“แอน อังคณา” เล่าชีวิตบัดซบ ยึดติดกับรูปร่างและคำว่าเซ็กซี่สตาร์มากเกินไปจนเกือบตาย ป่วยหนักหมอวินิจฉัยอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน เดินไม่ได้ต้องคลานเข้าห้องน้ำ เผยไม่มีงาน ท้อแท้ จนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่อยากเจอหน้าใคร ขังตัวเองอยู่ในห้อง 5 เดือน หอบของเก่าขายกินประทังชีวิต ปัจจุบันทำใจได้แต่ยังไม่ปล่อยวาง ขอบคุณทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย
หลังจากต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมานานกับ “โรคภูมิแพ้เลือดตัวเอง” เนื่องจากร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบจนทำให้ถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด แต่แล้ววันนี้ “แอน อังคณา” ก็สู้ชีวิตจนทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ เผยชีวิตที่ตกต่ำในวันที่ไม่มีงานทำ จนต้องขนของเก่าไปขายเพื่อประทังชีวิต ทั้งยังไม่อยากเจอใครจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า ขังตัวเอง 4 - 5 เดือน แต่ยันไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย พร้อมย้อนกลับไปในวันที่ป่วยกับประสบการณ์ชีวิตที่ตายแล้วเหมือนเกิดใหม่
“ร่างกายสุขภาพตอนนี้ ดีขึ้นมากแล้ว และก็หายดีแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างก็ดี ตับก็คลีนหมดแล้ว แต่เลือดมันยังน้อยอยู่นิดหนึ่ง ก็ต้องมีการไปตรวจเลือดทุกเดือน เพื่อเช็กว่าเลือดเราดีขึ้นยัง เพราะล่าสุดที่ไปตรวจมา ก็มีการเจาะเลือดหมอบอกว่าเพอร์เฟกต์ แต่เท้าก็มีอาการชานิดหน่อย มันก็ต้องรอ เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ หาย อย่างหน้าเราก็อ้วนขึ้นแล้ว อย่างหน้าก็ต้องใช้เวลา และจริงๆ แล้วตอนนั้นมันก็ท้อแล้ว แต่ว่ากำลังใจเรามาแรงมาก กำลังใจแรงมาก ทำให้เราคิดว่า ฉันต้องสู้ ฉันต้องตื่นขึ้นมา ฉันจะต้องกลับมาตรงนี้ให้ได้ เพราะมันเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยคุณหมอก็ช่วยในระดับหนึ่ง ตรงนี้เพื่อนฝูงใครหลายๆ คน ก็ไหลมาเทมาคือให้กำลังใจเราเยอะมาก ทำให้เรารู้สึกว่าฉันต้องหาย ฉันต้องหาย ถ้าคนเป็นแบบแอน 3 เดือนไปแล้ว คือ แอนไม่ได้เป็นมะเร็ง แอนติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นภูมิแพ้เลือดตัวเอง แอนขาดสารอาหาร ขาดน้ำตาลด้วยเพราะเราไม่ทานหวาน แอนทานเค็ม ตอนแรกเรายังคิดเลยว่าเราจะเป็นไต ส่วนตัวเรากลัวโรคเบาหวานมาก”
“เพราะย้อนกลับไปวันที่คุณหมอบอกว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้เลือดตัวเอง เราก็ตกใจ ตกใจเพราะว่ามันสามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ เป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งนั่นนี่อะไรได้ แต่หมอเขาตรวจไม่เจอ เราเป็นแค่โรคเลือด คือ เราไปตรวจ 3 โรงพยาบาล โรงพยาบาลแรกก็ไม่เจอ โรงพยาบาลที่ 2 ก็ไม่เจอ จนมาโรงพยาบาลที่ 3 จึงรู้ว่าเราเป็นภูมิแพ้เลือดตัวเอง เป็นตับอักเสบ เพราะว่าไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงตับ โดยในตอนนั้นคุณหมอก็บอกกับเพื่อนว่าอาการเราน่าเป็นห่วง อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แล้วเขาก็มาบอกเราว่าเราอาจจะต้องผ่าตัดตับ เปลี่ยนตับ ลองคิดดูซิค่าใช้จ่ายก็สูง แถมต้องรอคนบริจาคอีกไม่รู้กี่เดือน แล้วมันจะเข้ากันได้มั้ย ยอมรับว่าตอนนั้นภาวะจิตใจมันแย่ แต่ตอนนั้นก็คิดว่าไม่ได้ เราต้องฮึด หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ คุณหมอมาบอกว่าเราหายแล้ว คือ ไม่ได้บอกว่าหายแล้ว บอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว ตลอดการรักษาคือเราใช้ยาหมออย่างเดียวเลย มีคนเอายามาให้ หมอก็บอกว่าห้ามแตะ ต้องทานยาของเขาคนเดียว เขาจะได้รู้ว่ามันหายเพราะเขา หมอเก่งมาก (กินยาเยอะแค่ไหน?) เยอะๆ อย่าถามเลยว่าเยอะแค่ไหน ฉีดนั้น ฉีดนี่เข้าเส้น ฉีดจนแขนไม่มีเส้นแล้ว ต้องมาฉีดเข้าที่ขา ฉีดที่ก็ปวดเดินไม่ได้”
เผยชีวิตสุดอนาถเดินไม่ได้ ต้องคลานเข้าห้องน้ำ ท้อแท้ไม่มีงาน ป่วยซึมเศร้าไม่อยากเจอใคร
“ซึ่งตอนนั้นที่ป่วยมากๆ เราคิดอย่างเดียวว่าอยากหายแล้ว และก็ฉันจะต้องหาย กำลังใจมันสูงมากอย่างที่แอนบอก พลังของตัวเองด้วย เราต้องฮึด เดินไม่ได้ เข้าห้องน้ำจะต้องคลาน จะต้องมีพยาบาลคอยจูงตลอดเวลา ทั้งที่เมื่อก่อนเราทำทุกอย่างได้ ออกกำลังกายได้ ซิตอัปได้ แต่อันนี้ทำอะไรไม่ได้เลย ทุกสิ่งอย่าง แล้วคือเราเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ไม่อยากเจอผู้คน ไม่อยากเจอใคร มันท้อแท้นะ งานก็ไม่มี เงินก็ไม่มี และหลายๆ อย่างเราก็ไม่อยากจะไปรบกวนใคร แล้วคนเคยทำงานทุกวัน แล้วมันไม่มีตรงนี้ อยู่ มันก็ดร็อปไป ก็เลยท้อแท้ มันก็เครียด เครียดอย่างแรง มันเลยเหมือนเป็นโรคซึมเศร้า เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป จะอยู่แต่บ้านอย่างเดียว”
“คือเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ คือเราบอกไม่ถูก ไม่อยากเจอผู้คน แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย ไม่เคยคิดสั้น แต่ถ้ามันจะเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ตายก็ตาย คือช่วงที่ยังไม่เข้าโรงพยาบาล เรามีภาวะที่คิดแบบนี้ แต่ก็พยายามคิดว่าเดี๋ยวมันก็หาย เพราะเราไม่เคยเข้าโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกในชีวิต และเป็นคนที่ไม่เคยไปตรวจร่างกายเลย เราดูแลตัวเองมาตลอด มั่นใจในตัวเองสูงว่าฉันต้องไม่เป็นไร”
รู้ตัวยึดติดกับรูปร่างและคำว่าเซ็กซี่สตาร์มากเกินไป ทำใจได้แต่ยังไม่ปล่อยวาง
“ก็เพราะว่าเรายึดติดกับตรงนั้นกับชีวิตมากไป แต่เราไม่รู้ตัวเองว่าเราอายุมากแล้ว มันต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตแล้ว มันต้องเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าทำเหมือนเดิมๆ ที่เราอายุ 20 - 30 ปี พออายุ 40 ปีขึ้นไป มันต้องเปลี่ยนแล้ว เราต้องหันมาทานแป้ง ตอนนี้หันมาทานแป้งแล้ว ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ เริ่มทานแป้งบ้าง ทานหวานแล้ว เค็มหมอยังไม่ให้กินมาก เราใช้ชีวิตที่ไม่กินแป้งมา 20 ปี ไม่ถึงขั้นไม่กินแป้งเลย ก็มีกินบ้างแต่น้อยมาก แต่เรามีวินัยกับตัวเองเพราะเรากลัวอ้วน และเราเคยทำรายการเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ นักโภชนาการบอกเราว่า ทานแป้งแล้วจะทำให้อ้วน เพราแป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ก็จำใส่สมองมาตลอดเลย แล้วก็ยังไปสอนนางแบบคนอื่นด้วย คนอื่นเขาก็ทำ คนอื่นเขาก็มีกินบ้าง แต่เราไม่กินเลยไง”
“ตอนนี้เราก็ยังไม่ปล่อยวาง ตอนที่ป่วยเราหนัก 43 ตอนนี้เราหนัก 48 แล้ว เราเคยน้ำหนักถึง 53 ตอนวัยทอง ตอนนั้นแทบตายเลย เล่นละครแล้วหน้าบวม แต่พอเราหน้าตอบ เราดีใจมากเลย แต่มีคนบอกว่าหน้าตอบมาทำให้เราโทรม แต่ตอนนั้นที่ป่วย เราหนักหนักน้อย แต่เหมือนคนท้อง 8 เดือน เพราะท้องเราโตมาก มันมีน้ำอยู่ในนั้น ต้องเจาะออกตั้ง 4 ครั้ง เจาะออกมาทีเป็นแกลอน”
“การป่วยในครั้งนี้ มันทำให้เราได้รู้พฤติกรรมของตัวเองว่าเราอายุมากขึ้นแล้ว มันต้องกินอาหารครบ 5 หมู่ แล้วออกกำลังกาย ต้องคอยไปเจอผู้คนบ้าง ไปสังสรรค์ ปาร์ตี้้บ้าง อย่าปล่อยให้เป็นโรคซึมเศร้า อย่าไปคิดว่ามันไม่มีงาน เพราะวันหนึ่งถ้าออกงาน มันก็ต้องมี”
ขังตัวเองอยู่ในบ้าน 5 เดือนดูแต่ซีรีส์ ตอนนี้หายใจออกบ้าง มีคนช่วยเยอะมากจนทำให้ฮึดสู้
“ก็ดูแต่ซีรีส์เกาหลี ซีรีส์ฝรั่ง ติดมาก หนังอินเดียยังดูเลย เรียกว่าดูมาราธอนมาก อย่าให้พูดเลย เดี๋ยวมีคนไปเอาอย่างแล้วมันไม่ดี แต่อยู่แบบนั้น 4-5 เดือน อยู่แต่บ้าน ไม่ออกไปกินข้าวกับเพื่อน ไม่ออกไปทานข้าวนอกบ้าน ไม่นั่น ไม่นี่ ไม่ออกไปใช้เงินเพราะมันไม่มีเงิน งานก็ไม่มี มันเหมือนกับว่าเราท้อแท้ไปหมด ของเราก็ขายไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ก็เริ่มหายใจออกขึ้นมาบ้าง มีคนมาช่วยแอนเยอะมาก ขอบคุณอย่างสูงเลย ทำให้แอนฮึดสู้มีกำลังใจ ต้องให้มากๆ เลย คือเราบอกกับตัวเองเลยว่า เราต้องฟื้นนะ อยู่ต่างประเทศเพื่อนยังโอนเงินมาให้ คนโอนมาให้เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะว่าดอนเข้าบัญชี แล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยชื่อ”