xs
xsm
sm
md
lg

แฉช่อง 3 เรียก “ต๊ะ พิภู” คุยแค่ 4 นาที ก็กระเด็นจากเรื่องเล่าฯ เจ้าตัวเปิดใจทำดีที่สุดแล้ว แต่เรตติ้งรายการตกอยู่แล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


วัดรอยเท้า “สรยุทธ” ไม่สำเร็จ “ต๊ะ พิภู พุ่มแก้ว” โดนช่อง 3 เรียกเข้าไปคุยแค่ 4 นาที ก็กระเด็นออกจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เจ้าตัวยืดอกรับผิดเองที่ไม่สามารถทำให้เรตติ้งรายการพุ่งสูงได้ แต่ก่อนหน้านี้ รายการก็เรตติ้งตกอยู่แล้ว จำได้ทุกคำพูดวันที่ถูกเชิญมาร่วมงาน ถ้าคนจะติดภาพสรยุทธก็คงต้องให้สรยุทธกลับมา

ในที่สุด “ต๊ะ พิภู พุ่มแก้ว” ผู้ดำเนินรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ช่อง 3 ที่มาทำหน้าที่เล่าข่าวแทน “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ก็ไปไม่รอด โดนผู้ใหญ่ช่อง 3 เรียกเข้าไปคุยแค่ 4 นาที เจ้าตัวก็ขอลาออกจากการทำหน้าที่ สาเหตุเพราะการทำหน้าที่ของต๊ะที่ผ่านมา ไม่สามารถกู้เรตติ้งของเรื่องเล่าเช้านี้ ให้กลับมาได้ ซึ่งล่าสุด ต๊ะก็ได้ตัดสินใจไปร่วมกับช่องจีเอ็มเอ็ม 25 โดยเผยถึงการออกจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ว่า ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เรตติ้งก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้าย และเรตติ้งรายการก็ตกมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว และถ้าคิดว่าเรื่องเล่าเป็นแบรนด์ของสรยุทธ ก็คงต้องรอให้สรยุทธกลับมา

“คือ เขาเรียกเราเข้าไปคุยว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ก็ไม่เชิงว่าผมลาออกเอง แต่มันจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ผมก็จำเป็นต้องออกมากกว่า ถ้าพูดกันตรงๆ แบบนี้ แต่มันไม่ใช่การถูกไล่ออกเพราะผมไม่ใช่พนักงานประจำ ผมไม่มีสัญญา ทุกอย่างเป็นการตกลงที่เกิดขึ้นจากปากเปล่าทั้งสิ้น”
 
"เขาเรียกไปคุยว่ามันอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงนะ ผมก็เลยบอกว่าไม่ต้องพูดต่อ เดี๋ยวผมรับผิดชอบด้วยการออกเองครับ สั้นๆ ใช้เวลาคุยไม่ถึง 4 นาที ซึ่งคนที่คุยกับผมว่าที่ผมจะออกก็ไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ชวนผมมาทำงานที่นี่ แต่ก็ไม่ได้น้อยใจ ผมกลับคิดว่าไม่ได้มีอะไรที่เสียใจ และวันหนึ่งความจริงจะปรากฏขึ้นมาเองว่าอะไรคืออะไร ผมก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดี แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้าย หรือมาตรฐานที่เขาตั้งไว้อาจจะสูงเกินไป ยืนยันว่าที่ออกมา ไม่ได้มีปัญหากับใครหรือว่าโกรธใคร เฉยๆ มากกว่า ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป”

“ผมขออธิบายนิดนึงว่า ก่อนหน้านี้ ผมได้ลาออกจากช่อง 9 อยู่ที่นั่นมา 5 ปีเต็มๆ และพอปีที่ 6 - 7 ก็ยังอ่านข่าวอยู่ แต่ไม่ได้เซ็นสัญญา หลังจากนั้น ผมตัดสินออกจากช่อง 9 แล้วก็ไปอยู่ที่ทรูฟอร์ยู แต่ช่อง 9 ก็ขอว่าอย่าให้ผมออกทีวีเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากออกจากที่นั่น ซึ่งเราก็ปฏิบัติตาม และระหว่างที่ไม่ได้ออกหน้าจอ ก็มีหลายที่เรียกไปคุย ซึ่งก็มีทรูฟอร์ยูเรียกไป ผู้ใหญ่ท่านน่ารักกับผมมาก ผมก็ตัดสินใจไปทำที่ทรูฟอร์ยู ซึ่งทำไปได้เดือนกว่าก็มีพี่จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ มาชวนเราไปทำรายการ และจังหวะนั้นอย่างที่บอกว่าผมทำที่ทรูฯ อยู่แล้ว และไม่ได้อยากจะออกไปไหนอีก แต่ทุกคนรอบข้างก็บอกว่ารายการที่เราจะไปทำใหม่นั้น มันเป็นรายการใหญ่ เป็นรายการที่ใครๆ ก็อยากจะไปทำอยากจะไปนั่งตรงนั้น เป็นเวทีที่คุณสรยุทธนั้นเคยนั่ง ซึ่งถ้าผมปฏิเสธผมคงเท่เกินไปหรือว่าโง่เกินไปหรือเปล่า ซึ่งทางผู้ใหญ่ทางทรูฯ ผมก็ได้เข้าไปคุย ท่านก็ไม่อยากให้ไป แต่ท้ายที่สุดท่านก็อนุญาต แต่ไม่รู้ว่าลึกๆ ท่านจะเกลียดผมหรือเปล่า แต่ก็ขอโทษและขอขมาไปหลายครั้ง”

จำทุกคำพูดตอนที่ช่อง 3 ติดต่อให้มาร่วมงาน
“ตอนที่เขาติดต่อมา ผมก็รู้สึกดีใจ ผมยังจำได้ทุกคำพูดที่เราได้คุยกันก่อนเริ่มรายการและไม่มีใครรู้ว่าเขาให้ผมทดลองงานก่อน 3 เดือนด้วยซ้ำ พอทำงานพ้นไป 3 เดือนก็พอใจในระดับหนึ่ง ทำต่ออีก 3 เดือนจนปีกว่า เพราะทุกอย่างเป็นสัญญาใจ ซึ่งถ้าเขามาพูดแค่คำเดียว ผมก็ออกได้เลย เพราะสิ่งที่เขาบอกตอนแรกที่มาติดต่อให้ไปทำ คือ อยากให้เราลองไปเล่าข่าว แต่ความเป็นจริงเรารู้ว่าการที่เราไปนั่งตรงนั้น เราต้องทำอะไรบ้าง ผมว่าที่เราได้ไปนั่งตรงนั้นถามว่ากดดันไหม ก็กดดัน แต่ไม่ใช่ผมกดดันคนเดียว ทุกคนที่ทำงานตรงนั้นก็กดดัน”

พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว แต่เรตติ้งก็ไม่ได้พุ่งสูง เมื่อเปรียบเทียบกับตอน “สรยุทธ” ดำเนินรายการ
“ผมว่าทุกอย่างมันต้องขึ้นอยู่กับตัวเรา กับทัศนคติและตั้งเป้าหมายในชีวิต ผมก็ตั้งไว้ว่าจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้เรทติ้งตกลงไปกว่านี้ หรือถ้าใครเขาไม่ได้ดูนานแล้วตั้งแต่คุณสรยุทธไม่อยู่ และเขาอาจจะกลับมาดูอีก ซึ่งก็มีทั้งฟีดแบ็กที่ดีและไม่ดี ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบฟีดแบ็กที่เข้ามาก็ไม่ได้เลวร้ายมาก เพียงแค่ว่าไม่สามารถที่ทำให้เรทติ้งที่มันเป็นตัวเลขจริงๆ มันพุ่งสูงได้ (แต่มันคือความกดดันที่เราต้องไปแทนที่ของสรยุทธ?) มันไม่ใช่ความกดดันแต่มันเป็นความท้าทายมากกว่า ซึ่งทุกงานก็มีความกดดันแต่ที่นี่อาจจะกดดันมากกว่า และผมก็คือผม เขาก็คือเขา เราคนละคนกันมากกว่า ทั้งประสบการณ์ อายุ ความสามารถพื้นฐานมันต่างกันเยอะ เพราะถ้าคนจะดูผมเพราะว่าผมเหมือนใคร ถ้าจะดูผมก็ต้องชื่นชอบในตัวผมมากกว่า”

ถ้าคนจะติดภาพ “เรื่องเล่าเช้านี้” คือแบรนด์ของสรยุทธ ก็คงต้องรอสรยุทธกลับมา
”งั้นก็คงต้องรอเขากลับมาอย่างเดียวแล้วล่ะ หรืออาจะต้องเปลี่ยนรายการไปเลย ซึ่งอันนี้เราพูดถึงความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น เพราะตอนที่ผมได้ไปเริ่มทำสัปดาห์นึงก็ได้เจอเขาบ้าง เขาก็ให้กำลังใจเราพร้อมให้คำแนะนำนิดหน่อย”

แม้การทำงานกับเรื่องเล่าเช้านี้ จะต่อสัญญากันแบบ 3 เดือนครั้ง หาความมั่นคงไม่ได้ แต่ต๊ะก็รู้สึกดีใจและคุ้มค่าที่ครั้งหนึ่งได้ทำงานเรื่องเล่าเช้านี้ เพราะทำให้คนรู้จักมากขึ้น
“และในส่วนของการต่อโปรไปเรื่อยๆ 3 เดือนต่อทีนึงนั้น หลายคนอาจจะมองว่าผมไม่อยากได้ความมั่นคงเหรอ แต่ในมุมหนึ่งผมมีงานในด้านอื่นซัปพอร์ต ทั้งพิธีกร ดีเจ ที่ทำให้ผมมีรายได้เอาไว้หมุนเวียนได้ แต่บางครั้งชีวิตก็ต้องการความท้าทายออกมาจากกรอบของเรา เพื่อต้องการอะไรใหม่ๆ ซึ่งมองว่า 1 ปีกว่า และวันนี้ได้จากที่นั่นออกมา ผมถือว่าคุ้มมากๆ ซึ่งมันไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ แต่เราได้ประสบการณ์ (ความคุ้มค่าของการได้ไปนั่งที่เก้าของรายการนี้คืออะไร?) หนึ่งเลยผมได้เรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ รู้จักกับคนมากขึ้น เพราะว่าข่าวคนอื่นอาจจะมองว่ามันเหมือนกันทุกที่ แต่มันจะมีวิธีการทำข่าวแตกต่างกันออกไป ระบบก็ไม่เหมือนกัน ทุกทีมีสไตล์เหมือนกัน และข้อสองคนรู้จักผมมากขึ้น”

ทำใจตั้งแต่เข้าไปร่วมงานแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
"อืม...เอาจริงๆ ช่วง 3-4 เดือนแรกเราก็กดดันนะ เพราะเราก็คิดตลอดทุกวันว่าเราอาจจะหลุดได้ทุกเมื่อ พอพ้นปีมามาแล้ว ผมโอเคว่าเราทำสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว และพอผ่านไป 1 ปี ผมก็คิดว่าหลังจากนี้ถ้าเราไม่ได้ทำแล้ว เราก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือว่าทำใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะอุตสาหกรรมนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่ใช่รายการของผม ผมไม่ใช่นายทุน เป็นแค่ลูกจ้าง ถ้าเขาจะไม่จ้างก็คือไม่จ้าง"

เรตติ้งรายการตกตั้งแต่ก่อนที่ “ต๊ะ” จะไปรับหน้าที่ดำเนินรายการอยู่ก่อนแล้ว แต่ในเมื่อเข้าไปร่วมงานแล้ว 1 ปีก็ไม่ได้ทำให้รายการดีขึ้น ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเอง อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้คิดจะทำรายการนี้ไปจนแก่
“ตัวเลขมันแย่แล้วนะครับ มันก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมันไม่ดีขึ้น ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ ผมก็ยินดีที่จะรับผิดชอบในครั้งนี้เพราะอยู่มาตั้งปีกว่า แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ซึ่งบางคนอาจจะมองว่ามันไม่แฟร์หรือเปล่าที่เราคิดว่าตัวเราผิด ผมว่าผมก็แมนๆ นะ และผมคิดว่าคนเราต้องรู้จักข้อผิดพลาดของตัวเอง ต้องยอมรับความจริง ไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ มันอาจจะเป็นเหตุและผลที่ไม่สามารถเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือก็ได้ เลยไม่ได้รู้เศร้าใจอะไร คนอื่นอาจจะมองดราม่ากันไปเอง ผมไม่ได้เฟลขนาดนั้น และเอาจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะทำเรื่องเล่าฯ ไปจนแก่ ก็แค่คิดว่าทำสัก 3-4 ปี หรือว่าทำไปจนคุณไบร์ทแต่งงานแล้วค่อยออกจากรายการ ซึ่งเรื่องคุณไบร์ทนี่ก็แบบคิดเองขำๆ นะ”

ร่วมงานจีเอ็มเอ็ม 25 เพราะ “ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล” ยกหูโทรมาทาบทามด้วยตนเอง แม้จะไม่ได้ค่าตัวสูงมากแต่ก็ไม่ได้น้อย
“คือ ตอนแรกที่จะมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเขาต้องการเพิ่มเติมมาเป็น 3 คนคือก่อนหน้านี้มี 2 คนในข่าวช่วงเช้า เพราะผมไม่ต้องการไปแทนที่ใครหรือว่าต้องทำให้ใครต้องออกไป นี่คือ คุณธรรมส่วนตัวของผมที่ไม่ต้องการทำให้ใครลำบาก และที่ประทับใจของที่นี่คือผู้บริหารสูงสุดของที่นี่เป็นคนติดต่อมาเองเลย พี่ฉอดก็โทร.มาบอกว่า พี่ก็รู้ว่าผมมีตัวเลือกเยอะ (ยิ้ม) และถ้าไปสู้ด้วยเรื่องเงิน เรื่องอื่นๆ เราคงสู้ช่องใหญ่ไม่ได้ แต่เราจะค่อยสร้างในพาสข่าวนี้ไปเรื่อยๆ แม้เราจะแข็งในเรื่องละครแต่เราก็จะสร้างความแข็งแกร่งของข่าวไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้ากำลังตัดสินใจก็อย่าลืมพี่แล้วกัน ก็พูดตามสไตล์แก”

“อยากมาทำที่นี่คือเราได้อ่านตอนเช้า เพราะที่อื่นเขาก็อยากให้เราไปอ่านช่วงค่ำ ซึ่งเงินก็ดีแต่ก็จะไปชนกับ The Standard ที่ผมอ่านข่าวเป็นประจำ และบางที่เป็นเวลากลาง ซึ่งเราก็เคยอ่านมาแล้ว แต่ผมจะเอาเวลากลางวันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นดีกว่า ในส่วนของเรื่องเงินที่ทาง gmm25 ก็อย่างที่พี่อั๋น (ภูวนาท) บอกก็อาจจะไม่ได้สูง ซึ่งก็ไม่ได้น้อยนะครับแต่ก็ไม่ได้สูง (หัวเราะ) และก็ไม่ได้ถูกซื้อตัวมา คือดิวของผมนั้นประเมินกันว่า ถ้าได้ตัวผมมาถือว่าคุ้ม เพราะบางคนเขาต้องดิวกันเป็นล้าน ผมดิวฟรีๆ เอาตัวเราเป็นหลักไม่ได้เอาเรื่องเงินเป็นเกณฑ์ตัดสินใจ”




กำลังโหลดความคิดเห็น