xs
xsm
sm
md
lg

ผมไม่มีความสุข รู้สึกตัวเองไร้ค่า! เปิดหัวใจ “โอ๊ต ปราโมทย์” ในวันเผชิญหน้าโรคซึมเศร้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“โอ๊ต ปราโมทย์” เล่าจุดเริ่มต้นโรคซึมเศร้า ไม่มีงาน รู้สึกตัวเองไร้ค่า หมกตัวอยู่ในห้องนอน 2 สัปดาห์ โชคดีไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะแม่และแฟนคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ยอมรับตอนนี้ก็ยังไม่หายขาด ยังกดดันกับกระแสคาดหวัง รับให้ความสนุกคนอื่น แต่ตัวเองยังหาความสุขไม่เจอ เล็งพบจิตแพทย์

ถือว่าเป็นปีทองของนักร้องอารมณ์ดี “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” เพราะงานชุกจริงๆ ล่าสุดยังโดดไปรับบทเด่นเล่นภาพยนตร์เรื่อง “เปรมิกาป่าราบ” ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เปิดใจยอมรับว่าเป็นปีที่ดี และอยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป พร้อมเปิดใจเคยป่วยโรคซึมเศร้าเพราะไม่มีงานทำ จนทำให้คิดว่าตัวเองไร้ค่า

“ก็อยากให้มันอยู่อย่างนี้ไปอีกหลายๆ ปีเลยครับ จริงๆ ก็ไม่อยากจะบอกว่าเป็นปีทอง แต่มันเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับเรา คนรู้จักมากขึ้น คนให้ความสนใจมากขึ้น งานเยอะขึ้นครับ ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นก็น่าจะมาจากรายการ The Boy and Paloy แหละครับ ทำให้คนรู้จักเรา เห็นตัวตนเราจริงๆ มากขึ้น ทำให้ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนว่าเราเป็นยังไง ทิศทางในการแสดงเราเป็นยังไง การร้องเพลง การพูดการจาเราเป็นยังไง งานส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็จะเป็นงานที่ใช้คาแรคเตอร์ของเราเป็นหลักครับ”

“งานส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะเป็นเพลงครับ เป็นรายการทางโซเชียล และจัดวิทยุ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เราชอบด้วยครับ ส่วนใหญ่งานที่ทำก็จะบอกก่อนเลยว่าผมเป็นคนแบบนี้นะ เข้าใจด้วยนะ จะให้ผมเรียบร้อยเลยมันก็ไม่ได้ ปีหน้ามีหนังอีกหนึ่งเรื่องครับ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุย ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ครับ งานร้องเพลงมีทุกวันเลยครับ ยาวไปถึงเคาท์ดาวน์ ตอนนี้คิวปีหน้าไปถึง เม.ย. - พ.ค. แล้วครับ เดือนหนึ่งจะมีวันหยุดสัก 2 - 3 วัน”

โอ๊ตเผยว่าตอนนี้ยังไม่หายขาดจากโรคซึมเศร้า สร้างความสุขให้คนอื่น แต่หาความสุขให้ตัวเองไม่เจอ
“จริงๆ แล้วทุกวันนี้มันก็ยังมีแว้บๆ บ้าง มันเหมือนเราสร้างความสุขให้คนอื่น แต่ถึงเวลาที่เราต้องอยู่กับตัวเองเราหาความสุขไม่ได้ บางทีมันยาก มันเหมือนคิดซับซ้อน คิดทบไปทบมา อย่างเทศกาลที่คนอื่นมีความสุขกัน ไปเที่ยวพาครอบครัวไปกินข้าว มันกลายเป็นเราที่ต้องอยู่บ้าน แล้วก็ออกไปทำงาน ในทุกๆ ปีก็แทบจะไม่ได้เคาท์ดาวน์เลย บางทีเคาท์ดาวน์เราอยู่บนรถตู้ เหมือนเราต้องสร้างความสุขให้กับคนอื่น แต่บางทีเราลืมมองความสุขของตัวเองไป ก็เลยรู้สึกว่าทำไมความสุขมันมียากจัง มันคิดไปเองแล้วก็ฝังไปเรื่อยๆ”

“เริ่มคิดช่วงที่ไม่มีงานแหละครับ ประมาณ 3 ปีที่แล้ว เราก็ตัดสินใจว่าเราจะเปลี่ยนเส้นทางการทำงานใหม่ มันเลยทำให้เรารู้สึกแย่ และไม่มีงานเลย เรื่องรอบตัว ปัญหาหลายๆ อย่างมันก็กดดัน น่าจะเป็นช่วงของอายุด้วยครับ 20 ปลายๆ จะเข้า 30 ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบครอบครัว ต้องโตได้แล้ว”

“ตอนนั้นก็คิดจะออกจากวงการ ออกจริงๆ เลยครับ เคลียร์ทุกอย่างหมดแล้วว่าจะกลับไปทำงานที่บ้าน ตอนนั้นปีหนึ่งมี 5 - 6 งานเอง ที่เหลือก็หาเองกรุบกริบไปเรื่อยๆ ทำเบื้องหลัง เลยรู้สึกว่าเราดูแลตัวเองไม่ได้แล้ว เลยจะกลับไปทำงานกับที่บ้าน แล้วเอาตรงนี้เป็นงานอดิเรกดีกว่า”

เครียดถึงขนาดกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หมกตัวอยู่ในห้องนอนร่วมสัปดาห์ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีความหมาย แต่เรื่องฆ่าตัวตายโชคดีที่ยังมีแม่คอยอยู่ข้างๆ
“มันก็เครียดถึงขนาดไม่กิน ไม่นอนเลยครับ อยู่บ้าน อยู่ในห้องเก็บตัวเป็น 1 - 2 อาทิตย์ ไม่ออกไปไหนเลย อยู่เฉยๆ เลย มันรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่าเลยครับ เราไม่มีความหมาย เราไม่รักตัวเอง แต่ถามว่าถึงขั้นคิดสั้นมั้ย ผมว่าถ้ามันอยู่อย่างนั้นนานๆ อาจจะมีได้ แต่โชคดีตรงที่เรายังมีแม่อยู่ครับ แม่อยู่ข้างๆ เราตลอด ซึ่งกำลังใจคือแม่ แล้วก็แฟนด้วย”

“ถามว่าต้องกินยามั้ย คือเคยไปปรึกษาครับ ว่าเราเครียด เราไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตจะทำยังไงดี แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้องกินยา ก็พยายามออกกำลังกาย หาอะไรทำให้มันไม่เครียด แต่ผมว่าตอนนั้นมันเริ่มต้นที่จะเป็นมากกว่า และเราเป็นคนไม่กลัวหมอ ก็เลยอยากจะปรึกษาหมอว่าผมเป็นอะไร ทำไมผมรู้สึกแบบนี้ ก็ไปอยู่ประมาณ 2 ครั้งครับ พอหลังจากนั้นเริ่มมีงานมันก็ทำให้เราเริ่มหายเครียด แล้วก็เลิกไปสนใจกับความเครียด แต่ถามว่าทุกวันนี้ยังเป็นมั้ย ก็มีบ้าง”

“ทุกวันนี้ไม่ได้เครียดเรื่องมีงานแล้ว แต่มันเครียดตรงที่ทุกคนคาดหวังว่าเราจะต้องสนุก เราจะต้องตลก เวลาไปออกรายการหรืออะไรก็ตาม พอคนเห็นหน้าเราก็ต้องแบบโอ๊ตมาแล้วต้องสนุกแน่เลย ต้องตลกแน่เลย มันเลยเป็นความคาดหวังที่ทำให้เราเครียดไปเอง กดดันตัวเองมากกว่า

เล็งกลับไปปรึกษาคุณหมอ เพราะเครียดกับกระแสคาดหวัง กดดันตัวเอง
ตอนนี้ก็ดีขึ้นครับ แต่เอาจริงๆ คิดว่าปีหน้าอยากจะกลับไปหาคุณหมออีกรอบ เพราะบางทีตอนนี้ก็ยังมีความเครียด ด้วยความคาดหวัง ด้วยงานเยอะ ไม่มีเวลาให้ตัวเอง เลยกดดันตัวเองด้วย แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ คือเราไปปรึกษาคุณหมอธรรมดาว่าเราจะมีวิธีจัดการความคิดเราว่าเป็นยังไงบ้างกับการที่เราเครียดแบบนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ คือเมืองนอกเขาหาหมอจิตแพทย์กันเป็นเรื่องปกติเลยนะครับ เวลามีเรืิ่องเครียดหรือจะไปปรึกษาการดำเนินชีวิต แต่สำหรับคนไทยบางคนยังคิดว่าการไปหาหมอต้องเป็นคนบ้า ไปหาหมอจิตแพทย์เป็นเรื่องน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่น่ากลัวเลย ไปนั่งปรึกษากันมากกว่า”

ไม่ได้อยากเท่ ไม่ได้อยากเป็น วอนเห็นใจและเข้าใจคนเป็นโรคซึมเศร้า
“อย่าไปคิดว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าเรียกร้องความสนใจ หรือว่าอยากเท่ หรืออยากตามกระแสหรืออะไร บางทีโรคพวกนี้บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็น บางคนเขาไม่ได้อยากเป็นหรอก เขาไม่ได้อยากเครียดหรอก มันเป็นเรื่องของสารเคมีในสมอง มันเป็นเรื่องของความคิดเรื่องจิตใจของเรา ฉะนั้นมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าไปกดดันเขา อย่าไปช่วยเขาในทางที่ผิด ถ้าเห็นว่าเขาเป็นจริงๆ ก็ให้คำปรึกษาเขา ให้กำลังใจเขา หรือพาเขาไปหาหมอ พาเขาไปปรึกษาเผื่ออะไรจะดีขึ้น แต่อย่าว่า อย่าซ้ำเติม อย่าไปกดดันเขาอีกครับ”

กำลังโหลดความคิดเห็น