ต่างจากโรงเรียนสอนคนให้เป็นโสเภณี)
อย่างไรก็ตาม ผมมีความเห็นว่า ฉากทั้งหมดนั้น ล้วนแต่มี “ที่มา” และ “เหตุผล” มันไม่ใช่หนังขายเซ็กส์เพื่อหวังกระตุ้นอารมณ์แบบหยาบๆ หรือนำเสนอความโหดแบบหนังเกรดต่ำ หากแต่มันมีความกลมกลืนไปกับเนื้อหาสถานการณ์ที่ถ้าขาดไป ก็อาจลดพลังของเรื่องลง คล้ายๆ หนังเรื่อง Lust, Caution ของ “อั้ง ลี” ที่ถ้าตัดฉากโจ๋งครึ่มพวกนั้นออกไป ก็อาจทำให้หนังด้อยลงได้ เพราะมันคือการอธิบายจิตวิทยาของตัวละครผ่านฉากบนเตียง
... กล่าวโดยภาพรวม เรด สแปร์โรว์ อาจไม่ใช่หนังสายลับที่ขายความแอ็กชั่นโฉ่งฉ่างโครมคราม แต่กลับดูสนุกและน่าติดตาม ด้วยตัวสถานการณ์ที่กดดันและทำให้เราสนใจใคร่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ภารกิจนั้นๆ จะลงเอยอย่างไร แต่สรุปแล้วก็นับว่าเป็นความคุ้มค่าอย่างถึงที่สุดของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับการ(เปิดเผยเนื้อตัว)เล่นหนังเรื่องนี้
เราอาจเคยดูหนังแนวๆ ผู้หญิงที่ถูกเหตุการณ์บางอย่างชักพาให้ก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งสายลับ แต่สำหรับผู้หญิงในเรด สแปร์โรว์ ก็ยังดูแตกต่างและมีความใหม่ในแบบของตัวเอง มันไม่ใช่หนังที่เปลี่ยนผู้หญิงให้ลุกขึ้นมาฝึกหัดถือมีดถือปืนแล้วออกไปเป็นสายลับหรือฆ่าคนอย่างที่เห็นกันดาษดื่นในหนังหลายเรื่อง แต่มันคือหนังที่ทำให้เราได้สัมผัสถึงพลังเร้นลับซับซ้อนยอกย้อนแสนกลของความเป็นผู้หญิงซึ่งพร้อมจะทำให้ “เหยื่อติดกับ” แต่...ก็เพราะพลังของผู้หญิงแบบนั้นอีกนั่นเอง ซึ่งเปลี่ยนโลกได้อย่างที่ใครที่ว่าร้ายๆ ก็คาดไม่ถึง...