xs
xsm
sm
md
lg

ปมในใจที่ลืมไม่ลง! “เพลิง พลภัคค์” เผยแรงบันดาลใจฝึกกังฟู ครั้งหนึ่งแม่เคยถูกใช้ปืนจ่อยิงต่อหน้า แต่ช่วยอะไรไม่ได้!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“เพลิง พลภัคค์” ฝึกกังฟู เพราะครั้งหนึ่งในวัยเด็กแม่เคยถูกโจรใช้ปืนจ่อยิงต่อหน้าแต่ตนกลับช่วยอะไรไม่ได้ บอกอยากลบปมในใจอันอ่อนแอ เตือนตัวเองต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติทุกเวลา


เริ่มคุ้นหน้าแฟนๆ หลังจากที่เป็นหนึ่งใน 7 โจรสุดโฉดในละครเรื่องล่า ล่าสุด “เพลิง พลภัคค์” ก็ได้มารับเล่นละครกาหลมหรทึก ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมเผยเรื่องท็อปซีเคร็ทว่าทำไมถึงเรียนศิลปะการต่อสู้ มวย เทควันโด และเรียนกังฟู โดยเพลิงเปิดใจว่าเป็นเพราะปมในในเมื่อตอนอายุ 11 ปี

“ที่มาของการฝึกกังฟู คือผมชอบดูหนังจีนและก็สนใจพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมอยากจะฝึกมันอย่างจริงจังคือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมและคุณแม่ คือมีอยู่ครั้งหนึ่งผมกับคุณแม่โดนปล้น ตอนนั้นเราก็เด็กมาก อายุประมาณ 11 ปี วันนั้นคือเดินไปทางข้าวกับคุณแม่ อยู่ดีๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมาจอดตรงหน้าของแม่เรา ตอนนั้นเราก็คิดว่าเขาจะมากลับรถหรือเปล่า แต่เขามาจอดตรงหน้าคุณแม่เรา และคนที่ซ้อนก็เอาปืนมาจ่อหน้าของคุณแม่เรา เหมือนในหนังเลยแต่มันคือเหตุการณ์จริงๆ เลยนะ และตอนนั้นมันเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ก็ไม่ค่อยมีรถวิ่งแล้ว มันก็จะเงียบๆ หน่อย ซึ่งห่างจากหน้าบ้านประมาณแค่ 500 เมตรเอง”

พอเขาเอาปืนมาจ่อหน้าแม่ผม ผมก็จิตหลุดเลย ตอนนั้นหูอื้อ ก็เลยวิ่งไปได้ประมาณ 5 ก้าว ก็นึกขึ้นได้ว่าแม่ไม่ได้วิ่งมาด้วย แม่ยังยืนอยู่ที่เดิม และภาพที่หันกลับไป แม่ผมกำลังโดนกระชากสร้อยอยู่ ตอนนั้นผมกลัวมากเลย ผมไม่มีสติ และยังจำทะเบียนรถไม่ได้เลย แม่ผมก็ไม่ร้อง กลัวว่าโจรจะหันปืนมาทางผม มันเลยกลายมาเป็นปมว่าทำไมเราไม่สามารถปกป้องแม่ของเราได้เลย (ตาเริ่มแดง) และตั้งแต่วันนั้นมันเหมือนมีปมอยู่ในใจ ที่ไม่สามารถปกป้องใครได้ หลังจากวันนั้นผมก็ทำทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะไปหัดต่อยมวย ซ้อมเตะต้นกล้วยอยู่ที่บ้าน”

“ซึ่งในใจตอนนั้นผมโทษตัวองว่ามันคือของจริง มันเกิดขึ้นจริง คือเราจะพูดกับคนอื่นยังไงก็ได้ว่าเราเก่ง แต่นี่มันคือของจริง มันคือสิ่งที่เราต้องเผชิญ และพอเราเจอของจริง มันทำให้เราไม่มีสติ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ใช่วิชา ไม่ใช่กังฟู แต่มันคือสติมากกว่า เหตุการณ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่มีสติ และที่ผมทำทั้งหมดก็คือเพื่อลบปมความอ่อนแออันนั้นทิ้งไป”

“และการที่ผมไปฝึกกังฟูคือแบบเตะต่อยได้จริงๆ และก็ไปเรียนเทควันโด้แบบจริงจัง หลังจากนั้นก็ไปเรียนกังฟูแบบจริงๆ เนื่องจากผมขึ้นรถเมล์แล้วไปเจอครูสอนกังฟูโดยบังเอิญ เพราะผมเห็นเขาพกกระบอกสามท่อนคุ้นๆ เหมือนฉากในหนังเลย เราเลยไปถามว่าเขาสอนกังฟูเหรอ และที่น่าตกใจไปอีกคือเขามาจากวัดเส้าหลิน และมาเปิดสอนที่เมืองไทย”

“หลายคนอาจจะมองว่าเราฝึกเพราะต้องการใช้กำลังในการป้องกันตัว แต่ผมว่ามันไม่ใช่ คือมันเป็นการคิดในแง่ลบที่จะใช้กำลังในการตัดสินปัญหา จริงๆ ทุกครั้งที่ผมฝึกกังฟู ผมคิดตลอดว่าผมไม่ชอบการต่อสู้อะไรทั้งนั้น แต่ที่ฝึกก็เพราะเพื่อต้องการลบปมในใจกับเรื่องนี้ ต้องการปกป้อง คำนี้จะอยู่ในใจตลอด และมันแตกต่างกว่าคำว่าจะใช้กำลังแก้ไข แต่มันเป็นการใช้เพื่อจะปกป้องใครคนหนึ่ง อีกอย่างผมว่าอยู่ที่ทัศนคติและเป้าหมายของเรา เราไม่ได้ต้องการบอกทั้งโลกว่าเราเป็นมวย เราเป็นกังฟู และผมก็ไม่ได้วางตัวแบบนั้น และที่เราได้ฝึกมา มันทำให้ได้สติ ให้รู้ว่าเราได้ทำอะไรเพื่อจะปกป้องใครได้บ้าง”




กำลังโหลดความคิดเห็น