ลูกไม้หล่นไม่ไกลจากต้นเลยสักนิด สำหรับ "เบลล์ เลลาณี ทศพร" วัย 23 ปี ลูกสาวคนเก่งของแม่ "แก้ว อภิรดี ภวภูตานนท์" ที่นอกจากความสวยที่ได้แม่มาเต็มๆ แล้ว ความสามารถยังมีดีไม่แพ้ใคร
โดยหลังจากชิมลางวงการบันเทิงด้วยการประกวดมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ ตัวแทนจังหวัดสระบุรี เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ล่าสุด “เบลล์ เลลาณี ทศพร” ก็ขอเดินตามรอยเท้าคุณพ่อ "อ๊อด โอภาส ทศพร" ด้วยการกระโดดเป็นศิลปินหน้าใหม่ของค่ายโมโนมิวสิค ในเครือ โมโน กรุ๊ป กับซิงเกิ้ลเปิดตัว “สักคืนได้ไหม”
“เบลล์เป็นคนที่ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ด้วยเวลานั้นเบลล์ต้องเรียนหนังสือก่อน และแม่แก้วก็อยากให้เบลล์ทำหน้าที่ในช่วงวัยนั้นให้ดีที่สุด แต่พอเบลล์เรียนจบและบวกกับเข้ามาประกวดมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ ปี 2017 และได้รางวัล Best Voice Award มาครอง ซึ่งการร้องเพลงก็ยังคงอยู่ในสายเลือดตลอด พอมีโอกาสที่ทางผู้ใหญ่ของโมโนมิวสิคชักชวนมาเป็นศิลปินในค่ายก็ตัดสินใจตกลงทันที ทางคุณพ่อกับคุณแม่ก็สนับสนุนด้วย”
เพราะเกิดในครอบครัวศิลปิน จึงอยากเดินตามรอยพ่อเข้าวงการเพลง
"ตอนนี้เบลล์มีผลงานเพลงเป็นของตัวเองแล้ว ทางคุณพ่อเขาก็รู้สึกดีใจไปกับเราด้วย แต่คือเอาจริงๆ ในครอบครัวไม่มีใครคิดว่าเบลล์จะร้องเพลงได้ ถ้าเบลล์ไม่ได้เข้าประกวดนางงามปีที่แล้ว เขาก็ไม่ทราบเลยว่าจริงๆ แล้วเบลล์ร้องเพลงได้นะ คือคุณพ่อจะเห็นเบลล์เต้นอย่างเดียว และที่ถามว่าคุณพ่อช่วยสอนเทคนิคในการร้องเพลงมั้ย ด้วยความที่เบลล์ไม่ได้มีโอกาสเจอคุณพ่อเท่าไหร่ แต่คุณพ่อจะสอนเรื่องการเลือกเพลงไปออกงานมากกว่า จะทำยังไงให้คนดูรู้สึกว่าเราทำการบ้านมาดี"
"ส่วนคุณแม่แก้วเขาก็ดีใจ แต่แม่เขาจะเป็นห่วงมากเรื่องของความรู้สึก เพราะเขามีประสบการณ์เยอะ แม่จะบอกกับเบลล์เสมอว่าให้เตรียมความพร้อมในเรื่องของจิตใจเยอะๆ เวลาเราอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์จะมีคนคอยจับจ้องมาที่เรา เราจะรู้สึกกดดันค่อนข้างสูงกว่าคนปกติ ฉะนั้นพยายามมองโลกในแง่บวกไว้และตั้งใจทำงานให้ออกมาดี ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตลูกได้ทำแล้ว คือเขาไม่ได้หวังว่าจะต้องดังเปรี้ยงปร้าง ส่วนบางคนชอบพูดว่ามีแม่คอยดัน เบลล์มองว่าแม่ทุกคนก็ดันลูกตัวเองหมด ลูกคุณออกเพลง คุณไม่เชียร์ลูกคุณหรอ แม่เราก็เป็นคนปกติที่เชียร์ลูกตัวเองเหมือนกัน"
มาวันนี้เป็นทั้งนักร้อง นางแบบ นักแสดง ถามจริงอยากให้คนจำ "เบลล์ เลลาณี" ในฐานนะอะไร
"อยากให้จำเบลล์ในฐานะนักร้องที่สามารถแสดงได้ เพราะเบลล์คิดว่าเร็วๆ นี้จะมีละครกับทางค่ายโมโน แต่ตอนนี้อยากให้ทุกคนลองเปิดใจมองเบลล์ในความสามารถของตัวตนของเรา ก่อนที่จะมองว่าเบลล์เป็นลูกของใคร อยากขอโอกาสให้เบลล์ได้ทำงานเต็มที่ก่อนที่จะมองว่าเบลล์เป็นลูกแม่แก้ว"
การมีชื่อ "แม่แก้ว อภิรดี" กับ "พ่ออ๊อด โอภาส" ส่งแรงกดดันต่อเราอย่างไรบ้าง
"ตอนเด็กๆ แอบร้องไห้ รู้สึกว่าทำไมเราต้องโดนว่า แล้วทำไมคนอื่นๆ ต้องมาด่าเรา เวลาเบลล์จะไปประกวดที่ไหนเบลล์คิดในใจว่าไม่อยากให้แม่แก้วมาดูมาเชียร์ ขณะตอนประกวดนางงามก็ไม่อยากให้แม่โผล่มาเลย เพราะไม่อยากให้ผู้เข้าประกวดคนอื่นมองว่า เห้ย!! เราลูกดารารุ่นใหญ่ แก้ว อภิรดี ซึ่งเบลล์กลัวว่าคนอื่นเขาจะปฏิบัติตัวกับเราเปลี่ยนไป เพราะทุกครั้งพอเขารู้ว่าเราเป็นลูกแม่แก้ว เขาจะเข้ามาทำดีกับเรา จากที่เราไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคุย มองเราแบบหมั่นไส้ อยู่ดีๆ ก็กลับมีเพื่อนเยอะ มีคนยิ้มให้เต็มไปหมดเลย"
"เบลล์ดูไม่ออกว่าเขาเข้ามายังไง จะมารู้ทีหลังตรงที่ว่า เขามาบอกว่าอยากทำงานตรงนี้ฝากแม่ให้หน่อย มันทำให้เราฟังแล้วรู้สึกว่า อ้าวเขาไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเราจริงๆ เขาแค่อยากเข้าวงการ เบลล์บอกเลยว่าเจอแบบนี้มาทั้งชีวิต รู้สึกว่าเพื่อนในชีวิตหายากมาก เบลล์มีสังคมเยอะนะแต่เพื่อนสนิทจริงๆ มีน้อย"
"ทุกวันนี้เบลล์ยังโดนด่าโดนว่าอยู่เลย ยังมีคนเข้ามาคอมเมนท์ว่าดังได้เพราะแม่ดันสุดฤทธิ์ คือเบลล์รู้สึกว่าดังไม่ดังมันไม่ได้เกี่ยวกับแม่แก้วเลย เบลล์เกิดเป็นลูกแม่แก้ว เกิดเป็นลูกพ่ออ๊อด เบลล์ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของท่านทั้งสองคน แล้วมันไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยที่เบลล์โตมากับครอบครัวบันเทิง แม่ก็พาเข้ากองถ่ายตั้งแต่เล็กๆ พ่อก็พาไปคอนเสิร์ตด้วย เบลล์รู้สึกว่าตรงนี้เราได้ซึมซับไปในตัว แบบที่ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าวันนี้เราจะมาเดินทางนี้"
"และการที่มีชื่อแม่แก้ว อภิรดี ติดตัว เบลล์ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร มีแต่ผลดีด้วยซ้ำ เพราะเบลล์รู้สึกว่าแม่แก้วเก่ง มีชื่อแม่ติดตามมาด้วย คนอาจจะไม่รู้จัก เบลล์ เลลาณี แต่ถ้าบอก เบลล์ ลูกสาวแม่แก้ว อภิรดี แล้วเขาจำได้ ก็ดีไง เพราะเขาจะได้จำชื่อหนูและแม่ไปด้วย จะได้ไม่ลืมคุณแม่"
เคยรู้สึกน้อยใจหรือเสียใจบ้างไหมที่ครอบครัวไม่อบอุ่นเหมือนคนอื่น
"ไม่รู้สึกเสียใจเลย เบลล์รู้สึกได้รับความรักความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเบลล์จะได้อยู่กับคุณแม่มากกว่า อยู่บ้านเดียวกันก็เหมือนไม่ได้เจอกันเลย เพราะตื่นมาคุณแม่ก็ไปทำงานแล้ว เบลล์จะคุยกับแม่ทางไลน์บ่อยกว่าเจอหน้ากันอีก ซึ่งนานๆ ทีจะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน และตั้งแต่เด็กคุณพ่อก็มาหาพาไปทานข้าว มีอะไรก็ปรึกษา เดี๋ยวนี้โซเชียลมันดีเราไม่ต้องเจอกันก็ได้ วีดิโอคลอคุยกันได้เลย มันเลยไม่รู้สึกขาดอะไร อีกอย่างคุณแม่เป็นคนสอนให้เบลล์ยืนด้วยตัวเองให้เป็น ไม่ว่าจะทำอะไรเบลล์ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เบลล์เลยรู้สึกว่าทุกๆวันเบลล์ไม่ได้รู้สึกเหงา อย่างที่บอกไปเพื่อนเบลล์เยอะ ทำกิจกรรมเยอะ เลยไม่รู้สึกเหงาคะ"
หลังจากรับรู้ถึงความลำบากของงานในวงการ จนแอบคิดว่าวงการมายาทำให้ตนทะเลาะกับแม่บ่อย
"เบลล์เคยร้องไห้บ่อยมาก บางทีแม่ดุแม่ว่า เบลล์ยังเคยคิดเลยว่าเป็นเพราะการเข้ามาวงการบันเทิงหรือเปล่า ที่ทำให้เบลล์กับแม่ต้องมานั่งทะเลาะกันบ่อย คือเมื่อก่อนตอนที่เบลล์ทำงานอย่างอื่น เบลล์ไม่เคยทะเลาะกับแม่เลยสักครั้ง แต่พอได้เข้ามาในวงการกับต้องมาทะเลาะกับแม่บ่อยขึ้น"
"อย่างเวลาเบลล์เหนื่อย เบลล์บ่นกับใครในโลกนี้ก็ได้ แต่ห้ามไปบ่นกับแม่แก้วเด็ดขาด เพราะคนที่เหนื่อยกว่าเบลล์คือแม่แก้ว ซึ่งทุกวันนี้เบลล์เข้าใจว่าการที่บ่นว่าเหนื่อยมันไม่ได้ทำให้เราหายเหนื่อย บางทีที่เราบ่นเหนื่อยเราพูดได้ แต่พูดอยู่ในหัวตัวเอง แต่เมื่อไหร่ที่พูดกับแม่ เขาจะบอกเหนื่อยหรอ ทำไม่ได้ก็เปลี่ยนสายไปเลย ไม่ต้องทำงานไปทำอย่างอื่น ถ้าอดทนได้แค่นี้ไม่ต้องทำหรอก นอนอยู่บ้านไป ไม่ต้องทำอะไรแล้ว จบปริญญามาแล้ว ก็นอนอยู่นิ่งๆ คือแม่จะสอนว่าอย่าให้มองแต่มุมของตัวเอง ยังมีคนเหนื่อยกว่าเราตั้งเยอะ บางคนเขามาเหนื่อยเพื่อเราแล้วเขาไม่ได้อะไรเลย แม่จะบอกให้เราคิดถึงคนอื่นก่อนคิดถึงตัวเอง เราเหนื่อยขนาดไหนให้คิดไว้เลยว่าคนอื่นเหนื่อยกว่าเราสิบเท่า อย่ามองถึงตัวเองเด็ดขาด"
พอเป็นคนดังขึ้นมา คนก็คาดหวังให้คุณเป็นนั่นเป็นนี่ที่บางครั้งก็เกินความเป็นมนุษย์ธรรมดา เบลล์คิดอย่างไรกับความคิดที่ว่า "เป็นดาราต้องเป็นตัวอย่างของประชาชน"
"เบลล์มองว่าดาราคือคนที่มีหลายคนจับจ้องมอง เบลล์รู้สึกว่าเราควรเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดี เพราะมีคนที่เขาอยากทำตามแบบเราเยอะ ฉะนั้นเบลล์มองว่าจริงๆ แล้วการเป็นดารามันไม่ได้ขาดอิสระตรงไหน เบลล์ถือว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีเกียรติอย่างมาก เบลล์ว่าถ้ามีคนทำตามเราก็ควรที่จะทำอะไรดีๆ ให้กับสังคม ถือว่าเป็นการตอบแทนสังคมกลับด้วย เพราะทุกๆ คนทำให้เรามีวันนี้ คืออย่าคิดว่าตัวเองเด่นดังแล้วจะทำอะไรก็ได้"
เวลาคนดังทำผิดพลาด เหมือนจะโดนลงโทษหนักกว่าคนอื่นคิดเห็นอย่างไร
"มันเป็นเรื่องปกติ เหมือนเรายืนกลางที่โล่งคนก็จะเห็นชัดมากกว่าปกติ เบลล์มองว่ามันเป็นหนึ่งในกฏเกณฑ์ของการทำงานวงการบันเทิงที่จะโดนคนถล่มด่า ซึ่งเบลล์ก็โดนคนด่ามาตั้งแต่เด็กๆ เบลล์มองว่าในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยถูกนินทา ทุกอย่างย่อมมีสองมุมเสมอ ซึ่งเราเองก็ห้ามความคิดของคนอื่นไม่ได้ ขนาดเรายืนเฉยๆ เขาก็ไม่ชอบเรา แต่จะให้เบลล์ทำยังไงในเมื่อเราเป็นตัวของเราเอง เรามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แล้วเบลล์คิดว่าวันหนึ่งเราอาจจะทำให้ทุกคนรักเราก็ได้ในแบบที่เราเป็นเรา เขาอาจจะได้เห็นความตั้งใจของเบลล์ก็ได้ สำหรับคนที่เข้ามาด่าทอ เบลล์รู้สึกว่ามันดีเพราะว่ามันทำให้เราได้ปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง"
สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรกับคุณพ่อคุณแม่
"อยากขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ในทุกเรื่องที่ทำให้เบลล์เป็นเบลล์ในวันนี้ ขอบคุณที่ไม่ทำให้เบลล์รู้สึกว่าขาดความอบอุ่น คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยทำหน้าที่บกพร่องเลยถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว และเบลล์ก็รู้สึกว่าพวกเขาทำดีที่สุดแล้ว คุณแม่ก็เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เข้มแข็งมาก เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เป็นคุณแม่ที่ดูแลเบลล์และพี่ๆ ได้เป็นอย่างดี ส่วนคุณพ่อก็จะคอยให้กำลังใจ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เบลล์รู้สึกขาดในเรื่องของความรัก ซึ่งตอนนี้เบลล์ก็เรียนจบ มีงานทำ ก็อยากให้เขาเริ่มพักผ่อนได้แล้ว เพราะหลังจากนี้เบลล์จะดูแลเขาเอง"
"ที่สำคัญเลยเบลล์ต้องขอขอบคุณแม่แก้วที่ดูแลเบลล์มาตลอด ยิ่งช่วงประกวดนางงามแม่ดูแลตั้งแต่หัวจรดเท้า แนะนำเรื่องความสวยความงาม ต้องทำผิวยังไง ส้นสูงต้องเดินยังไง ยิ้มยังไงไม่ให้ดูตลก ถ้าให้พูดถึงคุณแม่ทั้งวันก็พูดไม่จบคะ (ยิ้ม)"