“กาย รัชชานนท์” ยิ้มรับเลี้ยงลูก 3 คนเหนื่อยแต่มีความสุข เมินส่งลูกเรียนนานาชาติ เพราะที่บ้านพูดภาษาอังกฤษกันอยู่แล้ว จ่ายแพงทำไมถ้าเด็กไม่สนใจ เอาเงินไปจัดทริปครอบครัวดีกว่า
เรียกว่าเป็นครอบครัวใหญ่อีกครอบครัวหนึ่งในวงการบันเทิงเลยก็ว่าได้ สำหรับครอบครัวของหนุ่ม “กาย รัชชานนท์”และสาว “ฮารุ ยามากูชิ” ที่ตอนนี้ทั้งคู่ลูกๆ เป็นโซ่ทองคล้องใจถึง 3 คน คือ น้องคิริน น้องไนร่า และน้องเอเดน แถมแต่ละคนก็อยู่ในวัยกำลังซนสุดๆ ล่าสุดได้ยกครอบครัวมาร่วมงานแถลงข่าวรายการ “ลูกจ๋าป๊ะป๋ามาแล้ว The Return of Superman Thailand ซีซั่น 2” ที่คุณพ่อกาย พร้อม 3 กุมารสุดแสบได้ร่วมเป็นหนึ่งในครอบครัวที่จะมาสร้างความป่วนในรายการแบบสุดๆ แต่ถึงลูกๆจะซนขนาดไหน หนุ่มกายก็ไม่หวั่น เพราะมีสไตล์การเลี้ยงลูกแบบลุยๆ ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว เน้นให้ลูกโตแบบธรรมชาติ งานนี้ต้องบอกเลยว่าถึงจะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขจริงๆ
“สำหรับกายการเลี้ยงลูก 3 คนพร้อมๆกัน คุณจะมาละเมียดละไมคงไม่ไหว ก็จะได้เห็นแบบมันส์ๆลุยๆ แล้วก็เป็นชีวิตจริง จริงๆ ถามว่าอยู่บ้านใครเลี้ยงลูกมากกว่ากัน เราก็ช่วยๆกันนะ แต่ส่วนมากจะเป็นฮารุอยู่แล้ว เพราะกายก็จะทำงานเยอะกว่า เขาก็สนุกกับการได้เลี้ยงลูก แต่ก็มีคนช่วยนะ เราไม่ได้เลี้ยงกันแค่สองคน จะมีคุณยาย มีพี่เลี้ยงบ้าง แต่หลักๆเราจะให้คนที่ช่วยมาช่วยเรา ไม่ได้ให้เขามาเลี้ยงลูก”
ถึงการเลี้ยงลูกซน 3 คน มันยากกว่าบ้านอื่นแต่ก็เป็นการเหนื่อยที่มีความสุข
“ซนตลอดเวลา ซนคนละแบบ ถามว่าเราเหนื่อยไหม เหนื่อยอยู่แล้ว เหนื่อยทุกวัน แต่ในความเหนื่อยมันมีความสุข ถ้าเราไม่เหนื่อยเรานะมีเขาทำไม เราก็ต้องเลี้ยงจนเราเหนื่อยนั่นแหละ เหมือนเราทำงาน เราก็เหนื่อย ถ้าทำงานแบบไม่เหนื่อยก็โดนไล่ออกสิ คุณจะได้ก็ต่อเมื่อคุณเหนื่อย เหมือนกับการเลี้ยงลูกนี่เลย ผมก็ต้องเลี้ยงจนผมเหนื่อย เลี้ยงแบบไม่เหนื่อยผมก็ทำได้ เปิดทีวีใส่หูฟัง แล้วก็ปล่อยให้ลูกทำอะไรก็ทำไปได้เลย แต่เราเลี้ยงเขาแบบที่อยากจะสร้างประสบการณ์ให้เขาได้มากที่สุดกับการที่อยู่กันแค่สี่คนพ่อลูก”
“ถามว่าเคยเลี้ยงลูกแล้วมีปัญหาจนทะเลาะไหม ไม่ค่อยเลย คือกายกับฮารุเขาใจกันดีมาก กับการเลี้ยงลูกแบบปล่อยสบายๆแบบนี้ แล้วไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามีจุดหมายเหมือนกัน ในระหว่างทางมันจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเราเห็นจุดมุ่งหมายเหมือนกันชัดเจน ถ้าเราตั้งไว้ว่าทุกอย่างต้องเนี๊ยบ แล้วเขาใจตรงกันมันก็จะโอเค แต่ของเราคืออะไรก็ได้ที่เป็นธรรมชาติของเด็ก และเป็นไปตามธรรมชาติของครอบครัวเรา แล้วมันก็จะไม่เหนื่อยใจ คือเราเป็นสไตล์เดียวกันทั้งพ่อและแม่ ลุยๆสนุกๆ หลายคนอาจจะคิดว่าการเป็นดาราแล้วต้องเลี้ยงลูกแบบเว่อร์วังอลังการ ต้องไปกินข้าวแบบนี้ ต้องมีรถเข็นแบบนี้ แต่ชีวิตพวกเราเป็นชีวิตปกติ มันไม่ได้วิเศษไปกว่าใคร เราต้องการให้คนเห็นว่าการใช้ชีวิตสบายๆธรรมดาๆแบบเรากับการเลี้ยงลูกสามคนมันสนุกขนาดไหน”
วางอนาคตให้ลูกเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ไม่คาดหวังว่าลูกจะต้องเก่ง ไม่ยัดเยียดให้เรียนโดยไม่เต็มใจ
“ตอนนี้ที่เลือกโรงเรียนให้เขาก็เลือกโรงเรียนที่ใกล้บ้านมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะว่าการเดินทางถ้ามันนานเกินไปมันจะเหนื่อยสำหรับเด็ก และมันจะเริ่มไม่สนุกแล้ว สองคือความปลอดภัยและการศึกษาดี แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือผมไม่ได้เน้นว่าภายในอายุเท่านี้ลูกจะต้องทำแบบนี้ๆเป็น เดี๋ยวถึงเวลาจะกี่ขวบเดี๋ยวมันก็ทำเป็นเอง เด็กอายุ 3-4 ขวบคุณจะเอาไปเรียนอะไรเยอะแยะเพื่อ ให้เขาเป็นเด็กให้เขารักในการไปโรงเรียน ให้เขารักในการได้เรียนหนังสือ แล้วเดี๋ยวพอวันหนึ่งเขารักมากๆเขาก็จะอยากเรียนเอง แล้วเด็กที่อยากเรียน กับเด็กที่โดนบังคับเรียน มันแตกต่างกันเด็กที่โดนบังคับเรียนอาจจะฉลาดกว่า แต่เด็กที่อยากเรียนเองจะเอามาใช้กับชีวิตมากกว่า”
ส่วนตัวเชื่อไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเทอมแพง เพราะหากเด็กไม่สนใจก็เปล่าประโยชน์
“ถามว่าต้องให้ลูกเข้านานาชาติเหมือนลูกบ้านอื่นไหม คืออย่างโรงเรียนที่ผมให้เขาไปเรียนมันก็มีสองภาษานะ แต่ผมไม่เน้นภาษาอังกฤษ หนึ่งคือผมพูดภาษาอังกฤษที่บ้านอยู่แล้วกับฮารุ ลูกก็จะได้ประมาณหนึ่ง ทุกวันนี้ก็จะพูดภาษาอังกฤษกับลูกบ้าง ซึ่งอันนี้อาจจะได้เปรียบกว่าหลายๆครอบครัว แต่สำหรับกายแล้วถ้าให้พูดเรื่องนี้พูดได้ยาวมาก และถกเถียงได้ยาวมาก เพราะว่าการรู้ภาษาอังกฤษแต่โง่ แล้วมันได้อะไร แล้วต้องเรียนขนาดไหนถึงจะรู้ภาษาอังกฤษ ค่าเทอมมีปัญญาจ่ายไหม หัวละ 7-8 แสนอัพ เพราะถ้าคุณไม่ไปโรงเรียนแบบนั้น คุณก็จะเป็นภาษาอังกฤษแบบแค่ Hi my name is กาย แบบนี้ ซึ่งถ้าจะต้องจ่ายเงินเพื่อให้แค่แบบนั้น สู้ผมเก็บเงินไว้แล้วไปเที่ยวกันช่วงซัมเมอร์ทุกปีดีกว่า ได้ทั้งประสบการณ์ ได้ทั้งภาษา ได้ทั้งความสุข ได้อยู่กับลูกด้วย อันนี้คือเป็นแค่ความทรงจำของผม อาจจะไม่ดีก็ได้ก็แล้วแต่ และอีกอย่างหนึ่งคือมันอาจจะเวิร์คสำหรับกาย เพราะกายสามารถพักงานได้ปีละ 2 เดือน ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ซึ่งแบบคนอาจจะทำไม่ได้”
เปรยมีงานติดต่อน้องๆเข้ามาบ้าง ยิ่งโตแฟนคลับยิ่งเยอะขึ้น
“งานก็มีเรื่อยๆครับ ยิ่งมีรายการ ยิ่งน้องๆโตขึ้น คนติดตามน้องก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้ว่าเขาติดตามคนไหน แต่มันก็วุ่นวายไปหมด”
สนับสนุนทุกอย่างที่ลูกชอบ แต่ถ้าอยากทำงานในวงการบันเทิงต้องเป็นเด็กมีมารยาท ไม่ดูถูกอาชีพที่ต่ำกว่า
“ก็ถ้าสมมุติเขาชอบ อยากทำ ก็เอาเลยครับ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เอาเลย ไม่บังคับ แต่ถ้าจะอยู่ในวงการจริงๆ อย่างแรกที่ต้องทำคือทำยังไงก็ได้ให้เขาเป็นเด็กอยู่เรื่อยๆตามวัยของเขา ไม่เป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมเต๊ะกลับบ้านเลย ต้องเป็นเด็กมีมารยาท ต้องเห็นทุกอาชีพเท่าเทียมกัน มองเห็นทุกคนเท่าเทียมกัน คุณิาจจะอยู่ในทีวีอยู่หน้ากล้อง แต่คนที่ถ่ายคุณเขาสำคัญพอกับคุณเลย ถ้าเขาไม่มาถ่ายแล้วคุณจะไปอยู่ในทีวีได้ยังไง คุณต้องเห็นทุกอาชีพสำคัญ แม้กระทั่งแม่บ้าน อันนี้สำคัญกับผมมาก”