“โอม ค็อกเทล” ขอโลกสวย ดีกว่าฝันถึงโลกห่วยๆ ส่งทนายช่วยหญิงถูกโจ๋กร่างต่อยตาแตก แค่อยากให้ได้รับการเยียวยา ลั่นอึดอัดใจ ไม่อยากตอบคำถามเรื่องนี้มาก
ได้รับเสียงชื่นชมล้นหลานเลยทีเดียว สำหรับ “โอม ค็อกเทล” ปัณฑพล ประสารราชกิจ ซึ่งส่งทนายช่วยเหลือ “น้องเกด” ซึ่งเป็นแฟนคลับมาชมคอนเสิร์ตและรอคุณพ่อซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่มารับกลับบ้าน แต่ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายร่างกาย ต่อยจนตาแตก โดยเจ้าตัวเผยระหว่างมาร่วมงานแถลงข่าวคอนเสิร์ตรวมค่ายครั้งยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรอคอย Chang Music Connection presents genie fest 19 ปี กว่าจะร็อกเท่าวันนี้ ย้ำช่วยเพราะเป็นห่วง อึดอัดที่จะต้องตอบเพราะไม่อยากให้มองเป็นอย่างอื่น
“จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าเราเข้าไปช่วยเพราะว่าวันนั้นน้องมาดูคอนเสิร์ตของเราแล้วเกิดเหตุ เราเป็นห่วงแค่เรื่องนั้นครับ เราไม่ได้มีเจตนาจะให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ว่าเราเขาไปช่วยเหลือแบบยิ่งใหญ่อะไร เรารู้สึกว่าคนรู้จักกันประมาณหนึ่ง คือวันก่อนน้องเพิ่งขึ้นไปร้องเพลงกับผมที่อีกร้านหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนที่เห็นกันอยู่แป๊บหนึ่ง เราให้ความช่วยเหลืออะไรได้ เราก็ให้ในมุมที่เราสามารถทำได้”
“เราพยายามขีดเส้นใต้ในเรื่องของคำว่าช่วยเหลือกับค่าชดเชยความเสียหายมากกว่า ส่วนประเด็นการทำผิดหรืออะไรก็ตามก็ให้เป็นไปตามกฎหมายแค่นั้นเองครับ”
“เหตุการณ์ในวันนั้นผมก็ทราบครับ เพราะว่ารถผมเพิ่งออกไปได้แค่ 5 นาที แล้วน้องเขาอยู่ในกลุ่มของแฟนคลับแฟนเพลง เขาก็จะคุยกันว่าเกิดเรื่องขึ้น พอเราทราบเราก็ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ เราแค่โอเคเรามีทนายของเรา เราก็ส่งไปช่วย ซึ่งเป็นทนายของเราที่รู้จักสนิทสนมกันอยู่แล้ว แล้วจริงๆ มันคือคดีทำร้ายร่างกาย เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ไม่ใช่คดีที่มีความยากซับซ้อน เราก็ช่วยเหลือให้ความเข้าใจธรรมดาครับ ไม่มีอะไรเลยครับ”
“ตอนทราบเรื่องเราก็ตกใจนิดหนึ่งครับ ส่วนเรื่องของคดีเป็นอย่างไรคิดว่าทุกคนน่าจะทราบจากข่าวแล้วมากกว่า คุยกับน้องครั้งสุดท้ายสุขภาพเขาดีขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วครับ”
ไม่ขอตอบเรื่องรูปคดี เพราะอึดอัดใจที่จะตอบ
“ขอไม่ตอบได้มั้ยครับ เอาจริงๆ ผมก็อึดอัดใจจะตอบ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเราจะอยากได้มุมที่เป็นคนไปช่วยคนอะไรแบบนั้น ประเด็นที่เรารู้สึกก็คือมันเกิดขึ้นตอนที่เราอยู่ตรงนั้น แล้วน้องเองก็คือเหมือนเรารู้จักกันเราก็เลยคิดว่าเราช่วยอะไรได้บ้าง เราไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น ที่บอกว่ารู้จักคือเราไม่ได้รู้จักอะไรขนาดนั้นคือเราก็เขาเห็นแฟนเพลงที่มาดูโชว์เรา 2-3 ครั้ง แล้วเหตุการณ์มันเกิดเกี่ยวโยงกัน สมมติว่าวันนั้นเขาไปดูโปเตโต้ที่ห่างไปอีก 2 - 3 กิโล เราก็อาจจะไม่ได้ไปช่วย ถ้าเขาไม่ได้มาขอความช่วยเหลือโดยตรง เราอาจจะรู้สึกว่าเราจะไปแทรกแซง เพราะในกระบวนการยุติธรรมแต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจได้มาก เวลาเราเข้าไป เราก็แค่เสนอว่าถ้าน้องมีอะไรลำบากบอกนะครับเราจะได้ช่วย (เราเป็นคนเสนอ?) ใช่ เราบอกไปครับ น้องเขาก็บอกว่าอยากได้ทนาย เราก็ส่งทนายไป”
“รูปคดีในพาร์ตอื่นๆ ผมก็ไม่ได้ช่วย ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราให้ทนายไปดีกว่า เราแต่อธิบายในน้องเข้าใจว่าแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร เพราะหลายๆ ครั้งเวลาเกิดการกระทำผิดทางอาญา หลายคนจะวิตกว่าเราอยู่ในขั้นตอนไหน ทำไมเจ้าหน้าที่ยังไม่จัดการในประเด็นที่ 1 2 3 จริงๆ แล้วในทางกฎหมายมันมีความละเอียดอยู่ว่าทำไมถึงต้องค่อยเป็นค่อยไป ในการอธิบายก็จะลดทอนความเครียดลง นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด เราไม่ได้มุ่งหมายว่าน้องจะต้องชนะ เราคาดหมายแค่น้องจะได้รับการเยียวยา”
ขอโลกสวย ดีกว่าฝันถึงโลกห่วยๆ
“คือจริงๆ อย่าว่าแต่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตของเรา การทำร้ายร่างกายแม้กระทั่งในการสัมภาษณ์ตอนนี้ถ้ามีใครสักคนโดนต่อยเราก็รู้สึกแย่ครับ ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น บางคนจะบอกว่าเราโลกสวย อยากจะบอกว่าแล้วโลกห่วยๆ เราจะฝันถึงทำไมครับ เราก็ต้องฝันถึงโลกที่สวยกว่าเท่านั่นเอง”
“เวลาเราเล่นคอนเสิร์ตเหตุการณ์แบบนี้ก็มีบ้างครับ ทุกปีเราจะเห็น คนเรามีอุปนิสัยต่างกันบางครั้งก็มีอารมณ์เสียบ้าง บางครั้งตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง มันก็อาจจะกระทบกระทั่งกัน ก็มีช่วยเหลือบ้างครับ บางทีการช่วยก็แค่ลงไปแยกคนออกจากกันแค่นั้นเอง เรื่องการหาทนายให้ก็มีครับ แต่เพียงรอบนี้มันเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจมาก มันก็เลยลามมาถึงว่าเราช่วย ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ไม่ได้อยากให้เข้าใจด้วยว่าเราต้องช่วยอะไร ตอนนี้ที่สัมภาษณ์ก็อยากจะตอบสักครั้ง เพราะผมก็เลี่ยงมาตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเราไม่อยากพูดถึงมากครับ”