“ทราย เจริญปุระ” มองผ่านคนโจมตีพาแม่เข้ารักษาที่ รพ.ศรีธัญญา ยันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ขอเป็นกระบอกเสียงบอกต่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าในฐานะที่เคยผ่านมาก่อน
เคยเป็นคนที่ต้องผจญกับโรคซึมเศร้าอย่างหนักมาแล้ว สำหรับนักแสดงสาว “ทราย อินทิรา เจริญปุระ” ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ถึงแม้อาการจะดีขึ้น กลับมาทำงานได้ปกติ แต่พอคุณแม่ป่วยด้วยโรคนี้เช่นกันบวกกับเป็นโรคอัลไซเมอร์ซ้ำเข้าไปอีก ระยะหลังอาการหนักถึงขั้นทำร้ายร่างกาย และด่าตนเองทุกวันว่าลูกเลวลูกอกตัญญู จึงตัดสินใจพาคุณแม่เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
ล่าสุด เจอสาวทรายในงานแถลงข่าวพิธีเปิดและแถลงข่าวสัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2560 Depression Let’s Talk : ซึมเศร้า...เราคุยกันได้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา แจ้งวัฒนะ ชั้น G เจ้าตัวก็เผยว่าอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้เผยแพร่และทำความเข้าใจแก่คนทั่วไปเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและวิธีรักษาที่ถูกต้อง เพราะคนยังกลัวและเข้าใจผิดกันเยอะ
“จริงๆ แล้วคนป่วยโรคนี้เยอะนะคะ เพราะด้วยชีวิตประจำวัน สังคมอะไรต่างๆ ทำให้เราเกิดภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัว และก็ไม่กล้าที่จะไปพบจิตแพทย์กัน เพราะยังมีความคิดที่ว่าพบจิตแพทย์คนจะมองว่าบ้าหรือเปล่า หรือคิดเอาเองว่ากลัวกังวลอะไรต่างๆ แล้วยิ่งหลายคนอาจจะลืมโรงพยาบาลศรีธัญญาไป มีความรู้สึกว่าเหมือนมันเป็นดินแดนลับแลหรืออะไร (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วต้องบอกว่าโรงพยาบาลศรีธัญญาเป็นเหมือนโรงพยาบาลเฉพาะทางอื่นๆ เหมือนที่มีรักษาโรงสมอง โรคมะเร็ง ไม่ใช่ว่าผู้ที่เข้ามาจะต้องเป็นผู้ป่วยทางด้านจิตเวชทุกคน แต่ว่าเป็นในเรื่องของสมอง ส่วนประสาทอะไรหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องนะคะ”
“จริงๆ การพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยนะคะ ตัวเองจะบอกตัวเองได้ดีที่สุด เราดูตัวเองเลยสัก 2 - 3 อาทิตย์ ถ้ารู้สึกว่าชีวิตมันแย่เหลือเกิน เรายังจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ เรายังไม่อยากทำอะไร ความกระตือรือร้นมันหายไป นี่คือจุดแรกๆ ที่ต้องสังเกตตัวเอง อันนี้ก็อยากจะบอกทุกคนเลยว่าใครที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็น หรือคิดว่าตัวเองอยู่ในภาวะเครียด ก็ควรจะมาหาคุณหมอ คือเราได้ปรึกษา ได้เล่าอาการอะไรต่างๆ มันก็จะช่วยให้ความเครียดหรือความกังวลที่เราเป็นอยู่มันลดลงได้”
บอกเลิกเครียดที่คนมาโจมตีแล้ว และแม่ก็ยังต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง
“คุณแม่เป็นโรคซึมเศร้าและอัลไซเมอร์ด้วย ก็เป็นมานานแล้ว เราก็หาทางรักษามาตลอด จนหลังๆ คุณแม่ก็เริ่มเป็นหนักขึ้นล่ะค่ะ ก็เลยต้องตัดสินใจพาคุณแม่เข้าไปรักษาที่ศรีธัญญานี่แหละ เพราะเราเองก็ยอมรับว่าเครียดนะ เราเองก็เคยเป็นโรคซึมเศร้า พอมาเจอแม่เป็นแบบนี้อีกมันก็เครียดแหละ จะกลับไปเป็นอีกรอบแล้ว (หัวเราะ) ตอนแรกที่มีข่าวออกไปว่าพาแม่ไปรักษาที่นี่มีคนเข้ามาโจมตีเยอะมาก (หัวเราะ) ว่าอะไรต่างๆ นานาเยอะแยะมากมายนะคะ แต่ก็ไม่เป็นไร เรารู้ว่าเราทำอะไร และคุณแม่ของเราควรจะได้รับการรักษายังไง เราก็ดูแลแม่ดีที่สุดที่จะทำได้อยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ”
“อาการคุณแม่เรียกว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปดีกว่า เพราะก็ต้องใช้เวลาเนอะ ก็ดีที่อยู่ใกล้หมอ เราก็อาจจะไม่ต้องห่วงมาก ตอนนี้ที่ทำได้ก็คืออยากจะช่วยบอกต่อเป็นอีกกระบอกเสียงหนึ่งที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า เกี่ยวกับโรงพยาบาลศรีธัญญานะคะ หลายคนกังวลกลัวคนจะหาว่าบ้าบ้าง หรือคนจะมองไม่ดีบ้าง ไม่กล้าบ้าง ห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาลว่าค่าใช้จ่ายจะสูงหรือเปล่า คือมีเรื่องกังวลเยอะแยะไปหมด”
“เราก็เลยอยากจะเผยแพร่ข้อมูลตรงนี้ในช่องทางที่เรามีอยู่นี่แหละ เฟซบุ๊กบ้าง อินสตาแกรมบ้าง เหมือนเพื่อนคุยกันมากกว่า ใครมีปัญหาอะไร สงสัยอะไรต่างๆ ก็มาถามได้ คือไม่ใช่เชิงการแพทย์เชิงวิชาการอะไรขนาดนั้นนะคะ เหมือนกับเราบอกต่อสิ่งที่เรารู้นี่แหละ จริงๆ ก็อยากให้ช่วยกันนะคะ เพราะจริงๆ ถามว่าค่าใช้จ่ายเยอะมั้ย ก็ต้องบอกว่าไม่น้อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ซึ่งตอนนี้ขายเสื้อเพื่อนำรายได้มาช่วยผู้ป่วยที่ด้อยโอกาสตรงนี้ด้วยค่ะ”